อาเซน เวนเกอร์ได้พัฒนาปรัชญาการบริหารทีมและมีเวลาที่ดีกับโมนาโก แต่การแข่งขันกับมาร์กเซย์และความเกลียดชังที่มีต่อ แบรนาร์ด ทาร์ปี้ที่ทุจริต สร้างบาดแผลให้กับเขาตลอดเวลา 7 ปีที่คุมทีม
คล็อด ปูเอลใช้เวลาคิดสักพักก่อนจะตอบคำถามนักข่าวที่ว่า อาเซน เวนเกอร์สมควรจะถูกจดจำอย่างไรในช่วงเวลาที่เขาคุมทีมโมนาโก
"เขาทิ้งความประทับใจเอาไว้" ปูแอลกล่าวในฐานะนักเตะเก่าและหัวหน้าโค้ช
"เขาถูกเคารพและชื่นชม ไม่มีผู้จัดการคนไหนคุมทีมได้ยาวนานเท่าที่เขาทำที่นี่ ระยะเวลาที่ยาวนานนั้น แสดงให้เห็นว่าเขาเข้าใจความสำคัญการของพัฒนาสโมสรไม่ใช่แค่แก้ปัญหาเร่งด่วนให้เฉพาะกับตัวทีมฟุตบอล"
และหลังจากนั้นปูแอลก็พูดถึงอีกด้านที่ไม่ได้สวยงามนัก "แต่ แน่นอน สิ่งที่เกิดขึ้น มันสร้างบาดแผลให้กับเขา"
โมนาโกอาจจะจุดที่เริ่มสร้างอาชีพของเวนเกอร์ แต่ประสบการณ์ที่เขาเจอกลับทำให้เขาจดจำมันไปตลอดกาล
แชมเปี้ยนลีกในรอบนี้ ทำให้เวนเกอร์ได้กลับมาพบทีมเก่าอีกครั้ง อาเซน่อล, ที่เวนเกอร์สร้างรากฐานมาตลอด 19 ปี รับการมาเยือนของโมนาโก ที่เอมิเรตสเตเดี้ยมในวันพุธนี้ อาจจะเป็นโปรแกรมการแข่งขันที่ทำให้เวนเกอร์ระลึกถึงจุดเริ่มต้นของทุกอย่างในอาชีพของเขา
โมนาโกไม่ใช่ทีมแรกที่เขาเคยคุม แต่เป็นทีมที่ให้โอกาสเขาสู้ในตำแหน่งผู้ท้าชิง หลายๆ แผนการที่ถูกวางไว้ให้กับอาเซน่อลถูกทดลองที่โมนาโกทั้งสิ้น นอกจากนั้นยังเป็นที่ที่เขาได้แชมป์เมเจอร์เป็นครั้งแรก แต่ก็เป็นที่โมนาโก ที่เวนเกอร์ได้สัมผัสกับด้านมืดของวงการฟุตบอล, ที่เล่ห์เหลี่ยมกลยุทธ์ของเขาไม่มีผล ไม่ว่าเขาพยายามเต็มที่แค่ไหนกลับสูญเปล่า และท้ายสุดเขาต้องโดนไล่ออก บางสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ด้วย ความมีวินัย โภชนาการ หรือแม้กระทั่งความขยัน
เรื่องราวของเวนเกอร์ที่โมนาโกต้องมีบทนำนิดหน่อย เขาเริ่มต้นในตำแหน่งผู้จัดการที่ นองซี่-ลอลาอีน ทีมม้ามืดที่เขาพาขึ้นไปถึงอันดับที่ 12 ในปีแรกที่คุม และนำทีมผ่านการเล่น play-off หนีตกชั้นในปีต่อมา นองซี่เป็นเวทีที่เขาได้ฝึกงานและได้ลองวิธีฝึกรูปแบบใหม่ แต่มันก็มอบบทเรียนที่เจ็บปวดให้เขาด้วยการพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง ทีมของเขาพยายามสู้กับทีมที่เหนือกว่าอย่างมากเพื่อจะมีชีวิตรอด ความพ่ายแพ้แต่ละครั้งสำคัญมากและนั่นมีผลกระทบต่อจิตใจของเขาทุกครั้ง
