สุดยอดดาวร้ายในประวัติศาสตร์โลก ตอนที่ 18 : รานาวาโลนาที่ 1
สวัสดีครับเพื่อนๆชาว ss ทุกท่าน ช่วงนี้ผมว่างมาก เลยมีเวลามานั่งหานั่งอ่านอะไรเรื่อยเปื่อยจนได้เจอประวัติของบุคคลท่านหนึ่งซึ่งผมคิดว่าน่าจะได้มาติดประดับอยู่ใน "บุคคลที่โหดร้ายที่สุดในโลก" ในคอลเล็คชั่นสุดยอดดาวร้ายของผมครับ บุคคลท่านนี้เป็นถึงสมเด็จพระราชินินาถเลยนะครับ นั่นคือ "สมเด็จพระราชินีนาถรานาวาโลนาที่ 1 แห่งมาดากัสการ์" พระองค์ทรงเหี้ยมโหดอย่างไร คงต้องไปอ่านกันเองละครับ 55 ก่อนที่เพื่อนๆจะได้อ่านเรื่องราวของพระองค์นั้น ผมอยากฝากไว้ว่า "ประวัติศาสตร์ มักถูกเขียนโดยผู้ที่ชนะเสมอ บางครั้งมันอาจไม่ใช้เรื่องจริงทั้งหมด และบางครั้งมันอาจเป็นเรื่องจริงทั้งหมด ผู้แพ้ไม่มีสิทธ์มานั่งเขียนประวัติศาสตร์ของตัวเอง" เชิญอ่านให้สนุกครับ
รานาวาโลนาที่ 1
สมเด็จพระราชินีนาถรานาวาโลนาที่ 1 แห่งมาดากัสการ์ ทรงเป็นสมเด็จพระราชินีนาถแห่งมาดากัสการ์ ราชวงศ์เมรีนา พระนางทรงครองราชสมบัติสืบต่อจากสมเด็จพระเจ้าราดามาที่ 1 แห่งมาดากัสการ์ผู้เป็นพระสวามี พระนางมีพระนามหนึ่งว่า "รานาวาโล มันจากา" ที่ 1 รัชสมัยของพระนางทรงครองราชย์ด้วยเลือดตลอดรัชกาล พระนางทรงได้รับการกล่าวขานจากตะวันตกว่าทรงเป็น จักรพรรดินีวาเลเรีย แมสซาลินายุคใหม่,แมรี่บ้าเลือดแห่งมาดากัสการ์ (น่าจะหมายถึงสมเด็จพระราชินีนาถแมรี่ที่ 1 ของอังกฤษครับ),ราชินีผู้บ้าคลั่งที่สุดในประวัติศาสตร์,ราชินีรานาวาโลนาผู้ชั่วร้าย,ราชินีบ้าคลั่งแห่งมาดากัสการ์และภาคสตรีของคาลิกูลา(คาลิกูลา คือ จักรพรรดิผู้อื้อฉาวของโรมัน ) เนื่องจากพระนางทรงเกลียดชังชาวตะวันตกและทรงสั่งถอนรากถอนโคนผู้นับถือศาสนาคริสต์ในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นชาวมาดากัสการ์หรือชาวตะวันตก และทุกคนต่างโดนทรมานและประหารชีวิตตามพระบัญชาของพระนาง
ต้นพระชนม์ชีพของพระนางรานาวาโลนายังเป็นที่ถกเถียงในปัจจุบัน บางข้อมูลว่าพระนางประสูติในดินแดนชนเผ่ามาเนเบระหว่างพ.ศ. 2325 และพ.ศ. 2333 น้อยคนที่ทราบถึงพระราชประวัติช่วงต้นของพระนาง แต่ในช่วงระหว่างพระนางมีพระชนมายุ 1 ชันษา เจ้าชาย "นามโปอินา" ทรงพยายามรวมมาดากัสการ์ให้เป็นหนึ่งเดียว มีกษัตริย์เพียงพระองค์เดียว กษัตริย์แห่งมาเนเบที่ทรงปกครองทางฝั่งตะวันตกของเกาะไม่ทรงยินยอมที่จะรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียว เนื่องด้วยเหตุนี้รัชทายาทของเจ้าชาย "นามโปอินา" ซึ่งต่อมาได้ครองราชย์ต่อเป็นพระเจ้าราดามาที่ 1 ทรงอภิเษกสมรสกับพระธิดาองค์โตในพระเจ้า "อันเดรียน ทซารา แมนจากา" แห่งมาเนเบ กับพระมเหสี "ราโบโด อันเดรียน แทมโป" (ชื่อออกจะอ่านยากๆไปนิดครับ)
