บทความ: ทีมแต่ละชุดของบาร์เซโลน่า แชมป์สี่ครั้งในเก้าปีหลังสุด
การเถลิงบัลลังก์จ้าวยุโรปถึงสี่สมัยในเก้าครั้งหลังสุด ของบาร์เซโลน่าเป็นการตอกย้ำ การเป็นหนึ่งในสุดยอดทีมที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลไปแล้ว
ในสามทศวรรษแรกของการแข่งขันนั้นมีหลายทีมที่ได้ครองความยิ่งใหญ่อย่าง รีลมาดริด, ไอแอกซ์ อัมสเตอร์ดัม, บาเยริน์ มิวนิค และ ลิเวอร์พูล ถูกจารึกไว้ว่าเป็นสุดยอดทีมแห่งยุค เนื่องจากทีมเหล่านี้สามารถ ที่จะคว้าแชมป์หลายสมัยติดๆกันในช่วงระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น แทบจะเป็นการผูกขาดแชมป์เลยก็ว่าได้ ทว่าในฟุตบอลยุคปัจจุบัน บาร์เซโลน่าคือทีมที่ทุกคนต่างยอมรับว่าเป็น ยอดทีมแห่งยุคอย่างแท้จริง
หากจะพูดถึงจุดเริ่มต้นของยุครุ่งเรืองของบาร์ซ่านั้น ต้องย้อนไปในปี 2006 รอบชิงชนะเลิศที่มีหลายอย่างที่คล้ายกับการคว้าแชมป์ในปีนี้เหลือเกิน และการคว้าแชมป์แต่ละครั้งนั้น ทีมทุกชุดก็มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเช่นกัน
ทีมของ แฟรงค์ ไรจ์การ์ดในปี 2006 นั้นสร้างความประหลาดใจไม่น้อยเลยเนื่องจาก เป็นทีมที่มีจุดอ่อนด้านความสามารถเฉพาะตัวของผู้เล่น สองฟูลแบ๊คตัวจริงอย่าง ชูเลียโน่ เบลเล็ตติและซิลวิญโญ่ ต่างชอบเกมบุกเป็นชีวิตจิตใจและมีความทุ่มเท ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้มีความโดดเด่นในเรื่องของทักษะความสามารถเฉพาะตัวเลย เมื่อเทียบกับฟูลแบ๊คชุดปัจจุบันอย่าง ดานี่ อัลเวส และ ฆอร์ดี้ อัลบา หรือแม้แต่ บิคตอร์ บัลเดส กับ คาเลส ปูโยล เมื่อเก้าปีที่แล้วก็ยังไม่ได้อยู่ในช่วงพีคเลย
เป็นช่วงที่ ลามาเซีย ศูนย์ฝึกสอนฟุตบอลชื่อดังของบาร์เซโลน่ายังไม่ได้ป้อน นักเตะฝีเท้าเยี่ยมเข้าสู่ทีมอย่างเช่นทุกวันนี้ โอเลเกร์ คือหนึ่งในนักเตะที่ถูกไรจ์การ์ดดึงขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ในช่วงนั้นด้วย โดยเขาได้เริ่มลงสนามจากเกมลีกเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าเขาจะถูกมองว่าเป็นนักเตะที่ทำตามแทคติกได้ดีแต่ว่า ก็ไม่เคยใกล้เคียงกับการติดทีมชาติชุดใหญ่เลย โอเลเกร์จัดเป็นผู้เล่นที่มีฝีเท้า ไม่ดีพอที่จะอยู่ในทีมชุดปัจจุบันได้เลย
ความคล้ายกันระหว่าง ทีมบาร์ซ่าชุด 2006 กับ ทีมชุดปัจจุบันคือ สองทีมนี้ต่างพึ่งพาสามนักเตะในแนวรุกเป็นหลัก โดยทีมในปี 2006 ประกอบไปด้วย โรนัลดินโญ่, ซามูเอล เอโต้ และ หนุ่มน้อย ลีโอเนล เมสซี่ ซึ่งทั้งสามคนต่างมีความอันตรายในการครองบอล รวมไปถึงความเด็ดขาดในจังหวะสังหารประตู อีกทั้งยังสอดประสานกันได้อย่างลงตัวอีกด้วย