เขาเคยบอกให้รถโค้ชของทีมหยุดเพื่อที่เขาจะได้อาเจียนด้วยความขยะแขยงหลังกับผลการแข่งขัน หลังจากกลับมาจากการแข่งที่ Lens และในตอนที่ทีมของเขาแพ้การแข่งขันครั้งสุดท้ายก่อนหยุดหน้าหนาว ในฤดูกาลที่สามที่เขาคุมทีม เขายกเลิกคริสมาสตร์ทั้งหมด และปิดประตูไม่ต้อนรับครอบครัวและเพื่อน และขังตัวเองอยู่คนเดียวเป็นเวลาสองอาทิตย์
ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่ แต่ยังมีคนที่เล็งเห็นความสามารถของเขา ในตอนแรก ชอน หลุย กัมโปล่า ประธานของโมนาโกติดต่อไปยัง Neuchâtel Xamax’s Gilbert Gress, ผู้จัดการที่จ้างเวนเกอร์ที่สตาบวร์กให้เป็น นักเตะ-โค้ช เพื่อที่จะมาคุมทีมแทน ลูเชี่ยน มุลเลอร์ แต่ได้รับการปฎิเสธ. กัมโปร่าเลยเลือกที่จะมองไปที่เวนเกอร์
การเจรจากับนองซี่ยืดยื้อไปถึง 15 เดือนในการต่อราคาเกี่ยวกับค่าชดเชย ท้ายสุดแล้ว เวนเกอร์ ที่อายุ 38 ปีในตอนนั้นย้ายมาคุมโมนาโกเมื่อสัญญากับนองซี่หมดลง ทีมของเขายอมจำนนต่อการตกชั้นไปในปีที่สาม - นี่คือการตกชั้นครั้งเดียวในชีวิตของเวนเกอร์ แต่กระนั้นชื่อเสียงของเขาไม่ได้ถูกทำลายลง ด้วยการสนับสนุนจากกัมโปล่า เขาเริ่มสร้างทีมที่แข็งแกร่งตั้งแต่นั้นมา
เขานำเกล็น ฮ็อดเดิ้ลเข้ามาจากเสปอร์ โดยแย่งเขามาจากมือของ เชอราร์ ฮูริเย่ ที่คุมปารีสแชงแซแมงอยู่ในตอนนั้น รวมไปถึง แพทริก แบททิสตัน และ มาร์คฮาเทเล่ นักเตะที่มากด้วยประสบการณ์ ถูกซื้อเข้ามาเพื่อคว้าถ้วยรางวัล. ทีมที่เต็มไปด้วยนักเตะมากด้วยประสบการณ์ ต้อนรับผู้จัดการหน้าใหม่พร้อมกับความสงสัยเต็มเปี่ยม
"ตอนนั้นเราเป็นทีมที่ถูกคาดหวังที่จะคว้าแชมป์และแข่งขันในบอลยุโรป ในขณะที่เขาเพิ่งพานองซี่ตกชั้น" ปูแอลกล่าว "
แต่กัมโปล่าเห็นบางสิ่งในตัวเขา และในไม่ช้าพวกเราก็เห็นมันอย่างรวดเร็ว เรามีความเคารพเขาตั้งแต่แรกเลย"
"เขาตัวสูงและดูน่าเกรงขราม ซึ่งมันก็มีส่วน (ทำให้เขาน่าเคารพ) แต่เขาสามารถสั่งการในห้องโดยไม่ได้ขึ้นเสียง เขามีธรรมชาติของการเป็นผู้นำอยู่ตลอดเวลา เขาพูดอย่างชัดเจนและรัดกุมทุกครั้งก่อนเกมและพักครึ่งถึงปรัชญาของเขาและสิ่งที่เขาต้องการและคาดหวังให้เราทำ เขาเป็นผู้จัดการทีมคนแรกที่ผมทำงานด้วยที่มีการฝึกซ้อมทางแทคติก, การใช้วิดีโอเทปในการเตรียมตัว เขาทำงานตลอดเวลาไม่หยุด และเตรียมพร้อมในการฝึกครั้งต่อไปหรือวิเคราะผลจากการฝึกที่เขาให้เราทำอยู่เสมอ"
