บทความผ่านแผ่นฟิล์ม(Eternal Sunshine of the Spotless Mind)
Why do I fall in love with every women I see who shows me the least bit of attention?
#Joel Barish
ถ้าจะให้พูดถึงนิยามของคำว่าหนังรักแล้ว หลายคนคงนึกไปถึงฉากรักโรแมนติกระหว่างหญิงสาวกับชายหล่อ ไม่ว่าจะเป็นฉากเกี้ยวพาราสีกันด้วยคำพูดที่ซึ้งกินใจ หรือ กอดอันแสนอบอุ่น หนังหลายๆเรื่องที่เราเคยดูและได้ให้คำนิยามว่าเป็นหนังรักนั้น หลายๆเรื่องกลับให้ความหมายของคำว่ารักได้อย่างแบนราบ ที่ใช้คำว่าแบนราบนั้นเพราะมันช่างไม่มีความ ลึกตื้นหนาบางเท่าไหร่เลย หลายๆเรื่องถ่ายทอดความรักให้เราเห็นในด้านที่สวยงาม ราวกับหลุดมาจากโลกของนิยายแน่นอนว่าโลกที่สวยงามใบนี้นั้น ความแตกต่างของฐานะก็ไม่สามารถมาทำลายความสวยงามของความรักได้ เช่น พระเอกเป็นลูกชายคนเดียวของทายาทธุรกิจหมื่นล้าน รูปหล่อราวเทพบุตร แต่ไปหลงรักนางเอกฐานะธรรมดา อาจเลยไปถึงขั้นยากจน และแน่นอน สิ่งที่ใช้ผลตลอดเสมอมากับหนังแนวนี้ก็คงไม่พ้น ปาฏิหาริย์แห่งความรักทั้งหลายแหล่ที่บางที ก็อาจจะดู เกินเลยความจริงไปเยอะ ฉากรักกันปานจะตายของคู่หญิงชายจนถึงขนาดยอมตายกันได้ และสุดท้ายคือคำว่า ‘ ผมสัญญาว่าจะรักคุณตลอดไป’ เป็นคำพูดยอดนิยมแต่สำหรับผมแล้วมันช่างเพ้อฝันจริงๆ หนังเหล่านี้ทำให้ผู้ชมอย่างเราๆเข้าใจความรักในด้านบวกโดยไร้ซึ่งการตั้งคำถามใดๆ เพราะระหว่างดูอยู่นั้นเราจะถูกบรรยากาศความโรแมนติก ที่หนังมาประเคนใส่หัวให้กลบความคิดต่างๆของเราหรือตรรกะความเป็นจริงของเราหมด ซึ่งความเป็นจริง ความรักก็เหมือน กับทุกอย่างบนโลกใบนี้คือ มีสองฝั่งเสมอ มีดีก็มีชั่ว มีดำก็มีขาว มีพบปะก็ย่อมมีเลิกรา
แต่ในทางกลับกัน ก็มีหนังอีกประเภทหนึ่งซึ่งไม่ใช่หนังรัก แต่เป็น หนังเกี่ยวกับความรัก ซึ่งหนังประเภทนี้จะสื่อสาร นิยามของความรักออกมาอย่างสมจริง จนบางเรื่องสมจริงจนคนดูเจ็บจี๊ดกันมาแล้ว อย่างเช่นเรื่อง 5oo days of Summer หรือจะเป็นเรื่อง Blue Valentine หนังประเภทนี้จะไม่สื่อความรักไปในด้านที่สวยงามด้านเดียวแต่จะมีด้านที่เลวร้าย เสริมไปด้วยไม่ว่าจะเป็นการเบื่อหน่ายเมื่ออาศัยอยู่ด้วยกันไปนานๆ หรือ การที่นิสัยหรือความคิดเข้ากันไม่ได้จนเป็นสาเหตุให้เลิกรากันไป หนังเรื่องหนึ่งที่เข้าข่ายเป็นหนังเกี่ยวกับความรักและ สามารถถ่ายทอดออกมาได้ เก่ไก๋ มีสไตล์ และแฝงข้อคิดมากมายเรื่องหนึ่ง ก็คือเรื่อง Eternal Sunshine of the Spotless Mind ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมกำลังจะพูดถึงในบทความนี้นั่นเอง
