<Interstellar> การตีความของบทสรุป (มีการสปอยเนื้อหา)
“We used to look up at the sky and wonder at our place in the stars, now we just look down and worry about our place in the dirt.”
- Interstellar (2014)
การตีความภาพยนตร์ของโนแลนนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำได้โดยการดูเพียงครั้งเดียว Interstellar ก็เช่นเดียวกัน การดูหนังเรื่องนี้ครั้งแรกนั้น ผมมีคำถามกับตัวเองมากมายหลังดูจบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Fiction Scienceต่างๆที่ว่าด้วยการบิดเบี้ยวของพื้นผิวของจักรวาล ความแตกต่างของเวลาอันเนื่องมาจากเงื่อนไขที่แตกต่างกันของแรงโน้มถ่วงหรือความเร็วของแสง อิทธิพลของแรงโน้มถ่วง รวมไปถึงมิติที่ห้าที่ดูค่อนข้างจะเป็นเรื่องนามธรรมมากเหลือเกิน จนวันนี้ได้มีโอกาสไปดูรอบสองจึงพอตีความได้ และได้แบ่งการตีความของหนังเรื่องนี้ออกเป็นสองส่วนคือ การตีความทางวิทยาศาสตร์ต่างๆที่ได้กล่าวไว้ในหนังเรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นกฎสัมพันธภาพ หลุมดำ Singularity และEvent Horizon ซึ่งผมขอข้ามการตีความ ประเด็นที่ว่านี้มา เพราะยอมรับว่าพื้นฐานทางความรู้ในเรื่องนี้ยังไม่แน่นพอ และอีกประเด็นหนึ่งที่หนังเรื่องนี้ได้สื่อถึงก็คงเป็นเรื่องปรัชญาที่แฝงเข้ามาในรูปของมิติต่างๆ ซึ่ง Interstellar ได้กล่าวถึงมิติที่มนุษย์เรานั้นไม่มีทางก้าวถึง นั่นก็คือมิติที่ห้าซึ่งแน่นอนว่ามันอธิบายถึงเนื้อเรื่องตอนจบอย่างชัดเจน
มิติในความหมายของผมนั้นหมายถึงสิ่งที่ก่อให้เกิดตัวตนของสิ่งนั้นๆขึ้นมาอย่างเป็นลำดับขั้น ซึ่งถ้าจะเอ่ยถึงจุดเริ่มนั้นก็คงเริ่มจากสภาวะที่ไร้มิติซึ่งก็คือจุดนั่นเอง จุดเล็กๆจุดหนึ่งซึ่งเป็นจุดเริ่มของทุกสิ่ง ในความคิดของผมนั้นจุดเป็นความหมายทางปรัชญาของความว่างเปล่า มันไม่มีตัวตน ถ้าคุณถามว่า “ทำไมจุดไม่มีตัวตนกำหนดได้ ก็แค่จุดปากกาลงกระดาษ หนึ่งครั้งเราก็ได้จุดมาหนึ่งจุด” ใช่ครับมองผิวเผินแล้วมันคือจุดแต่ต่อให้ปากกาที่ใช้นั้นหัวเล็กเพียงใด จุดที่ได้มานั้นย่อมมีความกว้างของเส้นรอบวงไม่มากก็น้อย จนบางครั้งอาจน้อยจนสายตามองไม่เห็น แต่ในทางทฤษฎีนั้นจุดหลายๆจุดเชื่อมกันในสภาวะต่อเนื่อง มิติแรกจะเกิดขึ้น นั่นก็คือเส้นนั่นเอง เส้นเกิดจากจุดหลายๆจุดเชื่อมต่อกัน และในทางเดียวกันที่สุดเมื่อเราลากเส้นหลายๆเส้นเชื่อมกันอย่างต่อเนื่องย่อมได้พื้นที่ซึ่งก็คือมิติที่สอง และเมื่อเรานำพื้นที่ที่ได้มาเชื่อมต่อๆกันไปเรื่อยๆย่อมได้ปริมาตร ซึ่งก็คือสภาวะสามมิตินั่นเอง มิติที่ผมได้กล่าวไปข้างต้นนั้น ความสัมพันธ์กันระหว่าง จุด เส้น พื้นที่ และปริมาตร หากใครเคยผ่านความโหดร้ายของวิชาแคลคูลัส มาแล้วคงเข้าใจไม่ยากเพราะ แคลคูลัสเป็นคณิตศาสตร์ที่อาศัยการคำนวณจากความต่อเนื่องของข้อมูล ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของความต่อเนื่องที่อยู่ในเงื่อนไขของฟังค์ชันนั้นๆ และหลายๆครั้งความต่อเนื่องนั้นๆก็ออกมาในรูปแบบของเวลาซึ่งก็คือ คำนิยามของมิติที่สี่