"มันจะมีการ "เล็กเชอร์" 45 นาทีก่อนเกมเฉพาะเรื่องแทคติกการเล่น แสดงให้เห็นถึงจุดอ่อนและจุดแข็งของคู่แข่ง และใช้ข้อมูลจากโปรแกรมเก็บสถิติที่ชื่อว่า Top Scorer ซึ่งเป็นต้นฉบับของโปรแกรม ProZone ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ทุกๆ การตัดสินใจของผู้เล่นในสนามจะถูกวิเคราะห์ ในปัจจุบันเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ทุกสโมสรทำอยู่แล้ว แต่ในตอนนั้น (1980s) นี่เป็นเรื่องใหม่มาก"
"อพาทเมนท์ของเขาถูกทิ้งให้ร้างด้วยความบ้าฟุตของของเขา เขาเลือกที่จะแชร์ห้องกับพวกโค้ชที่ติดกับสนามฝึกซ้อม หรือนอนที่ออฟฟิศของเขาที่เต็มไปด้วยวีดีโอเทปของคู่แข่งหรือผู้เล่นที่เขาต้องการสำรวจ นอกจากนั้นยังมีการเปลี่ยนแปลงที่เป็นเหมือนเครื่อหมายการค้าที่อาเซน่อล คือการใช้เวลานั่งรับประทานอาหารพร้อมกับผู้เล่นในโรงอาหาร น้ำดื่มจะอยู่ในอุณหภูมิห้องเพื่อช่วยในการย่อย เนื้อแดงถูกแทนที่ด้วยเนื้อไก่ และความเปลี่ยนแปลงค่อยๆ ทยอยเข้ามาเรื่อยๆ นักกายภาพคนใหม่ โค้ชวิ่งเฉพาะทาง ผู้เชี่ยวชาญการยกน้ำหนัก หมอของทีม นักโภชนาการ ใครก็ตามที่สงสัยในการเปลี่ยนแปลงพวกนี้จะได้รับคำอธิบายอย่างยาวเหยียดและเข้าใจมันในที่สุด"
มานูเอล อโมรอส นักเตะทีมชาติฝรั่งเศษ ที่อยู่ในทีมก่อนเวนเกอร์เข้ามารับหน้าที่ ประทับใจที่เวนเกอร์พร้อมรับฟังความเห็นของนักเตะอยู่เสมอ
"เขาสงสัยว่าเราคิดยังไงเพราะเขารู้ดีว่าเขายังต้องเรียนรู้อีกกมาก" ปูแอลซึ่งในตอนนั้นหลุดออกจากทีมไปและกลับมาได้ในฐานะมิดฟิลด์ตัวรับพูดว่า
"เขาจริงใจและพูดตรงเวลาเขาพูดกับเราตัวต่อตัว เขาทำให้เราคิดใหม่เกี่ยวกับการเล่นของเราเอง บางทีพวกเราเรียกสิ่งนี้ว่า "การฝึกที่มองไม่เห็น" โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงที่มีต่อโภชนาการและการฟื้นตัว เป็นการพัฒนาที่เรามองไม่เห็น แต่ว่ารู้สึกได้ มันเป็นความเป็นมืออาชีพในอีกทางใหม่สำคัญเรา เขาไม่ใช่แค่ปฎิวัติมันโดยทันที มันเหมือนกับการวิวัฒนาการมากกว่า ค่อยๆ เปลี่ยนไปตามกาลเวลา มันยากเสมอเมื่อเข้ามาในสโมสรใหญ่และจะพยายามเปลี่ยนทุกๆ อย่างภายในชั่วค่ำคืน"