ไม่มีข้อสงสัยสำหรับตำแหน่งดาวเด่นประจำทีมอย่าง โรนัลดินโญ่ เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเหลือเกินที่เขาไม่สามารถรักษา ฟอร์มการเล่นในระดับสูงได้ยาวนานอย่างที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ เมสซี่ มี แต่หากพูดถึงในช่วงพีคของเขาแล้วนั้น ต้องบอกเลยว่านี่คือ นักเตะที่ดีที่สุดของโลก ผู้มาพร้อมกับ ลีลาการเล่นที่ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ เป็นส่วนผสมของความมีประสิทธิภาพในกรอบเขตโทษ และ เทคนิคการหลอกล่อคู่ต่อสู้จนหัวหมุน
จุดที่น่าแปลกใจคือแผงมิดฟิลด์ของทีมชุดนี้ แม้ว่า ชาบี เอร์นานเดซ จะเป็นตัวจริงของทีม แต่ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง ได้พรากเค้าไปตั้งแต่เดือน พฤษจิกายน ส่วน อันเดรส อิเนียสต้า ในวัย 21 ปี นั้นยังคงเป็นเพียงแค่ตัวสำรองของทีมในฤดูกาลนั้น รวมไปถึงเกมนัดชิงกับ อาร์เซน่อลเช่นกัน แม้จะมี เดโก้ เป็นตัวเพลย์เมคเกอร์ แต่ว่าไรจ์การ์ดกลับใช้ เอ็ดมิลสัน และ มาร์ค ฟาน บอมเมล สองตัวตัดเกม เพื่อหยุดเกมรุกของคู่ต่อสู้ และปิดช่องว่างในเกมรับที่ค่อนข้างหลวม
ในจุดนี้ เป็นจุดที่แตกต่างชัดเจนกับ ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เฮดโค้ชผู้พาทีมคว้าแชมป์ในครั้งถัดมา ในปี 2009
จุดแรกที่กวาร์ดิโอล่า เข้ามาปรับปรุงเลยก็คือแผงกองหลัง โดยเค้าได้ซื้อ ดานี่ อัลเวส มาจากเซบีย่า และ เคราร์ด ปิเก้ มาจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพื่อปรับปรุงในส่วนของความสามารถเฉพาะตัวและยกระดับแผงหลังทั้งหมด
ในแนวรุกมีการเสริม เทียรี่ อองรี เข้ามาทดแทน โรนัลดินโญ่ ที่อยู่ในช่วงฟอร์มตกแล้วเรียบร้อย และ เมสซี่ ผู้ซึ่งสลัดอาการบาดเจ็บออกปหมดแล้วก็ก้าวขึ้นมาเป็นสตาร์ประจำทีมและนักเตะที่ดีที่สุดในโลกแทนที่ของ เหยินน้อย เช่นกัน
ปัจจัยสำคัญที่ทีมชุดปี 2009 สร้างสไตล์ ติกิ ตะกะ อันลือลั่นมาได้นั้น เป็นผลมาจากความโดดเด่นของคู่มิดฟิลด์ผลผลิตจาก ลา มาเซีย "ชาบี เอร์นานเดซ และ อันเดส อิเนสต้า" นั่นเอง ทั้งคู่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเกมของทีม อีกทั้งในปีนั้นพวกเขาเพิ่งคว้าแชมป์ยุโร มากับทีมชาติสเปน และยกระดับการเล่นขึ้นมาอย่างชัดเจนเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม บาร์ซ่าทีมเวอร์ชั่น 2009 นั้น ยังคงด้อยกว่าทีมในปี 2011 และ 2015 อยู่ อาจเป็นผลมาจากมรดกทีมของไรจ์การ์ดทิ้งไว้ให้ ซึ่งก็คือเรื่องของ ความสูงและพละกำลัง ในรอบรองชนะเลิศที่พบกับ ทีมที่เปี่ยมไปด้วยพละกำลังอย่างเชลซี มีผู้เล่นเอาท์ฟิลด์ของบาร์ซ่าชุดนี้ มีเพียง 6 จาก 10 คนเท่านั้นที่สูงเกิน หกฟุตก็คือ เอโต้, ปิเก้, อบิดัล, บุสเก็ต, ยาย่า ตูเร่ และ เซย์ดู เกต้า
อองรี และ ปูโยล ได้รับบาดเจ็บจากเกมนั้นจนต้องออกจากสนาม ทำให้ทีมเสียเปรียบด้านร่างกายเข้าไปอีก กวาร์ดิโอล่า จึงต้องส่ง เซย์ดู เกต้า ลงมาเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับทีมในการเข้าปะทะกับเชลซี ซึ่งก็สามารถผ่านไปอย่างหวุดหวิดด้วยกฎอเวย์โกลจากลูกยิงนาทีสุดสวยในนาทีท้าย ของ อันเดรส อิเนียสต้า นั่นเอง