Eternal Sunshine of the Spotless Mind นำเสนอเนื้อเรื่องเกี่ยวกับความรักของ โจเอล แบริช(Jim Carrey) ผู้ชายที่แสนจะธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้มีชีวิตที่หวือหวาหรือน่าสนใจเท่าไหร่ ดูได้จากการแต่งกายของโจเอลนั้น เขาใส่เสื้อโค้ดสีเข้ม ตัวเดิมๆ มันสามารถบ่งบอกถึงอุปนิสัยความคิดของเขาได้เป็นอย่างดี ตรงข้ามกันกับ ครีเมนไทล์ (Kate Winslet) หญิงสาวที่มีบุคลิกที่แสนสุดโต่ง กล้าคิดกล้าทำ และค่อนข้างเป็นคนหุนหันพลันแพล่น ไปในบางครั้ง เธอมาพร้อมกับชุดโค๊ดสีส้ม และสีผมอันแสนที่จะโดดเด่น และเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ซึ่งสามารถบ่งบอกนิสัยเธอจากการแต่งกายและการเปลี่ยนสีผมได้เป็นอย่างดีว่าเป็นคนอย่างไร
Eternal Sunshine of the Spotless Mind แบ่งโครงเรื่องของเรื่องออกเป็น4ส่วนหลักๆ
ช่วงสร้างความทรงจำ –“เธอรักผม ผมก็รักเธอ”
ฉากที่ทั้งสองเจอกันบนรถไฟนั้น การแต่งกายของทั้งสอง มันสามารถบ่งบอกถึงความต่างกันสุดขั้ว ระหว่างเธอกับเขาได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามความรักตอนแรกพบนั้นมันเปรียบได้กับแม่เหล็กแรงสูงที่มักจะดึงดูดคนสองคนที่มีความต่างกันสุดขัวเข้ามาหากัน ได้รู้จักตัวตนซึ่งกันและกัน และรักกัน แรงดึงดูดที่ทำให้ทั้งสองมารักกันนั้นไม่ใช่แรงแม่เหล็กแต่อย่างใด แต่กลับเป็นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านขึ้นมาอยู่เหนือเหนือเหตุผล รักในช่วงแรกนั้นอะไรก็ดูง่ายไปหมดสำหรับ โจเอลและครีเมนไทล์ ทั้งสองยอมรับในข้อเสียของอีกฝ่าย ถ้าจะให้พูดคำว่า ‘ยอมรับ’คงไม่ถูกอาจต้องใช้คำว่า ‘มองข้าม’ น่าจะเหมาะกว่า แน่นอนว่าในช่วงเวลานี้ จะมีความทรงจำดีๆมากมาย ที่ทั้งสองสร้างขึ้นมา ความแตกต่างระหว่างเขาทั้งสองได้เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้เรียนรู้ และ ได้ทำอะไรใหม่ๆ มีช่วงเวลาที่โรแมนติก ในช่วงแรกนั้น ครีเมนไทล์หลงใหลในตัวตนของโจเอลมาก เธอมองความน่าเบื่อในตัวเขากลายเป็นความน่ารัก ส่วนโจเอลมองความเป็นตัวของตัวเองอย่างสุดโต่งของครีเมนไทล์กลายเป็นสีสันในชีวิตที่เขาไม่เคยมี ตัวหนังถ่ายทอดช่วงเวลานี้ได้เหมือนๆกับหนังรักทั่วไป ซึ่งทำให้ผู้ชมชื่นใจและอินไปกับความรักในช่วงนี้ไม่น้อย แต่อย่างที่ผมได้กล่าวมาแล้ว ความรักมันไม่ได้แบนราบขนาดนั้น
ช่วงก่อนลบความทรงจำ – “เธอเบื่อผม ผมก็หน่ายเธอ”
จะทำอย่างไรเมื่อแรงดึงดูดจากความต่างที่เคยมีกลับเลือนหายไปตามกาลเวลา เท่านั้นยังไม่พอกลับมีแรงผลักเกิดขึ้นมาแทน เมื่อ โจเอล และ ครีเมนไทล์ คบกันไปถึงช่วงเวลาหนึ่ง เมื่อจุดที่ไม่ดีของทั้งสองฝ่ายไม่ใช่สิ่งที่อาจมองข้าม อีกต่อไป ความน่าเบื่อของโจเอล ไม่ใช่ความน่ารัก และความสุดโต่งของครีเมนไทล์ก็ไม่ใช่สีสันอีกต่อไป แต่กลับเป็นยาเบื่อที่ทำให้คนสองคนต้อง จมปลักอยู่กับชีวิตคู่ที่จำเจและแสนทรมาน ความทรงจำของช่วงเวลานี้เป็นความทรงจำที่ไม่ดีนักซะส่วนใหญ่ มีการทะเลาะกัน การไม่เข้าใจกันมากขึ้น จนหนักเข้าถึงขั้นแตกหักกัน ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่ต้องพบเจอกับคู่รักทุกคู่ ไม่ว่าจะหนักหรือเบา แต่สำหรับหญิงสาวอย่างครีเมนไทล์แล้ว การแก้ปัญหาอย่างหุนหันพลันแพล่น จึงไม่ใช่สิ่งที่น่าแปลกใจซะเท่าไหร่ เธอเลือกใช้แก้วิธีปัญหาช่างดูโหดร้าย ซึ่งก็คือวิธี ลบความทรงจำนั่นเอง
