BLOG BOARD_B
ติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Email: sale@soccersuck.com
ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 May 2009
ตอบ: 6440
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Nov 28, 2014 13:15
ถูกแบนแล้ว
<Interstellar> การตีความของบทสรุป (มีการสปอยเนื้อหา)


“We used to look up at the sky and wonder at our place in the stars, now we just look down and worry about our place in the dirt.”

- Interstellar (2014)


การตีความภาพยนตร์ของโนแลนนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำได้โดยการดูเพียงครั้งเดียว Interstellar ก็เช่นเดียวกัน การดูหนังเรื่องนี้ครั้งแรกนั้น ผมมีคำถามกับตัวเองมากมายหลังดูจบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Fiction Scienceต่างๆที่ว่าด้วยการบิดเบี้ยวของพื้นผิวของจักรวาล ความแตกต่างของเวลาอันเนื่องมาจากเงื่อนไขที่แตกต่างกันของแรงโน้มถ่วงหรือความเร็วของแสง อิทธิพลของแรงโน้มถ่วง รวมไปถึงมิติที่ห้าที่ดูค่อนข้างจะเป็นเรื่องนามธรรมมากเหลือเกิน จนวันนี้ได้มีโอกาสไปดูรอบสองจึงพอตีความได้ และได้แบ่งการตีความของหนังเรื่องนี้ออกเป็นสองส่วนคือ การตีความทางวิทยาศาสตร์ต่างๆที่ได้กล่าวไว้ในหนังเรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นกฎสัมพันธภาพ หลุมดำ Singularity และEvent Horizon ซึ่งผมขอข้ามการตีความ ประเด็นที่ว่านี้มา เพราะยอมรับว่าพื้นฐานทางความรู้ในเรื่องนี้ยังไม่แน่นพอ และอีกประเด็นหนึ่งที่หนังเรื่องนี้ได้สื่อถึงก็คงเป็นเรื่องปรัชญาที่แฝงเข้ามาในรูปของมิติต่างๆ ซึ่ง Interstellar ได้กล่าวถึงมิติที่มนุษย์เรานั้นไม่มีทางก้าวถึง นั่นก็คือมิติที่ห้าซึ่งแน่นอนว่ามันอธิบายถึงเนื้อเรื่องตอนจบอย่างชัดเจน

มิติในความหมายของผมนั้นหมายถึงสิ่งที่ก่อให้เกิดตัวตนของสิ่งนั้นๆขึ้นมาอย่างเป็นลำดับขั้น ซึ่งถ้าจะเอ่ยถึงจุดเริ่มนั้นก็คงเริ่มจากสภาวะที่ไร้มิติซึ่งก็คือจุดนั่นเอง จุดเล็กๆจุดหนึ่งซึ่งเป็นจุดเริ่มของทุกสิ่ง ในความคิดของผมนั้นจุดเป็นความหมายทางปรัชญาของความว่างเปล่า มันไม่มีตัวตน ถ้าคุณถามว่า “ทำไมจุดไม่มีตัวตนกำหนดได้ ก็แค่จุดปากกาลงกระดาษ หนึ่งครั้งเราก็ได้จุดมาหนึ่งจุด” ใช่ครับมองผิวเผินแล้วมันคือจุดแต่ต่อให้ปากกาที่ใช้นั้นหัวเล็กเพียงใด จุดที่ได้มานั้นย่อมมีความกว้างของเส้นรอบวงไม่มากก็น้อย จนบางครั้งอาจน้อยจนสายตามองไม่เห็น แต่ในทางทฤษฎีนั้นจุดหลายๆจุดเชื่อมกันในสภาวะต่อเนื่อง มิติแรกจะเกิดขึ้น นั่นก็คือเส้นนั่นเอง เส้นเกิดจากจุดหลายๆจุดเชื่อมต่อกัน และในทางเดียวกันที่สุดเมื่อเราลากเส้นหลายๆเส้นเชื่อมกันอย่างต่อเนื่องย่อมได้พื้นที่ซึ่งก็คือมิติที่สอง และเมื่อเรานำพื้นที่ที่ได้มาเชื่อมต่อๆกันไปเรื่อยๆย่อมได้ปริมาตร ซึ่งก็คือสภาวะสามมิตินั่นเอง มิติที่ผมได้กล่าวไปข้างต้นนั้น ความสัมพันธ์กันระหว่าง จุด เส้น พื้นที่ และปริมาตร หากใครเคยผ่านความโหดร้ายของวิชาแคลคูลัส มาแล้วคงเข้าใจไม่ยากเพราะ แคลคูลัสเป็นคณิตศาสตร์ที่อาศัยการคำนวณจากความต่อเนื่องของข้อมูล ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของความต่อเนื่องที่อยู่ในเงื่อนไขของฟังค์ชันนั้นๆ และหลายๆครั้งความต่อเนื่องนั้นๆก็ออกมาในรูปแบบของเวลาซึ่งก็คือ คำนิยามของมิติที่สี่