ส่วนทีมบาร์เซโลน่าใน ปี 2011 นั่น ถือได้ว่าเป็นทีมที่มีคุณภาพในด้านเทคนิค สูงขึ้นอีก แม้ว่า ซามูเอล เอโต้, เทียรี่ อองรี รวมไปถึง ยาย่า ตูเร่ ได้ออกจากทีมไปแล้ว แต่ก็สามารถทดแทนด้วยผู้เล่นอย่าง ดาบิด บีย่า จากบาเลยซีย, เปโดร โรดริเกซ และ เซร์คิโอ บุสเก็ต ที่ถูกดันขึ้นสู่ตัวจริงอย่างเต็มตัวในฤดูกาลนั้น ขณะที่ ตำแหน่ง เซนเตอร์แบ๊คตัวสนับสนุนแดนกลาง ที่เคยรับบทบาทโดย ราฟาเอล มาร์เกซ ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็น ฮาเวียร์ มาสเชราโน่ ไปแล้ว ทำให้ทีมชุดนี้ดูจะเสียเปรียบในเรื่องของร่างกายชัดเจน โดยเฉพาะลูกเซตพีซต่างๆ ที่จะโดนคู่แข่งโจมตีได้ง่าย
แต่หากดูที่ด้านอื่นๆแล้วนั่น ต้องบอกว่าทีมชุดนี้สุดยอดเลยทีเดียว ในแดนหน้ามีการให้กำเนิดรูปแบบ "false nine" ขึ้นมา โดยเป็น ลิโอเนล เมสซี่ รับบทนี้ ส่วน บีย่า และ เปโดร จะโจมตีคู่แข่งจากปีกทะลุผ่านกองหลังเข้ามา ทางด้านของ เซร์คิโอ บุสเก็ต ซึ่งสามารถเก็บบอลได้ดีนั่นจะรับบทบาท ตัวคุมเกมแดนกลาง ทำให้ ชาบี เอร์นานเดซ และ อิเนียสต้า ดันขึ้นสูงเพื่อทำเกมรุกได้อย่างเต็มที่
รูปแบบการเล่นของทีมชุดนี้คือ จะมีการเคลื่อนที่ไปพร้อมๆกัน ทั้งทีม กล่าวคือ เมื่อพวกนักเตะตัวรุกเริ่มวิ่งขึ้นหน้า พวกกองกลางและกองหลัง ก็จากขยับตามไปเพื่อปิดพื้นที่ว่างและกดดันคู่แข่ง เมื่อมีผู้เล่นขยับจากปีกเข้ามาตรงกลาง จะมีผู้เล่นอีกขยับออกปีกไปแทนทันที หรือถ้ามีผู้เล่นคนหนึ่งขยับเข้ามาใกล้ๆ ก็จะมีอีกคนที่จะวิ่งออกไปทันที อาจจะฟังดูง่ายๆ แต่เมื่อนำวิธีการนี้มาใช้กับการส่งบอลด้วยความเร็วปานสายฟ้าแล้ว มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหยุดยั้งได้
กองหลังของพวกเขาจะดันขึ้นไปสูงมาก แต่อันที่จริงแล้วก็คือ พวกเขาบีบคู่แข่งอย่างรวดเร็วตั้งแต่ในแดนหน้าแล้วต่างหาก ในรอบชิงที่บาร์ซ่าชนะแมนฯ ยูไนเต็ดนั้น ปี 2009 พวกเขาครองบอล 51 เปอร์เซนต์ แต่ทว่าในปี 2011 พวกเขากลับครองบอลได้ถึง 63 เปอร์เซนต์
การครอบครองบอลของทีมชุดนี้นั้นพัฒนาขึ้นมาอย่างชัดเจน ด้วยประสิทธิภาพที่พวกเขาสามารถชิงบอลกลับมาครองจากคู่ต่อสู้ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งทุกคนต่างให้การยอมรับกับทีมชุดนี้จริงๆ ด้วยหลักการที่ว่า "กองหน้าให้รับ กองหลังให้บุก" เป็นแผนการเล่นที่แตกต่างกับ ทีมชุดปี 2006 และ 2009 อย่างชัดเจน ดูเหมือนว่า ยอดโค้ชอัจฉริยะอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ได้คิดค้น แผนการเล่นแห่งอนาคตซึ่งไม่เคยมีมาก่อน ขึ้นมาแล้ว