ช่วงลบความทรงจำ – “เธอลืมผม ผมก็ลืมเธอ”
ครีเมนไทล์ได้ใช้วิธีลบความทรงจำที่เกี่ยวกับโจเอลไปจนหมดผ่านทาง คลีนิกรับจ้างล้างความทรงจำแห่งหนึ่ง ซึ่งโจเอลมารู้ในภายหลัง ด้วยความผิดหวังบวกกับความน้อยใจ โจเอลได้ไปติดต่อคลินิกที่เดียวกันนี้ ให้ลบความทรงจำของเขาที่มีต่อคลีเมนไทล์ด้วยเช่นกัน โดยหลักการลบความทรงจำนี้ จะแยกความทรงจำที่มีต่อคนนั้นๆออกมาเป็นส่วนๆ เริ่มจากอดีตอันใกล้ก่อน และลบแก่นความทรงจำนั้น เพื่อที่จะเริ่มความทรงจำเรื่องต่อไป ’ ตัวหนังเล่าเรื่องระหว่างลบความทรงจำนี้ได้อย่างเห็นภาพชัดเจน โดยถ่ายทอดผ่านสายตาโจเอลซึ่งได้เข้าไปอยู่ในหัวหรือความทรงจำของเขาเอง และเมื่อลบความทรงจำแล้ว สิ่งของทุกอย่างก็หายไปรวมไปถึงตัวครีเมนไทล์เองด้วย ความทรงจำอันใกล้นั้นสำหรับโจเอลแล้วมันเป็นความทรงจำในช่วงที่เลวร้ายและเบื่อหน่ายในการใช้ชีวิตคู่ เขาสามารถลบมันได้โดยไม่ต้องคิดเลย สังเกตได้จากฉากที่โจเอลขับรถตามท้องถนน และตะโกนใส่ครีเมนไทล์ ว่า ‘ไม่ต้องสนอะไรหรอก เดี๋ยวผมก็ลืมคุณแล้ว’ ความทรงจำต่างๆกำลังถูกลบไปภาพแล้วภาพเล่าจนถึงจุดหนึ่งที่ความทรงจำได้ย้อนมาถึงจุดที่ทั้งสองมีความสุขด้วยกัน ตัวของโจเอลเองกลับอยากเก็บความทรงจำที่ดีเอาไว้และร้องขอให้ยกเลิกกระบวนการซะ แต่มันสายไปเสียแล้ว เพราะต่อให้เขาตะโกนเสียงดังยังไง อีกฝั่งก็ไม่สามารถรับรู้ได้ เพราะเขาอยู่ในหัวของตัวเอง ตรงจุดนี้เป็นการสื่อของหนังที่จะบอกว่าการตัดสินใจอะไรลงไปด้วยอารมณ์แล้ว มันยากที่จะเรียกคืนให้มาเป็นอย่างเดิมได้ แล้วมันต่างอะไรกับเวลาที่เราบอกเลิกคนที่เรารักไปด้วยอารมณ์ พอมาคิดได้อีกที ต่อให้เราจะเรียกร้องอ้อนวอนให้เขากลับมาเพียงใด ก็ไร้ผล เพราะเขาไม่อยู่แล้ว โจเอลหาวิธีฝ่าฝืนกระบวนการมากมายแต่ก็ไม่ได้ผล ความทรงจำดีๆของเขาต่อคลีเมนไทล์ถูกลบไปเรื่อยๆ เวลา และ ความทรงจำของเขาที่มีต่อคนรักกำลังจะหายไปตลอดกาล มันทำให้เขารู้ว่าเวลาเธอนั้นมีมากเหลือเกิน ตรงนี้หนังได้ตั้งคำถามกับคนดูว่าคนเราจะเห็นค่าของคนรักก็ต่อเมื่อเวลาของเขากับเธอเหลือน้อย หรือเวลาที่เธอจากไปแล้วหรือ ซึ่งหลายๆคนอาจจะสะอึกไม่ใช่น้อย โดยฉากที่พีคที่สุดของเรื่องซึ่งก็คือตอนความทรงจำสุดท้ายซึ่งเป็นความทรงจำที่เขาและเธอพบกันครั้งแรก แต่กลับช่วงเวลาสุดท้ายที่เขาและเธอได้พบกันรวมไปถึงรู้จักกัน ซึ่งเป็นฉากที่จะบอกว่าทั้งสุขและเศร้าในเวลาเดียวกันก็ว่าได้