เป็นการชี้ทางให้พระเจ้านามโปอินาทรงรับเลี้ยงรานาวาโลนาไว้ พระบิดาของพระนางเป็นผู้เสนอแผนการให้ พระนางทรงอภิเษกสมรสเมื่อมีพระชนมายุ 22 ชันษาแต่เป็นการหลอกลวงเขาด้วยบุตรคนโปรดของเขา
เจ้าชายรามาดาได้ขึ้นครองราชย์หลังจากการเสด็จสวรรคตของพระบิดาและพระองค์ประสบความสำเร็จในการรวมชาติในเกาะให้เป็นหนึ่งเดียว ในขณะนั้นพระนางรานาวาโลนาก็ได้ถูกสงสัยว่าทรงลอบวางยาพิษพระเจ้ารามาดาจนพระองค์สวรรคต??
เมื่อพระเจ้าราดามาเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2371 โดยไม่มีรัชทายาทและตามราชประเพณีโบราณ สิทธิในการครองราชย์จะตกไปอยู่แก่ เจ้าชายราโคโทเบ พระโอรสองค์โตในพระเชษฐภคินีของพระเจ้ารามาดา พระนางรานาวาโลนาทรงเริ่มสร้างความจงรักภัคดีให้แก่ผู้นำทหารก่อนพระสวามีจะสวรรคตแล้ว พระนางจึงสั่งจับคนที่พระนางคาดว่าเป็นศัตรูของพระนางและสั่งประหาร พระนางทรงยึดราชบัลลังก์และขึ้นครองราชสมบัติในวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2371 หลังจากสังหารศัตรูหมดสิ้นแล้ว
ในพระราชพิธีครองราชสมบัตินั้น พระราชินีรานาวาโลนาทรงให้สัตย์สาบานว่าจะสนับสนุนพิธีกรรมดั้งเดิมและความเชื่อเก่าแก่ และป้องกันขอบเขตราชอาณาจักรของพระนาง ในรัชสมัยของพระเจ้ารามาดาทรงเริ่มการทันสมัยและผูกสัมพันธ์กับชาวตะวันตก แต่ในรัชสมัยพระราชินีรานาวาโลนาทรงริเริ่มกลุ่มนายหน้าเก่าเช่น บาทหลวง,ผู้พิพากษา,พ่อค้าทาส ได้การควบคุมกลับมาซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทัพเมรีนา ในวันที่พระนางประกอบราชิภิเษกนั้น พระนางทรงสั่งประหารชีวิตพระญาติใกล้ชิดกับพระนางทันทีถึง 7 คนเป็นการเอาฤกษ์เอาชัย (เกิดเป็นญาติพระนางนี่อย่างซวย) ตามรายงานของคณะมิชชันนารีอังกฤษได้ระบุว่าพระนางทรงสั่งให้ประหารพระญาติฝ่ายพระสวามีทั้งหมด รวมทั้งเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ที่มีสิทธิในการครองราชย์ เนื่องจากพระเจ้ารามาดาทรงผูกสัมพันธ์กับอังกฤษ และพระนางทำให้การค้าทาสเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย
พระนางทรงมีวิธีการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ถูกกล่าวหาคือ ให้ผู้ถูกกล่าวหาดื่มยาพิษเข้าไปแล้วรอดชีวิต จะถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์และจะได้รับเงินทำขวัญ ความหวาดกลัวชาวต่างชาติและการเตือนเกี่ยวกับอาณานิคมยุโรป พระนางทรงสั่งประหารชีวิตชาวต่างชาติทุกคนโดยเฉพาะชาวอังกฤษที่พระนางเกลียดชังอย่างมาก ทรงประหารชีวิตชาวพื้นเมืองที่ถือสัญชาติอังกฤษหรือเป็นลูกผสมระหว่างชนพื้นเมืองกับชาวอังกฤษโดยทันที แม้แต่คณะมิชชันนารีก็ไม่ละเว้นถูกขับไล่ออกไปจากมาดากัสการ์ พระนางทรงออกกฎหมายลงโทษขั้นประหารชีวิตผู้ที่บังอาจเผยแพร่ศาสนาคริสต์