การเปลี่ยนแปลงแสดงให้เห็นผลบนสนาม เมื่อโมนาโกได้แชมป์ลีกเอิงในปีแรกที่เขาคุม และได้ถ้วย French Cup ในปี 1991 เช่นกัน ด้วยความต้องการที่จะดันนักเตะหนุ่มขึ้นสู่ทีม เอ็มมานูเอล เปอตีได้ลงเล่นตอนอายุ 17 ลิลิยง ตูรามได้เล่นตอนอายุ 18 และการเข้าสู่ตลาดแอฟริกาให้ผลตอบแทนอย่างมหาศาล จอร์จ เวอาห์ สุดยอดนักเตะซึ่งท้ายสุดแล้วได้อุทิศรางวัล Fifa world player of the year ปี 1995 ให้กับเวนเกอร์ เขาใช้วิธีคล้ายกันที่อาเซน่อล แน่นอนโมนาโกก็ได้รับผลประโยชน์ก่อนจากวิธีของเขา แต่มันก็ไม่ได้รับประกันความสำเร็จ แทนที่โมนาโกจะเติบโตพวกเขากลับถูกบดบังโดยคู่แข่งตัวฉกาจ
มาร์กเซย์น่าจะหลอกหลอนความทรงจำของเวนเกอร์มากขึ้นในตอนนี้ พวกเขาเป็นทีมยักษ์ใหญ่ในยุคนั้น ความยิ่งใหญ่ในการแข่งขันในประเทศที่แทบจะผูกขาดแชมป์ทุกๆ ปี หลังจากความสำเร็จในปีแรก โมนาโกของเวนเกอร์ถูกปกคลุมไปด้วยเงาของมาร์กเซย์
มารก์เซย์ที่มีแบร์นาร์ด ทาปี้ บุคคลที่ทรงอำนาจในฟุตบอลฝรั่งเศษตอนนั้น เป็นประธานสโมสรจอมเผชิญหน้า มักจะคร่ำครวญเรื่องความแตกต่างเรื่องภาษีที่โมนาโกมีอยู่เสมอ
ความเกลียดชังของทาปี้กับเวนเกอร์อยู่กระจายไปทุกแห่งอย่างน่าตกใจ ทุกครั้งที่ทีมเจอกัน ความเกลียดชังจะขยายวงกว้างยิ่งกว่าที่เวนเกอร์เคยเจอจาก Sir Alex Ferguson หรือ Jose Mourinho อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นโค้ชเหมือนกัน
"มันเหมือนสงครามที่ต้องฆ่ากันให้ตายข้างนึง" ชอน เปอร์ตี ผู้ช่วยผู้จัดการโมนาโกกล่าว
มีครั้งนึงที่ทาปี้ตะโกนใส่เวนเกอร์หลังจากโมนาโกพ่ายแพ้ว่า “ข้าบดขยี้พวกแก และโมนาโกเล็กๆ ของแก”
มาร์กเซย์ผูกขาดแชมป์ลีคไปถึง 4 ปี ในสองปีแรกโมนาโกอยู่ที่อันดับสาม และในปี 1991 และ 1992 ทีมของเวนเกอร์อยู่ที่อันดับสอง โมนาโกของเวนเกอร์เกือบจะได้แชมป์หลายครั้ง พวกเขาพ่ายแพ้มาร์กเซย์ในรองชิงด้วยนะแนน 4-3 ในถ้วย Coupe de France และโดน Werder Bremen ถล่มในปี 1992 ใน Cup Winner's Cup รอบชิงในช่วงที่ทีม และผู้จัดการทีมถูกโศกนาฐกรรมของสนาม Armand Cesari stadium เขย่าขวัญก่อนที่รอบชิงจะเริ่มขึ้น มีคนเจ็บมากกว่า 2,300 คน และมีคนตายไป 18 คนเมื่อแท่นยืนชั่วคราวหักลงมาในนัดที่โมนาโกเล่นเซมิไฟน่อลกับมาร์กเซย์ นักเตะของโมนาโกและสตาฟมีเพื่อนและครอบครัวที่มาชมเกมนี้ด้วย เวนเกอร์ส่งคำร้องขอเลื่อนเกมของบอลยุโรปแต่ถูกปัดตกไป ทีมของเขาที่กำลังเสียใจและกังวลต่อเหตุการณ์ที่เศร้าสลด พ่ายแพ้ทีมเยอรมันไปอย่างขาดลอย