ถ้าจะอธิบายถึงความสันพันธ์ระหว่างมิตินั้นให้ลึกลงไปอีกก็คงอธิบายว่า จุดย่อมเป็นตัวกำหนดแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของเส้น เส้นกำหนดแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ พื้นที่กำหนดแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของปริมาตร และท้ายสุดก็คือ ปริมาตรเปลี่ยนแปลงแนวโน้มของเวลา การกำหนดแนวโน้มนั้นย่อมเป็นไปตามลำดับขั้น เราไม่สามารถนำเส้นไปกำหนดการเปลี่ยนแปลงของปริมาตรโดยไม่ผ่านพื้นที่ได้ฉันใด เส้นก็ไม่สามารถกำหนดแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของเวลาได้ฉันนั้น ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือเราไม่สามารถเลื่อนตำแหน่งเส้นให้มันเคลื่อนที่ไปได้ในเวลาที่ผ่านไป แต่สิ่งที่เราเลื่อนได้นั้นคือปริมาตร ตัวอย่างง่ายๆคือ การเลื่อนกล่อง ไปด้านซ้ายในเวลาสิบวินาที เมื่อเวลาผ่านไปสิบนาที กล่องที่ถูกเลื่อนก็จะเปลี่ยนสถานที่ไปตามการเปลี่ยนไปของเวลา เงื่อนไขของเวลาเปลี่ยนไปตั้งแต่กล่องเริ่มขยับ แต่เวลาในมิติที่สี่นั้นสามารถเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขได้แค่ที่เวลานั้นๆ หรือเวลาปัจจุบันนั่นเอง เราไม่สามารถย้อนเวลาไปเลื่อนตำแหน่งกล่องเมื่อห้าปีก่อนได้ เพราะเวลาเป็นปริมาณที่ไม่สามารถย้อนกลับในมิติที่เราอยู่ เวลาในมิตินี้เป็นปริมาณทางเวกเตอร์ที่ไม่สมบูรณ์ มันมีแต่ทิศทางในแนวบวก ไม่มีลบ ถ้าจะเทียบกับมิติที่สี่เป็นผู้จัดการร้านอาหาร และเวลาเป็นไฟล์บัญชีรายรับรายจ่าย ผู้จัดการที่ขึ้นชื่อว่ามิติที่สี่ก็คงเป็นคนที่เขียนบัญชีรายรับรายจ่ายแบบวันต่อวันเมื่อวันหนึ่งผ่านไปเขาก็ทิ้งไฟล์เก่าของวันที่แล้วทิ้งลงถังขยะละเริ่มเขียนบัญชีของวันนั้นๆต่อไป โดยปราศจากการเก็บข้อมูล
แน่นอนว่าถ้ามีผู้จัดการร้านอาหารที่ทำงานไม่ละเอียด ไม่ชอบเก็บเอกสาร ก็ย่อมมีผู้จัดการดีเด่นที่เก็บเอกสารเก่าๆทุกฉบับเพื่อหาข้อมูลในอดีตที่ผิดพลาดเพื่อนำมาชี้แนะลูกน้องและแก้ไข ถ้าเปรียบเทียบร้านอาหารเป็นโลกใบนี้และข้อมูลรายรับรายจ่ายเป็นช่วงเวลา ความเป็นไปของสิ่งมีชีวิตของโลกใบนี้ ผู้จัดการที่ว่าถ้าอิงตามเนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้แล้วก็คงเป็นมนุษย์ในอนาคตที่สามารถเข้าถึงมิติที่ห้าได้แต่ในเชิงอุปมาอุปมัยนั้นมันจะต่างอะไรไปจากพระเจ้าซึ่งเก็บข้อมูลความเป็นไปของสิ่งมีชีวิตต่างๆลงแฟ้มในรูปแบบของเวลาแทนกระดาษ พระเจ้าไม่ใช่คนสร้างรายรับรายจ่ายขึ้นมาหากแต่เป็นคนที่รวบรวมข้อมูลและเก็บรักษาข้อมูลให้จัดเป็นระเบียบและมีแบบแผน ความเป็นไปต่างๆย่อมเกิดจากการตัดสินใจของสิ่งมีชีวิตไม่ต่างกับจำนวนลูกค้าที่เข้ามาในร้าน ผู้จัดการร้านอาหารไม่สามารถสร้างบัญชีรายรับรายจ่ายขึ้นมาเองได้หากแต่ว่ามันมาจากจำนวนคนที่ตัดสินใจเข้ามากินอาหารที่ร้านนั้นๆ เมื่อพระเจ้าในมิติที่ห้าเริ่มเห็นบัญชีที่ผิดแปลกไปในทางที่ไม่ดีการชี้แนะนำทางย่อมเกิดขึ้น แต่เขาลงไปชี้แนะด้วยตนเองไม่ได้ ทำได้เพียงแต่หาคนที่จะมาแก้ปัญหาและหาตัวเชื่อมซึ่งมีหน้าที่ไปบอกข้อมูล จากในเรื่องก็คงไม่พ้น คูเปอร์ นักบินพ่อลูกสองซึ่งถูกชี้แนะให้เข้าภารกิจจากตัวเขาเองในมิติที่ห้าเพื่อที่จะนำข้อมูลอันมีค่าไปส่งให้แก้ผู้ที่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง ก็คือลูกสาวของเขานั่นเอง เมื่อคูเปอร์ได้เข้าไปในห้องของมิติที่ห้านั่น สิ่งที่เชื่อมต่อระหว่างเขาและลูกสาวก็คงเป็นความรักอย่างที่ดร แบรนได้เคยกล่าวไว้ ว่าความ “รักคือสิ่งที่ชี้ทางเรามาตลอด” คูเปอร์ได้เปิดแฟ้มเวลาที่พระเจ้าหรือคนในอนาคตได้ให้ไว้โดยใช้ความรักของเขาที่มีต่อลูกสาวเป็นอักษรลัดในการค้นหาแฟ้มและท้ายสุดก็คงเป็นแรงโน้มถ่วงที่เป็นเครื่องมือที่ใช้บอกข้อมูล ความรักและแรงโน้มถ่วง สองอย่างนี้เป็นเครื่องมือในการชี้นำของพระเจ้าเป็นตัวช่วยให้สิ่งมีชีวิตดำรงอยู่ต่อไป
อย่างทีบอกไว้ว่าพระเจ้าได้เป็นเพียงผู้ชี้แนะและการตัดสินใจต่างๆย่อมเกิดจากตัวบุคคลนั้นๆ เมิร์ฟอาจจะโยนนาฬิกาทิ้งโดยไม่เห็นข้อความของคูเปอร์ หรือตัวคูเปอร์เองอาจจะเลือกที่จะอยู่กับครอบครัวแทนที่จะทำภารกิจ ถ้าเป็นไปตามสองอย่างนี้ พระเจ้าหรือใครๆก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ มันก็เหมือนชีวิตเราที่มีคนหลายคนเหลือเกินคอยชี้แนะการกระทำต่างๆให้เรา แต่สุดท้ายการตัดสินใจในการกระทำต่างๆล้วนมาจากตนเองทั้งสิ้น ไม่มีใครสามารถบังคับให้คุณเลิกขโมยของได้ หากได้แต่ชี้แนะและห้ามปราม การทำตามคำชี้แนะในสิ่งที่ดีนั้นย่อมมีสิ่งที่ดีตามเข้ามาและสุดท้ายผลของการกระทำต่างๆจะดีหรือจะเลว ผู้รับผิดชอบก็ไม่ใช่ใครหากแต่เป็นตัวของคุณเองในท้ายสุด
-Interstellar (2014)
Credit: บทความผ่านแผ่นฟิล์ม
ติดตามผลงานอื่นๆที่ผมเคยเขียนไว้ผ่านช่องทางนี้ครับ
https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%9F%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B9%8C%E0%B8%A1/680159158772066?ref=tn_tnmn