พระราชินีรานาวาโลนาทรงเป็นผู้ประหัตประหารชาวครีสเตียนที่บริสุทธิ์หลังจากการขับไล่คณะมิชชันนารีออกจากเกาะแต่พระนางทรงล้มเหลวในการกวาดล้างศาสนาคริสต์ในประเทศให้หมดสิ้น ประชาชนทุกคนที่ครอบครองคัมภีร์ไบเบิลและประกาศเป็นคริสต์ศาสนิกชนจะถูกประหารทั้งหมด บ้างถูกจับตรึงเหมือนไก่ (นึกถึงไก่ย่าง) และโยนจากยอดเนินเขาหลายๆครั้งจนกว่าจะตาย คนอื่นๆถูกราดด้วยเลือดและให้ฝูงสุนัขป่ารุมกินทั้งเป็น บ้างก็ถูกอาวุญที่เป็นโลหะแบนๆเสียบทะลุเข้าไปในกระดูกสันหลังหลายๆแผ่นจนกว่าจะตาย บางคนอาจถูกตีตายก่อนที่จะตัดหัวเสียบประจาน บางถูกจับลงเป็นในน้ำที่ต้มเดือด บางคนถูกจับนอนแล้วให้หินกลิ้งลงมาทับ หนึ่งในวิธีประหารที่พระนางรานาวาโลนาทรงโปรดปรานที่สุดคือ การให้ดื่มยาพิษ หรือไม่ก็ขายให้เป็นทาส
สาเหตุที่ทรงเกลียดชังศาสนาคริสต์คือ พระนางทรงไม่ชอบพฤติกรรมของชาวคริสต์ พวกเขาสวดเป็นประจำแต่ปฏิเสธที่จะเคารพพระเจ้าของพระนาง พวกเขาหลีกเลี่ยงการบูชาเทวรูป พวกเขารวมตัวกันสักการะอย่างซ้ำซาก พระนางทรงกริ้วมากเมื่อชาวคริสต์โกรธแค้นที่พระนางประหารชาวคริสต์ถึง 1,600 คน ได้พยายามยึดบัลลังก์ พระนางทรงแก้แค้นด้วยการแขวนผู้นำคริสเตียน 15 คนด้วยเชือกยาว 150 ฟุตเหนือช่องหินในหุบเขาข้างพระราชวัง โดยทรงถามว่าจะนับถือศาสนาคริสต์หรือพระเจ้าของราชินี เหล่าผู้นำตอบว่า "พระเยซู" เชือกจึงถูกตัดขาด บางคนสวดกลอนศาสนาก่อนที่ร่างจะลงไปกระแทกกับก้อนหินที่อยู่เบื้องล่างจนเละ ปัจจุบันที่นั่นคือศาลเจ้าอิมพรอมตู
ฝรั่งเศสซึ่งได้รับบางเกาะของมาดากัสการ์ ได้สนใจที่จะครอบครองมาดากัสการ์ การเคลื่อนไหวนั้นเกืดการต่อต้านจากอังกฤษซึ่งสนใจเส้นทางหลักในการเดินทางไปอินเดีย ด้วยการล้มเลิกสนธิสัญญาอังกฤษ-เมรีนา อย่างไรก็ตามพระนางรานาวาโลนาคิดว่าอาจทรงถูกทำลายได้ง่ายโดยอังกฤษในเวลาไม่นาน พระนางทรงขับไล่การโจมตีของฝรั่งเศสที่ฟัวพอยน์ในปีพ.ศ. 2372 แต่พระนางทรงอยู่ในจุดยืนที่อันตราย เคราะห์ดีของพระนางที่ทรงได้รับการช่วยเหลือเมื่อฌอง ลาบอร์ดซึ่งเรืออัปปางที่มาดากัสการ์ในปีพ.ศ. 2375
ลาบอร์ดได้ให้คำแนะนำแก่พระนางและได้นายหน้าผลิตปืนใหญ่,ปืนคาบศิลาและดินปืน เขาได้กำลังแรงงานคนและวัตถุดิบสำหรับสร้างอุตสาหกรรมเพื่อพัฒนากองทัพให้ทันสมัย สร้างอิสรภาพแก่ราชอาณาจักรจากอาวุธอาณานิคม