ถ้าจะอธิบายถึงความสันพันธ์ระหว่างมิตินั้นให้ลึกลงไปอีกก็คงอธิบายว่า จุดย่อมเป็นตัวกำหนดแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของเส้น เส้นกำหนดแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ พื้นที่กำหนดแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของปริมาตร และท้ายสุดก็คือ ปริมาตรเปลี่ยนแปลงแนวโน้มของเวลา การกำหนดแนวโน้มนั้นย่อมเป็นไปตามลำดับขั้น เราไม่สามารถนำเส้นไปกำหนดการเปลี่ยนแปลงของปริมาตรโดยไม่ผ่านพื้นที่ได้ฉันใด เส้นก็ไม่สามารถกำหนดแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของเวลาได้ฉันนั้น ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือเราไม่สามารถเลื่อนตำแหน่งเส้นให้มันเคลื่อนที่ไปได้ในเวลาที่ผ่านไป แต่สิ่งที่เราเลื่อนได้นั้นคือปริมาตร ตัวอย่างง่ายๆคือ การเลื่อนกล่อง ไปด้านซ้ายในเวลาสิบวินาที เมื่อเวลาผ่านไปสิบนาที กล่องที่ถูกเลื่อนก็จะเปลี่ยนสถานที่ไปตามการเปลี่ยนไปของเวลา เงื่อนไขของเวลาเปลี่ยนไปตั้งแต่กล่องเริ่มขยับ แต่เวลาในมิติที่สี่นั้นสามารถเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขได้แค่ที่เวลานั้นๆ หรือเวลาปัจจุบันนั่นเอง เราไม่สามารถย้อนเวลาไปเลื่อนตำแหน่งกล่องเมื่อห้าปีก่อนได้ เพราะเวลาเป็นปริมาณที่ไม่สามารถย้อนกลับในมิติที่เราอยู่ เวลาในมิตินี้เป็นปริมาณทางเวกเตอร์ที่ไม่สมบูรณ์ มันมีแต่ทิศทางในแนวบวก ไม่มีลบ ถ้าจะเทียบกับมิติที่สี่เป็นผู้จัดการร้านอาหาร และเวลาเป็นไฟล์บัญชีรายรับรายจ่าย ผู้จัดการที่ขึ้นชื่อว่ามิติที่สี่ก็คงเป็นคนที่เขียนบัญชีรายรับรายจ่ายแบบวันต่อวันเมื่อวันหนึ่งผ่านไปเขาก็ทิ้งไฟล์เก่าของวันที่แล้วทิ้งลงถังขยะละเริ่มเขียนบัญชีของวันนั้นๆต่อไป โดยปราศจากการเก็บข้อมูล



