นักบอลถ้วย ง.
Status:
: 0 ใบ
: 0 ใบ
เข้าร่วม: 01 Feb 2010
ตอบ: 2775
ที่อยู่: Cobham
โพสเมื่อ: Wed Sep 24, 2014 17:21
"ซุปเปอร์แฟร้งค์" ขโมยซีน
คอลัมน์ Football Striker ตอนที่ 1
"ซุปเปอร์แฟร้งค์" ขโมยซีน
หลังสิ้นเสียงนกหวีดในถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม สาวกเชลซีต้องพบกับความผิดหวังเล็กๆ เนื่องจากทีมรักของตนไม่สามารถคว้าชัยจาก แมนฯซิตี้ ที่เหลือผู้เล่น 10 คนไปได้ แถมยังเกิดเหตุการณ์สุดดราม่า เมื่อคนยิงประตูตีเสมอให้ แมนฯซิตี้ คือ "แฟร้งค์ แลมพาร์ด" ตำนานอันเป็นที่รักของเหล่าสิงห์บลูส์ มันช่างทำร้ายจิตใจกันซะเหลือเกิน
ก่อนเกมไปเยือน แมนฯซิตี้ จะเริ่ม เชลซี นำเป็นจ่าฝูงอยู่ โดยมีแต้มห่างทีมเรือใบสีฟ้า 5 คะแนน เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ได้เปรียบอยู่ เชลซี จึงตั้งใจมาเล่นเพื่อเอาผลเสมอเท่านั้น แต่นับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะมันเป็นสไตล์ของชายที่ชื่อว่า "โจเซ่ มูรินโญ่" หรือที่คนเค้าเรียกกันว่า "แผนรสบัสมหาอุด" นั่นแหละ
ในเกมที่ต้องเล่นแบบรัดกุม น้ามู จึงเลือกใช้มิดฟิลด์ที่ช่วยเกมรับได้ดีอย่าง รามิเรสกับวิลเลี่ยน ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงก่อนทั้ง ออสการ์และชูร์เล่ ซึ่งทั้งสองคนก็ทำหน้าที่ได้อย่างไม่มีข้อบกพร่อง
รูปเกมในครึ่งแรกเห็นได้ชัดว่า เชลซี มาตั้งรับอยู่ฝ่ายเดียว ปล่อยให้เจ้าถิ่นครองบอลพับสนามบุกแบบวันเวย์ แต่สุดท้ายก็หาช่องเจาะเกมรับอันเหนียวแน่นของผู้มาเยือนไม่ได้เลย ตรงกันข้าม เชลซี ก็ไม่มีโอกาสเล่นเกมสวนกลับเช่นกัน เนื่องจาก เปเญกรินี่ สั่งให้ลูกทีมปิดตายทั้ง อาซาร์และคอสต้า ฉะนั้น 45 นาทีแรกเลยเป็นอะไรที่น่าเบื่อสุดๆ
กลับมาบู๊กันในครึ่งหลัง รูปเกมก็ยังเป็นแบบเดิม พอผ่านไปซักพัก มูรินโญ่ ทำการแก้เกมโดยเอา รามิเรส ที่มีใบเหลืองติดตัวออกมา และส่ง ชูร์เล่ ลงไปแทนเพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสในเกมรุก ส่วนอีกตำแหน่งส่ง มิเกล มาแทน วิลเลี่ยน เพื่อแพ็คแดนกลางให้แน่นขึ้นกว่าเดิม
จนกระทั่งนาทีที่ 66 มีจุดเปลี่ยนของเกมเกิดขึ้น แมนฯซิตี้ เหลือผู้เล่น 10 คน เมื่อ ซาบาเลตต้า ได้รับใบเหลืองที่สอง ได้สิทธิ์เข้าอุโมงค์ไปอาบน้ำก่อนเพื่อน หลังเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น สิ่งที่ผมคิดไว้คือ เชลซี ต้องได้สามแต้มเท่านั้น เนื่องจากมีตัวผู้เล่นมากกว่า แถมยังเหลือเวลาอีกตั้งครึ่งชั่วโมง
แต่สาวกสิงห์บลูส์ก็รอไม่นาน 5 นาทีถัดมา เชลซี ฉวยโอกาสได้ประตูขึ้นนำ 1-0 จากการเล่นเกมสวนกลับ อาซาร์ ฉีกไปรับบอลทางขวา แล้วเปิดเรียดมาให้ ชูร์เล่ ตัวสำรองที่พึ่งลงมาชาร์ตจ่อๆผ่านมือ โจฮาร์ท เข้าไป แล้วอย่างงี้สามแต้มจะไปไหนไกลหละเนี่ย
หลังขึ้นนำได้สำเร็จ เชลซี ก็กลับมาผ่อนเกมอีกครั้ง แม้ว่าตัวผู้เล่นจะมากกว่าก็ตาม เข้าสไตล์รถบัสมหาอุดเช่นเคย เปเญกรินี่ จึงไม่รอช้า ส่ง นาบาส มาเพิ่มมิติในเกมรุกแต่ก็ยังไม่ได้ผล จึงตัดสินใจทิ้งไพ่ใบสุดท้ายส่ง "แฟร้งค์ แลมพาร์ด" ตำนานของเชลซีลงสนาม ซึ่งมีผลกระทบต่อสภาพจิตใจของเหล่าอาคันตุกะกันถ้วนหน้า
ดั่งโชคชะตาฟ้าลิขิต ดั่งบทละครที่เขียนไว้ หลัง เชลซี ปล่อยให้เจ้าถิ่นที่เหลือ 10 คน ครองเกมและบุกใส่ต่อไป จึงนำไปสู่การเสียประตูตีเสมอในนาทีที่ 85 เมื่อแบ็คซ้ายจำเป็นอย่าง มิลเนอร์ เติมเกมรุกแล้วเปิดบอลไปให้ "ซุปเปอร์แฟร้งค์" เอี้ยวตัวยิง ส่งบอลเสียบก้นตาข่ายเข้าไป ก่อนที่กองกลางวัย 36 ปี จะลุกขึ้นมาไม่แสดงความดีใจ เป็นการให้เกียรติสโมสรเก่าของตน
ณ เวลานั้นแฟนๆสิงโตน้ำเงินครามคงเกิดอาการช็อค รู้สึกเหมือนโดนแฟนเก่าพาผู้ชายคนใหม่มาหาต่อหน้า เสียดายที่ตัวผู้เล่นมากกว่าแล้วรักษาสกอร์ไว้ไม่ได้ แต่ก็รู้สึกยินดีที่เห็น แลมพาร์ด ทำประตู มันเป็นฟีลลิ่งที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกจริงๆครับ
จบเกม เชลซี เสมอ แมนฯซิตี้ ที่มีตัวผู้เล่นน้อยกว่าไป 1-1 แม้จะพลาดโอกาสเก็บสามแต้ม แต่ถือว่าพลพรรคสิงห์บลูส์สามารถทำตามเป้าหมายที่วางไว้ตอนต้นเกมได้สำเร็จ คว้า 1 แต้มออกจากถิ่นของแชมป์เก่าก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร
แต่ท้ายที่สุดต้องบอกเลยว่างานนี้โดน "แฟร้งค์ แลมพาร์ด" ขโมยซีนไปเต็มๆเลยจ้า
ArmStriker
แก้ไขล่าสุดโดย ArmStriker เมื่อ Fri Sep 26, 2014 22:27, ทั้งหมด 2 ครั้ง
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