พระโอรสของพระนางเจ้าชายราโกโต ประสูติในปีพ.ศ. 2372 และพระบิดาตามกำหมายของพระองค์คือ พระเจ้าราดามาที่ 1 ผู้ซึ่งสวรรคตมานานกว่า 9 เดือนก่อนที่พระองค์ประสูติ อย่างไรก็ตามธรรมเนียมโบราณกำหนดให้เป็นพระโอรสของพระเจ้าราดามา ลาบอร์ดสนิทกับพระองค์มากและให้การศึกษาแก่พระองค์ การเพิ่มขึ้นของความเกลียดชังตลอดรัชกาลของพระราชินีระหว่างมาดากัสการ์กับยุโรป โจเซฟ-ฟรังซัว แลมเบิร์ตได้หาทางช่วยชาวฝรั่งเศสในประเทศ เขาได้เดินทางมาในราชสำนักของพระนางในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2400 และได้วางแผนการลับกับลาบอร์ดและผู้นำท้องถิ่นเพื่อโค่นราชบัลลังก์ของพระนางและอัญเชิญเจ้าชายราโกโตครองราชย์ต่อ นักท่องเที่ยวรอบโลก อีดา ไฟเฟอร์ได้เข้าร่วมแผนการอย่างไม่เจตนา แต่แผนการนี้รั่วไหล พระนางสั่งประหารผู้นำท้องถิ่นทั้งหมดและสั่งห้ามชาวยุโรปเข้ามา พระราชินีรานาวาโลนาทรงไม่สังหารชาวยุโรปเนื่องจากทรงกลัวการแก้แค้น เกิดโรคระบาดในมาดากัสการ์ชาวยุโรปหลายคนล้มตาย อีดา ไฟเฟอร์ไม่ได้รับการรักษาและเสียชีวิตด้วยไข้มาลาเรีย
ระหว่างปีสุดท้ายของการครองราชย์ของพระนาง ทรงกังวลต่อการขยายของลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตกในแอฟริกาและเอเชีย ซึ่งไม่ยอมรับการค้าทาส พระนางยังคงรักษาความโหดเหี้ยมของพระนางและต้องการรักษาระบบค้าทาสไว้ สมเด็จพระราชินีรานาวาโลนาที่ 1 เสด็จสวรรคตอย่างสงบในวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2404 หลังจากทรงปกครองประเทศยาวนานถึง 33 ปี ท่ามกลางความโล่งอกของพสกนิกร อังกฤษและฝรั่งเศสทำสัญญาร่วมกัน ฝรั่งเศสเข้าครอบครองเกาะนี้กลายเป็นดินแดนในอาณัติของฝรั่งเศสและการค้าทาสได้ถูกล้มเลิกอย่างสมบูรณ์ ด้วยการเปิดคลองสุเอซในปีพ.ศ. 2412 อังกฤษสนใจที่จะขับไล่ฝรั่งเศสที่กำลังทรุดตัวออกจากมาดากัสการ์ พระโอรสของพระนาง เจ้าชายราโกโตได้ครองราชย์ต่อเป็น พระเจ้าราดามาที่ 2 แห่งมาดากัสการ์
เกร็ดเพิ่มเติม : "Death by boiling" คือวิธีการประหารนักโทษที่พระนางรานาวาโลนาโปรดปรานและชอบมากที่สุด การประหารเป็นไปแบบเรียบง่าย ไม่มีอะไรมาก นั่นคือการ "ต้ม" ในกระทะหรือหม้อหรืออะไรก็ได้ที่พอจะใส่คนลงไปต้มได้ ส่วนของเหลวที่ใช้ต้ม จะเป็นน้ำหรือน้ำมันหรือไขของสัตว์ก็แล้วแต่จะสะดวก นักโทษจะถูกบังคับให้ลงไปแช่ในน้ำที่เดือด เสียงโหยหวนทรมานแสนสาหัสจะดังไม่ขาดสาย บางครั้งผู้คุมอาจจะมีลูกเล่นเพิ่มเติมเพื่อให้เหยื่อได้ตายเร็วขึ้นคือการตักน้ำที่เดือดค่อยๆราดลงบนหัวของนักโทษไปด้วย จนกว่านักโทษคนนั้นจะหยุดส่งเสียงร้องและตายลงช้าๆ...