แน่นอนว่าถ้ามีผู้จัดการร้านอาหารที่ทำงานไม่ละเอียด ไม่ชอบเก็บเอกสาร ก็ย่อมมีผู้จัดการดีเด่นที่เก็บเอกสารเก่าๆทุกฉบับเพื่อหาข้อมูลในอดีตที่ผิดพลาดเพื่อนำมาชี้แนะลูกน้องและแก้ไข ถ้าเปรียบเทียบร้านอาหารเป็นโลกใบนี้และข้อมูลรายรับรายจ่ายเป็นช่วงเวลา ความเป็นไปของสิ่งมีชีวิตของโลกใบนี้ ผู้จัดการที่ว่าถ้าอิงตามเนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้แล้วก็คงเป็นมนุษย์ในอนาคตที่สามารถเข้าถึงมิติที่ห้าได้แต่ในเชิงอุปมาอุปมัยนั้นมันจะต่างอะไรไปจากพระเจ้าซึ่งเก็บข้อมูลความเป็นไปของสิ่งมีชีวิตต่างๆลงแฟ้มในรูปแบบของเวลาแทนกระดาษ พระเจ้าไม่ใช่คนสร้างรายรับรายจ่ายขึ้นมาหากแต่เป็นคนที่รวบรวมข้อมูลและเก็บรักษาข้อมูลให้จัดเป็นระเบียบและมีแบบแผน ความเป็นไปต่างๆย่อมเกิดจากการตัดสินใจของสิ่งมีชีวิตไม่ต่างกับจำนวนลูกค้าที่เข้ามาในร้าน ผู้จัดการร้านอาหารไม่สามารถสร้างบัญชีรายรับรายจ่ายขึ้นมาเองได้หากแต่ว่ามันมาจากจำนวนคนที่ตัดสินใจเข้ามากินอาหารที่ร้านนั้นๆ เมื่อพระเจ้าในมิติที่ห้าเริ่มเห็นบัญชีที่ผิดแปลกไปในทางที่ไม่ดีการชี้แนะนำทางย่อมเกิดขึ้น แต่เขาลงไปชี้แนะด้วยตนเองไม่ได้ ทำได้เพียงแต่หาคนที่จะมาแก้ปัญหาและหาตัวเชื่อมซึ่งมีหน้าที่ไปบอกข้อมูล จากในเรื่องก็คงไม่พ้น คูเปอร์ นักบินพ่อลูกสองซึ่งถูกชี้แนะให้เข้าภารกิจจากตัวเขาเองในมิติที่ห้าเพื่อที่จะนำข้อมูลอันมีค่าไปส่งให้แก้ผู้ที่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง ก็คือลูกสาวของเขานั่นเอง เมื่อคูเปอร์ได้เข้าไปในห้องของมิติที่ห้านั่น สิ่งที่เชื่อมต่อระหว่างเขาและลูกสาวก็คงเป็นความรักอย่างที่ดร แบรนได้เคยกล่าวไว้ ว่าความ “รักคือสิ่งที่ชี้ทางเรามาตลอด” คูเปอร์ได้เปิดแฟ้มเวลาที่พระเจ้าหรือคนในอนาคตได้ให้ไว้โดยใช้ความรักของเขาที่มีต่อลูกสาวเป็นอักษรลัดในการค้นหาแฟ้มและท้ายสุดก็คงเป็นแรงโน้มถ่วงที่เป็นเครื่องมือที่ใช้บอกข้อมูล ความรักและแรงโน้มถ่วง สองอย่างนี้เป็นเครื่องมือในการชี้นำของพระเจ้าเป็นตัวช่วยให้สิ่งมีชีวิตดำรงอยู่ต่อไป

อย่างทีบอกไว้ว่าพระเจ้าได้เป็นเพียงผู้ชี้แนะและการตัดสินใจต่างๆย่อมเกิดจากตัวบุคคลนั้นๆ เมิร์ฟอาจจะโยนนาฬิกาทิ้งโดยไม่เห็นข้อความของคูเปอร์ หรือตัวคูเปอร์เองอาจจะเลือกที่จะอยู่กับครอบครัวแทนที่จะทำภารกิจ ถ้าเป็นไปตามสองอย่างนี้ พระเจ้าหรือใครๆก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ มันก็เหมือนชีวิตเราที่มีคนหลายคนเหลือเกินคอยชี้แนะการกระทำต่างๆให้เรา แต่สุดท้ายการตัดสินใจในการกระทำต่างๆล้วนมาจากตนเองทั้งสิ้น ไม่มีใครสามารถบังคับให้คุณเลิกขโมยของได้ หากได้แต่ชี้แนะและห้ามปราม การทำตามคำชี้แนะในสิ่งที่ดีนั้นย่อมมีสิ่งที่ดีตามเข้ามาและสุดท้ายผลของการกระทำต่างๆจะดีหรือจะเลว ผู้รับผิดชอบก็ไม่ใช่ใครหากแต่เป็นตัวของคุณเองในท้ายสุด

-Interstellar (2014)