อันที่จริงแล้วสไตล์การเล่นนี้อันสุดยอดนี้ ของบาร์ซ่าควรจะคงอยู่กับทีมไปนานกว่านี้ หาก เป๊ป ไม่อำลาทีม รวมไปถึงการจากไปด้วยโรคมะเร็งของ ติโต้ บีลาร์โนบา ผู้ช่วยคนสนิทและเป็นผู้ที่ก้าวขึ้นมาเป็นเฮดโค้ช ในเวลาต่อมา
สองปีก่อนหน้านี้ ตาต้า มาร์ติโน่ เข้ามาคุมทีมพร้อมกับสไตล์ ไดเร็ก ฟุตบอล และก็จากไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากแฟนบอลรับไม่ได้กับสไตล์นี้ อีกทั้งยังไม่สามารถพาทีมคว้าแชมป์รายการใดได้อีกด้วย ก่อนจะมาเป็น หลุยส์ เอ็นริเก้ อดีตนักเตะบาร์เซโลน่า และ เป็นอดีตเฮดโค้ช ของบาร์เซโลน่า เบ หากแต่ไม่ได้มีความพิเศษเหมือนกับ เป๊ป เข้ามาคุมทีมแล้วก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรค ต่างๆ จนก้าวขึ้นไปคว้าแชมป์ แชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งเป็นการคว้าทริปเปิล แชมป์ ของสโมสรคำรบสอง อีกด้วย
ชาบี ในวัยอันล่วงเลย ต้องหลีกทางให้กับ อีวาน ราคิติช ซึ่งเป็นผู้เล่นที่มีการจ่ายบอลไกลที่แม่นยำ รวมทั้งการเติมเกมขึ้นไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว อีกทั้งฟูลแบ๊คสองข้างอย่าง ดานี่ อัลเวส และ ฆอร์ดี้ อัลบา ล้วนเปี่ยมไปด้วยเทคนิคที่ดีที่สุดของ ประวัติศาสตร์สโมสร
ส่วน เมสซี่ ถูกจับให้กลับมายืนทางริมเส้นด้านขวาที่เป็นตำแหน่งโดยธรรมชาติอีกครั้ง โดยให้ หลุยส์ ซัวเรส เป็นกองหน้าตัวเป้าไว้คอยชนและมองหาช่อง ผ่านกองหลังคู่แข่ง
แม้บาร์ซ่าในเวอร์ชั่น 2015 จะเป็นทีมที่ครองบอลเหนือกว่าคู่แข่งแต่ก็ไม่ได้ จ้องแต่จะผ่านบอลในพื้นที่สุดท้าย โดยจะเน้นไปที่การเลี้ยงและยิงซะมากกว่า
เมื่อวัดคุณภาพของกองหน้า MSN ชุดนี้ ที่ประกอบไปด้วย เมสซี่, ซัวเรส และ เนย์มาร์ แต่ละคนล้วนมีทักษะ ความสามารถเฉพาะตัวที่ดีเยี่ยม หากนับในเรื่องความสามารถเฉพาะตัวแล้วจะเหนือกว่าทั้งกองหน้าปี 2006 ที่มี โรนัลดินโญ่, เอโต้, เมสซี่ เหนือกว่ากองหน้าปี 2009 ที่มี อองรี, เอโต้, เมสซี่ และยังเหนือกว่ากองหน้าปี 2011 ที่มี เมสซี่, บีย่า, เปโดร อีกด้วย โดย MSN นั้นสามารถพังประตูได้เป็นจำนวนถึง 90 เปอร์เซนต์ของประตูที่ทำได้ใน ลาลีกา ซีซั่นนี้ ถือเป็นสถิติที่สูงสุดของสโมสร
แต่หากจะกล่าวว่าทีม ชุดไหนคือทีมที่ดีที่สุด อันนี้ อาจจะขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล เนื่องจากทีมแต่ละชุดก็มีความเป็นเอกลักษณื เฉพาะตัว ปี 2006 เป็นทีมที่มีการเล่นดูเรียบง่ายที่สุด, ปี 2009 เป็นทีมที่ดูมีพลังมากที่สุด, ปี 2011 เป็นทีมที่มีการครองบอลที่ยอดเยี่ยมที่สุด และสำหรับปี 2015 เป็นทีมที่มีทักษะความสามารถเฉพาะตัวที่ดีที่สุด แต่จากมุมมองของผมนั้น มันยากเหลือเกินที่จะมองข้ามทีมบาร์เซโลน่าในปี 2011 ด้วยวิธีการเล่นที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า คิดค้นขึ้นมาแบบนั้น มันน่าประทับใจจริงๆ
โดย Michael Fox จาก ESPN FC