ช่วงหลังลบความทรงจำ- “เธอรักผม ผมก็รักเธอ”
จนมาถึงช่วงท้ายของหนัง ซึ่งหลายๆคนมองว่าตัวหนังจะสื่อถึง การเป็นคู่แท้ปาฏิหาริย์ ซึ่งอะไรก็ตามไม่สามารถพรากไปได้ จุดนี้ผมไม่ค่อยเห็นด้วย ผมกลับมองว่ามันเป็น วงจรชีวิตมากกว่า วงจรชีวิตที่ประกอบไปด้วย การพบเจอ และการเลิกรา ซึ่งเป็นสิ่งที่คนหลายๆคนได้พบเจอ มันไม่สำคัญหรอกว่าต้องเลิกกี่ครั้ง แต่ที่สำคัญกว่าคือการรู้ถึงข้อบกพร่องของตัวเองและพร้อมที่จะแก้ไขตัวเองมากกว่า ตามคำพูดที่ว่า ‘ เข้าใจเธอว่ายากแล้ว เข้าใจตัวเองกลับยากกว่า’สิ่งหนึ่งที่ช่วยทำให้เราเข้าใจตัวเองได้ก็คงเป็นความทรงจำที่คอยย้ำเตือนถึงความผิดพลาดในอดีตเพื่อรอคอยการแก้ไข สุดท้าย ทั้งสองก็ได้กลับมาพบกัน อีกครั้ง และได้ตกหลุมรักกันอีกครั้งหนึ่ง แรงดึงดูดระหว่างเขาสองคนได้กลับมารุนแรงอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น การพูดจา การกระทำ หรือเหตุการณ์ต่างๆแทบจะไม่ได้ต่างไปจากช่วงที่พวกเขาได้เจอกันครั้งแรก(ช่วงก่อนลบความทรงจำ) ถึงช่วงนี้หนังทำให้ผมลุ้นว่า จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรไหม โจเอล และ ครีเมนไทล์ จะทำอย่างไรเมื่อได้ฟังเทปสารภาพของอีกฝ่ายที่เอ่ยถึงข้อเสียของแต่ละคน พวกเขาจะสามารถออกจากวงจรนี้ไปได้หรือไม่ แต่สุดท้ายแล้วทั้งคู่ก็ใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลอีกครั้งหนึ่งและได้จับมือพากันเดินเข้าสู่วงจรนี้อีกครั้งได้อย่างงดงาม
Eternal Sunshine of the Spotless Mind ไม่ใช่เพียงแต่จะมีจุดเด่น ด้านการนำเสนอเนื้อหาด้านความรักที่สมจริง และ ให้ข้อคิดแก่ผู้ชม แต่ยังสามารถนำเสนอ และลำดับเหตุการณ์ได้อย่างแหวกแนว และไหลลื่น โดยใช้ประโยชน์จากหลักการลบความทรงจำมาใช้ในการดำเนินเรื่องได้อย่างมีประโยชน์สูงสุด(ผมชอบฉากการเล่าถึงอดีตของโจเอล ผ่านหลักการหลบเลี่ยงกระบวนการ และเป็นการบ่งบอกไปในตัวว่าทำไมตัวเขาถึงเป็นคนขี้กลัว และไร้ความมั่นใจ) การเล่าเรื่องจากหลังไปหน้าของหนังเรื่องนี้เป็นไปอย่างสมเหตุสมผล ต่างจากหนัง อย่าง Memento หรือ 21 Grams ที่ตัวหนังจะตัดฉากอย่างดื้อๆ ไม่มีเหตุผลรับรอง กราฟฟิคของหนังเรื่องนี้ยังคอยย้ำความเป็น หนังแนวRomantic-Scifi ได้อย่างยอดเยี่ยมและสมจริง สามารถทำให้คนดูเชื่อได้ว่ากำลังอยู่ในความทรงจำของโจเอลจริงๆ บางฉากอย่างกับกำลังดู Inception อยู่
ถ้าคุณอ่านบทความนี้มาถึง จุดนี้แต่คุณยังไม่เคยดู Eternal Sunshine of the Spotless Mind ผมขอแนะนำหนังเรื่องนี้ให้คุณได้ลองสัมผัส และ รับรู้ถึงความยอดเยี่ยมของหนังเรื่องนี้ ผมมั่นใจว่า เมื่อคุณดูเรื่องนี้จบ Eternal Sunshine of the Spotless Mind จะเป็นหนึ่งในชื่อหนังอีกเรื่องหนึ่งที่คุณจะไม่มีวันลืม ถึงแม้ชื่อมันจะแสนยาวแค่ไหนก็ตาม