ชอบไม่ชอบอย่างไรช่วยกดแผล่บและโหวตกระทู้ผมให้ด้วยนะครับ อยากให้เพื่อนๆได้อ่านกันทุกคน
Credit : Wikipidia ,
http://my.dek-d.com/keny/writer/viewlongc.php?id=486572&chapter=170
สุดยอดดาวร้ายในประวัติศาสตร์โลก ตอนที่ 17 : วิลเลียม แฮร์ และ วิลเลียม เบอร์ค
http://www.soccersuck.com/boards/topic/1289857
สุดยอดดาวร้ายในประวัติศาสตร์โลก ตอนที่ 16 : ชากา ซูลู
http://www.soccersuck.com/boards/topic/1287322
สุดยอดดาวร้ายในประวัติศาสตร์โลก ตอนที่ 15 : มักซีมีเลียง รอแบ็สปีแยร์
http://www.soccersuck.com/boards/topic/1208346
สุดยอดดาวร้ายในประวัติศาสตร์โลก ตอนที่ 14 : เอ็ดเวิร์ด ทีช
http://www.soccersuck.com/boards/topic/1208107
สุดยอดดาวร้ายในประวัติศาสตร์โลก ตอนที่ 13 : โอดะ โนบุนากะ
http://www.soccersuck.com/boards/topic/1206624
สุดยอดดาวร้ายในประวัติศาสตร์โลก ตอนที่ 12 : ซาร์ อิวาน
http://www.soccersuck.com/boards/topic/1206143
สุดยอดดาวร้ายในประวัติศาสตร์โลก ตอนที่ 11 : กิลส์ เดอ เรยส์
http://www.soccersuck.com/boards/topic/1188908
สุดยอดดาวร้ายในประวัติศาสตร์โลก ตอนที่ 10 : ฟรานซิสโก ปิซาร์โร
http://www.soccersuck.com/boards/topic/1184080
สุดยอดดาวร้ายในประวัติศาสตร์โลก ตอนที่ 9 : วลาด ดรากูล
http://www.soccersuck.com/boards/topic/1183485
สุดยอดดาวร้ายในประวัติศาสตร์โลก ตอนที่ 8 : คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส
http://www.soccersuck.com/boards/topic/1183322
สุดยอดดาวร้ายในประวัติศาสตร์โลก ตอนที่ 7 : ติมูร์มหาราช
http://www.soccersuck.com/boards/topic/1182902
สุดยอดดาวร้ายในประวัติศาสตร์โลก ตอนที่ 6 : เจงกิสข่าน
http://www.soccersuck.com/boards/topic/1182420
สุดยอดดาวร้ายในประวัติศาสตร์โลก ตอนที่ 5 : พระเจ้าเบซิลที่ 2
http://www.soccersuck.com/boards/topic/1182304
สุดยอดดาวร้ายในประวัติศาสตร์โลก ตอนที่ 4 : บูเช็กเทียน
http://www.soccersuck.com/boards/topic/1182134/1
สุดยอดดาวร้ายในประวัติศาสตร์โลก ตอนที่ 3 : อัตติลา เดอะ ฮั่น
http://www.soccersuck.com/boards/topic/1153400
สุดยอดดาวร้ายในประวัติศาสตร์โลก ตอนที่ 2 : พระเจ้าเฮโรดมหาราช
http://www.soccersuck.com/boards/topic/1152716
สุดยอดดาวร้ายในประวัติศาสตร์โลก ตอนที่ 1 : กษัตริย์อัสเชอร์บานิปาล
http://www.soccersuck.com/boards/topic/1152578