แต่ความเคียดแค้นที่แท้จริงกลับสโมสรมาร์กเซย์ถูกเปิดเผยโดย ชอน ชาร์ก อีเดลี่ มิดฟิลด์ของมาร์กเซย์ถูกพบว่าแอบติดต่อกับนักเตะ วาเลนเซียนสามคน - จอร์จ เบอรูชาก้า, คริสตอฟ โรเบิร์ด และ ชาร์ก กลาสแมน ซึ่งกลาสแมนเป็นคนที่ออกมาเปิดเผยการทุจริตครั้งนี้หกวันก่อนการเตะแชมเปี้ยนลีคที่มิวนิค บอกให้คู่แข่ง "เล่นเบาๆ" กับมาร์กเซย์ แลกกับ 250,000 ฟรังค์ เพื่อให้มาร์กเซย์ได้แชมป์ลีคในคืนนั้น และมุ่งโฟกัสไปยังการแข่งขันกับมิลานในแชมเปี้ยนลีก
การติดสินบนครั้งนั้นทำให้มาร์กเซย์ถูกริบตำแหน่งแชมป์เปี้ยน และตกชั้นลงไปเล่นในดิวิชั่น 2 สองปีและถูกแบนจากการป้องกันแชมเปี้ยนลีก แม้ว่าเขาพวกเขาจะไม่ถูกริบแชมเปี้ยนลีกด้วย. ทาร์ปี้ต้องชดใช้กรรมอยู่ในคุกเป็นเวลาหกเดือนจากการตัดสินให้ติดคุก 2 ปีเนื่องจากข้อหาทุจริตและการติดสินบนพยาน
โมนาโกจบฤดูกาลนั้นในตำแหน่งที่ 3, ตาม PSG ด้วยประตูได้เสีย แต่พวกเขาก็ได้สิทธ์ไปเตะแชมเปี้ยนส์ลีก หลังจาก PSG ปฎิเสธที่จะไปแทน มาร์กเซย์ เนื่องจากสปอนเซอร์ของ PSG (Canal Plus) ซึ่งเป็นหนังสือ ไม่ต้องการให้สมาชิกที่อยู่ในมาร์กเซย์รู้สึกไม่ดี ถึงกระนั้น เวนเกอร์ยังคงคิดว่า เหตุการณ์ที่ถูกเปิดเผย เป็นแค่ส่วนเล็กๆ จากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง และไม่ได้เกิดเพียงแค่ฤดูกาลนี้เท่านั้น
ความคิดของเวนเกอร์ยิ่งถูกยืนยันอีกครั้ง เมื่อ หนังสือชีวะประวัติของ อีเดลี่ ซึ่งถูกตีพิมพ์ในปี 2006 พูดถึงการติดต่อคู่แข่งอย่างผิดกฎหลากหลายครั้ง (เพื่อติดสินบน) ที่มาร์กเซย์ปกปิดไว้ รวมไปถึงการใช้ยากระตุ้น
ตัวเวนเกอร์เองก็เคยกังวลว่าผู้เล่นของโมนาโกอาจจะเคยโดนติดต่อในเวลานั้นเช่นกัน เอ็มมานูลเอล เปอร์ตีพูดถึงช่วงนั้นว่า “สองวันหลังที่เราแพ้มาร์กเซย์ 3-0 เวนเกอร์เรียกผมเข้าไปพบ ในออสฟิศของเขาและบอกให้ปิดประตู เขาเปิดวีดีโอเกมกับมาร์กเซย์และถามผมว่าคิดยังไงกับประตูนี้ แล้วเขาก็บอกผมว่าเขาสงสัยอะไร จริงๆ แล้วมันค่อนข้างดูชัดเจนว่า ผู้เล่นบางคนของโมนาโกถูกมาร์กเซย์ซื้อไป”
"เราพูดถึงมันครั้งนึง ในช่วงฤดูกาลปิด ตอนที่เรื่องมันแดงออกมา" ปูแอลกล่าว
"เรื่องที่ออกมามันน่าตกใจสำหรับผม แต่ไม่ว่าจะแปลกยังไงมันเป็นเรื่องที่มันเกิดขึ้นจริงๆ มันทำให้ผมและเวนเกอร์รู้สึกแย่และหงุดหงิดมาก ผมไม่คิดว่าเรื่องพวกนี้จะเกิดขึ้นในเกมฟุตบอล พอมองย้อนหลังไป เราอดคิดไม่ได้ว่า เราอาจจะเป็นแชมป์อย่างน้อยสองครั้งแทนมาร์กเซย์ มันเป็นแผลในใจของอาเซนและพวกเราทุกคน พวกเรามีมุมมองที่บริสุทธ์ต่อฟุตบอล ว่ามันมีความหมายยังไง และคุณต้องสู้เพื่อเพื่อนร่วทีมและสโมสร แต่เรื่องที่แดงออกมาแสดงให้เห็นว่าประวัติศาตร์ที่จริงแล้วมันแตกต่างไปในตอนนั้น"