Credit: บทความผ่านแผ่นฟิล์ม


ติดตามผลงานอื่นๆที่ผมเคยเขียนไว้ผ่านช่องทางนี้ครับ
https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%9F%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B9%8C%E0%B8%A1/680159158772066?ref=tn_tnmn
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ
ออฟไลน์
นักเตะอบจ.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 17 Mar 2006
ตอบ: 4011
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Nov 28, 2014 13:34
[RE: <Interstellar> การตีความของบทสรุป (มีการสปอยเนื้อหา)]
ผมเป็นคนชอบฟิสิกส์ดาราศาสตร์มาตั้งแต่เด็กๆเลย จนปัจจุบันก็จะชอบเปิดดูสารคดีต่างๆเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ คนที่ผมชอบคือ Michio Kaku ขนาดบางทีฟังแปลไทย ยังรู้สึกว่าแกอธิบายเข้าใจง่ายดี แล้วก็ชื่นชมเป็นพิเศษในฐานะชาวเอเชียด้วยกัน
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักเตะตำบล
Status: YNWA
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 11 Jun 2010
ตอบ: 2328
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Nov 28, 2014 13:38
[RE: <Interstellar> การตีความของบทสรุป (มีการสปอยเนื้อหา)]
อธิบายเรื่อง มิติ เวลา ได้เห็นภาพมากครับ ขอบคุณครับ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน

ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 May 2009
ตอบ: 6440
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Nov 28, 2014 13:39
ถูกแบนแล้ว
[RE: <Interstellar> การตีความของบทสรุป (มีการสปอยเนื้อหา)]
balltour พิมพ์ว่า:
อธิบายเรื่อง มิติ เวลา ได้เห็นภาพมากครับ ขอบคุณครับ  

ขอบคุณครับ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออนไลน์
ซุปตาร์ยูโร
Status: บอดี้การ์ดอีจีอึน
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 30 Oct 2010
ตอบ: 14877
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Nov 28, 2014 14:01
[RE: <Interstellar> การตีความของบทสรุป (มีการสปอยเนื้อหา)]
มึน
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 29 Sep 2010
ตอบ: 5570
ที่อยู่: .
โพสเมื่อ: Fri Nov 28, 2014 14:27
ถูกแบนแล้ว
[RE: <Interstellar> การตีความของบทสรุป (มีการสปอยเนื้อหา)]

ผมว่าใครไม่เข้าใจเรื่อง มิติที่ 5 ลองอ่าน flatland ดูครับ

เรื่องประมาณว่า ส่ิงมีชีวิตสองมิติ ในอาณาจักรสองมิติ

ค้นพบมิติที่สาม ทำให้สามารถลอยหรือดำลง ได้ก็ตัวอื่น

จะรู้สึกเหมือนตัวนี้มีพลังวิเศษ

แต่ผมสงสัยเรื่อง เวลาเดินช้าในบริเวณที่แรงโน้มถ่วงสูง

นี่เกิดจากอัตราเร่งที่ต่างกันใช่ไหมครับ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักเตะท้ายซอย
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 15 Jul 2007
ตอบ: 386
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Nov 28, 2014 14:56
[RE: <Interstellar> การตีความของบทสรุป (มีการสปอยเนื้อหา)]
naminator พิมพ์ว่า:

ผมว่าใครไม่เข้าใจเรื่อง มิติที่ 5 ลองอ่าน flatland ดูครับ

เรื่องประมาณว่า ส่ิงมีชีวิตสองมิติ ในอาณาจักรสองมิติ

ค้นพบมิติที่สาม ทำให้สามารถลอยหรือดำลง ได้ก็ตัวอื่น

จะรู้สึกเหมือนตัวนี้มีพลังวิเศษ

แต่ผมสงสัยเรื่อง เวลาเดินช้าในบริเวณที่แรงโน้มถ่วงสูง

นี่เกิดจากอัตราเร่งที่ต่างกันใช่ไหมครับ
 


ตามความเข้าใจของผม แรงโน้มถ่วงสูงจะไปดึงการเคลื่อนที่ของแสงให้ช้าลง แต่ด้วยความพิเศษของแสงที่มันจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 3E-8 m/s เสมอ ทำให้เวลาช้าลงแทน

เรื่องความสัมพันธ์ของความเร็วแสงและเวลา มีหลายกระทู้หลายเว็บเค้าอธิบายไว้ครับ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 May 2009
ตอบ: 6440
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Nov 28, 2014 15:33
ถูกแบนแล้ว
[RE: <Interstellar> การตีความของบทสรุป (มีการสปอยเนื้อหา)]
naminator พิมพ์ว่า:

ผมว่าใครไม่เข้าใจเรื่อง มิติที่ 5 ลองอ่าน flatland ดูครับ

เรื่องประมาณว่า ส่ิงมีชีวิตสองมิติ ในอาณาจักรสองมิติ

ค้นพบมิติที่สาม ทำให้สามารถลอยหรือดำลง ได้ก็ตัวอื่น

จะรู้สึกเหมือนตัวนี้มีพลังวิเศษ

แต่ผมสงสัยเรื่อง เวลาเดินช้าในบริเวณที่แรงโน้มถ่วงสูง

นี่เกิดจากอัตราเร่งที่ต่างกันใช่ไหมครับ
 


เวลาสัมพัทธ์กับความเร็วแสง และแรงโน้มถ่วงมีผลต่อความเร็วแสงครับ ตามที่ผมคิดนะ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 29 Sep 2010
ตอบ: 5570
ที่อยู่: .
โพสเมื่อ: Fri Nov 28, 2014 15:55
ถูกแบนแล้ว
[RE: <Interstellar> การตีความของบทสรุป (มีการสปอยเนื้อหา)]
The joker พิมพ์ว่า:
naminator พิมพ์ว่า:

ผมว่าใครไม่เข้าใจเรื่อง มิติที่ 5 ลองอ่าน flatland ดูครับ

เรื่องประมาณว่า ส่ิงมีชีวิตสองมิติ ในอาณาจักรสองมิติ

ค้นพบมิติที่สาม ทำให้สามารถลอยหรือดำลง ได้ก็ตัวอื่น

จะรู้สึกเหมือนตัวนี้มีพลังวิเศษ

แต่ผมสงสัยเรื่อง เวลาเดินช้าในบริเวณที่แรงโน้มถ่วงสูง

นี่เกิดจากอัตราเร่งที่ต่างกันใช่ไหมครับ
 


เวลาสัมพัทธ์กับความเร็วแสง และแรงโน้มถ่วงมีผลต่อความเร็วแสงครับ ตามที่ผมคิดนะ  


เข้าใจว่ามีผลครับแต่มีผลยังไงครับ แบบแสงโดนบิดโดย

แรงดึงดูดได้ แล้วจะอธิบายง่าย ๆ ยังไงว่าเวลาเดินช้าลงแบบนั้นครับ

เวลาอยู่คนละกรอบอ้างอิงที่มีความเร็วต่างกันแบบนี้นึกออกครับ

แต่แรงดึงดูดมัน งง ๆ ไงครับ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักบอลถ้วย ข.
Status: ท้องฟ้า และดาวช่างดูสดใส ... เมื่อ มีเธอ
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 07 Oct 2010
ตอบ: 5122
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Nov 28, 2014 16:00
[RE: <Interstellar> การตีความของบทสรุป (มีการสปอยเนื้อหา)]
มาร์คไว้เดี๋ยวมาอ่าน อิอิ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 May 2009
ตอบ: 6440
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Nov 28, 2014 16:01
ถูกแบนแล้ว
[RE: <Interstellar> การตีความของบทสรุป (มีการสปอยเนื้อหา)]
naminator พิมพ์ว่า:
The joker พิมพ์ว่า:
naminator พิมพ์ว่า:

ผมว่าใครไม่เข้าใจเรื่อง มิติที่ 5 ลองอ่าน flatland ดูครับ

เรื่องประมาณว่า ส่ิงมีชีวิตสองมิติ ในอาณาจักรสองมิติ

ค้นพบมิติที่สาม ทำให้สามารถลอยหรือดำลง ได้ก็ตัวอื่น

จะรู้สึกเหมือนตัวนี้มีพลังวิเศษ

แต่ผมสงสัยเรื่อง เวลาเดินช้าในบริเวณที่แรงโน้มถ่วงสูง

นี่เกิดจากอัตราเร่งที่ต่างกันใช่ไหมครับ
 


เวลาสัมพัทธ์กับความเร็วแสง และแรงโน้มถ่วงมีผลต่อความเร็วแสงครับ ตามที่ผมคิดนะ  


เข้าใจว่ามีผลครับแต่มีผลยังไงครับ แบบแสงโดนบิดโดย

แรงดึงดูดได้ แล้วจะอธิบายง่าย ๆ ยังไงว่าเวลาเดินช้าลงแบบนั้นครับ

เวลาอยู่คนละกรอบอ้างอิงที่มีความเร็วต่างกันแบบนี้นึกออกครับ

แต่แรงดึงดูดมัน งง ๆ ไงครับ
 


แรงดึงดูด ถ้าอยู่ใกล้หลุมดำมันจะดูดแสงทำให้ แสงมีความเร็วเพิ่มขึ้นจากแรงดูดของหลุมดำ ผมเข้าใจประมาณนี้นะ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
แข้งบุนเดสลีกา
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 31 Oct 2014
ตอบ: 4330
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Nov 28, 2014 19:32
[RE: <Interstellar> การตีความของบทสรุป (มีการสปอยเนื้อหา)]
เคยอ่านหนังสือเรื่อง Gravitation ที่ Kip Thorne ร่วมเขียน เอาทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์มาอธิบายแบบละเอียดให้คนกากๆ อย่างเราเข้าใจได้ พอรู้ว่าแกมาเป็นที่ปรึกษาเรื่องนี้ให้โนแลนโคตรตื่นเต้นเลย เรื่อง wormhole กะ black hole นี่รู้เลยว่าทฤษฎีแม่นมาก เป็นหนังที่มาจากนักวิทยาศาสตร์ บวกกับนักเขียนบทภาพยนตร์ แต่ทำให้คนดูเอ็นเตอร์เทนได้ สุดยอดมากๆ

จขกทอธิบายเรื่องสี่มิติได้เข้าใจง่ายดีค่ะ เพราะทุกอย่างที่พูดตรงกับเรื่อง tesseract เลย ขอคารวะ

ส่วนเรื่องการดำเนินของเวลาที่คหอื่นสงสัย เราเข้าใจได้อย่างงี้นะ คือเราเคยอ่านที่ไอน์สไตน์เค้าบอกว่าแรงโน้มถ่วงเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ใหญ่มากๆ อย่างโลก แรงโน้มถ่วงเนี่ยมีผลต่อการดำเนินของเวลา ไอน์สไตน์ทดลองโดยเอาลูกบอลหนักๆ ประมาณโบวลิ่ง (สมมติเป็นดาว เช่น โลก พระอาทิตย์) ไปวางไว้บนแผ่นยาง (สมมติเป็นมิติที่สี่ ซึ่งก็คือเวลา) แผ่นยางจะเปลี่ยนไปตามน้ำหนักของบอล อาจจะมีการวางหินก้อนเล็กๆ รอบๆ ลูกบอลไปเพิ่ม (สมมติให้เป็นดาวบริวารที่อยู่ในวงโคจร) แล้วเราจะเห็นว่าทั้งหิน(ที่กลิ้ง)และแผ่นยาง(ที่ยุบตัว) เปลี่ยนสภาพไปตามลูกบอล คือสิ่งที่มีน้ำหนักมากกว่าล้วนมีอิทธิพลกับดาวบริวารและเวลา



โลกเป็นเพียงดาวเคราะห์เล็กๆ เพราะฉะนั้นหนึ่งวันจะสั้นมากๆ เมื่อไปเทียบกับหนึ่งวันในดาวที่ใหญ่กว่า

ส่วนดาวอื่นที่มีมวลมากกว่าจะมีอิทธิพลให้เวลาดำเนินช้าลง อย่างดาวนิวตรอนที่มีความหนาแน่นมากจนสามารถทำให้เวลาดำเนินได้ช้ากว่าโลก ส่วนในหลุมดำ (ที่มีมวลมากจนแสงยังหนีออกมาไม่ได้) ค่าแรงโน้มถ่วงเป็นอนันต์ เพราะฉะนั้นเวลาจะหยุดนิ่งไปเลย

แรงโน้มถ่วงแปรผันตรงกับมวล มวลมีผลต่อเวลา เพราะฉะนั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมเวลาที่ดาวต่างๆ ดำเนินไม่เท่ากัน

เราไม่มั่นใจว่าเราอธิบายงงหนักกว่าเดิมมั้ยอ่ะ 555 การทดลองนี่เราจำไม่ได้ว่าเรียกเป๊ะๆ เลยว่าอะไร แต่ลองกูเกิลว่า einstein rubber sheet น่าจะขึ้นมานะ