เวนเกอร์บอกในปี 2006 ว่า “ในตอนนั้นผมอยากจะเตือนคนอื่น ทำให้ผู้คนได้ตระหนักถึงมัน แต่ผมไม่สามารถพิสูจน์มันได้” “ในตอนนั้นการทุจริตและการใช้สารกระตุ้นเป็นเรื่องใหญ่ และมันไม่มีอะไรแย่กว่าการที่รู้ตั้งแต่แรกว่าเราต้องสู้กับทีมที่ใช้สิ่งพวกนั้น”
การที่กัมโปล่าไม่ได้สนับสนุนการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมของเวนเกอร์ในเวลานั้นยิ่งทำลายความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วระหว่างคนทั้งสอง เวนเกอร์ต้องผิดหวังอีกครั้งเมื่อแผนพัฒนาศูนย์ฝึกซ้อมที่โมนาโกของเขาถูกเพิกเฉย ซึ่งต่อมาอีกหลายปี เราได้เห็นว่ามันยอดเยี่ยมแค่ไหนที่ ลอนดอน โคลนี่ย์ การขาดความสำเร็จที่จับต้องได้ แม้กรกะทั่งหลังจากที่มาร์กเซย์ตกชั้นไป ทำให้บอร์ดบริหารของโมนาโกต้องการความเปลี่ยนแปลง ในสายตาของบอร์ด ผู้จัดการทีมได้เสียความขลังไปแล้ว และเหมือนแค่เพียงรอเวลาเท่านั้นที่ทั้งสองจะแยกทางกัน
เมื่อ ฟร้าน เบ็คเค่นบาวเอ่อร์ติดต่อโมนาโกในปี 1994 เพื่อจะเซ็นสัญญากับเวนเกอร์ไปคุมบาเยิร์น มิวนิค บอร์ดบริหารโมนาโกกลับปฎิเสธ ทั้งที่ในที่สุดแล้วเวนเกอร์ก็โดนปลดออกในฤดูกาลต่อมา
“เขาสมควรที่จะผิดหวังกับวิธีที่ทุกอย่างจบลง โดย ยิ่งคำนึงถึงเรื่องที่เขาอยากที่จะไปคุมบาเยิร์นแค่ไหน” ปูแอลกล่าว “มันเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมสำหรับบางคนที่พูดภาษาเยอรมันและโตขึ้นมากับการดูบอลบุนเดสลีกา มันน่าจะสมบูรณ์แบบ”
“แต่เขาถูกปฎิเสธโอกาสนั้น และโดนปลดออกจากตำแหน่งไม่กี่เดือนต่อมา มันทำให้เขาเจ็บปวด แต่เวลาก็ผ่านไปนานแล้ว”
“โมนาโกควรชื่นชมกับสิ่งที่เขาทำให้สโมสรและรากฐานที่เขาวาวงไว้ ส่วนตัวผมเอง ผมจะคิดว่าเขาเป็นโค้ชของผมอยู่เสมอ และโมนาโกคือที่ที่เขาสร้างชื่อขึ้นมา”
ที่มา: http://www.thenational.ae/sport/football/early-duels-in-french-footballs-dark-days-shaped-arsenal-manager-wenger
ที่มา: http://www.theguardian.com/football/blog/2015/feb/21/arsenal-arsene-wenger-scarred-monaco-marseille
ที่มา: http://www.theguardian.com/football/2013/nov/29/arsenal-arsene-wenger-marseille-match-fixing
แปลโดย: litmanen / gunnerthailand.com
http://gunnerthailand.com/boards/index.php?/topic/7417-บทความ-อาร์แซน-เวนเกอร์กับบาด/