แต่จขกทเขียนมาบ่อยๆ นะคะ เราชอบอ่าน
แก้ไขล่าสุดโดย xMockingbird เมื่อ Fri Nov 28, 2014 20:30, ทั้งหมด 1 ครั้ง
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 May 2009
ตอบ: 6440
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Nov 28, 2014 22:06
ถูกแบนแล้ว
[RE: <Interstellar> การตีความของบทสรุป (มีการสปอยเนื้อหา)]
xMockingbird พิมพ์ว่า:
เคยอ่านหนังสือเรื่อง Gravitation ที่ Kip Thorne ร่วมเขียน เอาทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์มาอธิบายแบบละเอียดให้คนกากๆ อย่างเราเข้าใจได้ พอรู้ว่าแกมาเป็นที่ปรึกษาเรื่องนี้ให้โนแลนโคตรตื่นเต้นเลย เรื่อง wormhole กะ black hole นี่รู้เลยว่าทฤษฎีแม่นมาก เป็นหนังที่มาจากนักวิทยาศาสตร์ บวกกับนักเขียนบทภาพยนตร์ แต่ทำให้คนดูเอ็นเตอร์เทนได้ สุดยอดมากๆ

จขกทอธิบายเรื่องสี่มิติได้เข้าใจง่ายดีค่ะ เพราะทุกอย่างที่พูดตรงกับเรื่อง tesseract เลย ขอคารวะ

ส่วนเรื่องการดำเนินของเวลาที่คหอื่นสงสัย เราเข้าใจได้อย่างงี้นะ คือเราเคยอ่านที่ไอน์สไตน์เค้าบอกว่าแรงโน้มถ่วงเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ใหญ่มากๆ อย่างโลก แรงโน้มถ่วงเนี่ยมีผลต่อการดำเนินของเวลา ไอน์สไตน์ทดลองโดยเอาลูกบอลหนักๆ ประมาณโบวลิ่ง (สมมติเป็นดาว เช่น โลก พระอาทิตย์) ไปวางไว้บนแผ่นยาง (สมมติเป็นมิติที่สี่ ซึ่งก็คือเวลา) แผ่นยางจะเปลี่ยนไปตามน้ำหนักของบอล อาจจะมีการวางหินก้อนเล็กๆ รอบๆ ลูกบอลไปเพิ่ม (สมมติให้เป็นดาวบริวารที่อยู่ในวงโคจร) แล้วเราจะเห็นว่าทั้งหิน(ที่กลิ้ง)และแผ่นยาง(ที่ยุบตัว) เปลี่ยนสภาพไปตามลูกบอล คือสิ่งที่มีน้ำหนักมากกว่าล้วนมีอิทธิพลกับดาวบริวารและเวลา



โลกเป็นเพียงดาวเคราะห์เล็กๆ เพราะฉะนั้นหนึ่งวันจะสั้นมากๆ เมื่อไปเทียบกับหนึ่งวันในดาวที่ใหญ่กว่า

ส่วนดาวอื่นที่มีมวลมากกว่าจะมีอิทธิพลให้เวลาดำเนินช้าลง อย่างดาวนิวตรอนที่มีความหนาแน่นมากจนสามารถทำให้เวลาดำเนินได้ช้ากว่าโลก ส่วนในหลุมดำ (ที่มีมวลมากจนแสงยังหนีออกมาไม่ได้) ค่าแรงโน้มถ่วงเป็นอนันต์ เพราะฉะนั้นเวลาจะหยุดนิ่งไปเลย

แรงโน้มถ่วงแปรผันตรงกับมวล มวลมีผลต่อเวลา เพราะฉะนั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมเวลาที่ดาวต่างๆ ดำเนินไม่เท่ากัน

เราไม่มั่นใจว่าเราอธิบายงงหนักกว่าเดิมมั้ยอ่ะ 555 การทดลองนี่เราจำไม่ได้ว่าเรียกเป๊ะๆ เลยว่าอะไร แต่ลองกูเกิลว่า einstein rubber sheet น่าจะขึ้นมานะ

แต่จขกทเขียนมาบ่อยๆ นะคะ เราชอบอ่าน  


ขอบคุณสำหรับคำชมและการติดตามครับ ผมจะเขียนต่อไปเรื่อยๆครับ
แก้ไขล่าสุดโดย The joker เมื่อ Fri Nov 28, 2014 22:07, ทั้งหมด 1 ครั้ง
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel