สวัสดีครับพี่ๆน้องๆชาว SS ทุกท่าน วันนี้ผมในฐานะเด็กหงส์คนนึง อยากนำเสนอเรื่องราวและประวัติความเป็นมาของลิเวอร์พูล อย่างละเอียดรึเปล่าไม่ทราบ ให้แฟนบอลที่บางคนอาจจะรู้ยังไม่หมด มาให้ได้รับชมกันดูครับ ขอบคุณบทความจากบล็อกโอเคเนชั่นนะครับ ไปเอามาหมดและเพิ่มข้อมูลบางอย่างครับ เพื่อให้ครบถ้วนกับปัจจุบัน ถ้าผิดกฏลบทิ้งได้เลยครับ ข้อมูงตรงไหนผิดเพี้ยนไปบ้าง ติชมกันได้นะครับ แขวะกันได้ ใครไม่ใช่แฟนหงส์มีอคติ ผ่านเลยครับ ผมมีเลือดหงส์เต็มตัว อิอิ ว่าแล้วก็
เริ่มกันเลย
เมืองลิเวอร์พูล
" ลิเวอร์พูล " ชื่อนี้มีประวัติศาสตร์อย่างมากมายที่โด่งดัง ซึ่ง เมืองลิเวอร์พูลนี้ ก่อตั้งมาอย่างยาวนานแล้ว โดยได้ก่อตั้งเมืองนี้มาตั้งแต่ ค.ศ. 1207 ซึ่งถ้านับมาถึงปัจจุบัน ในปีหน้า ปี 2014 ก็จะครบ 808 ปีแล้วเลยทีเดียว ซึ่งถ้าเทียบกับเมืองไทยแล้วก็น่าจะราวๆ ก่อนยุคกรุงสุโขทัยเสียอีก .. ถึงแม้จะไม่ใช่เมืองที่โอ๋อ่า ศิวิไลซ์ และน่าตื่นตา เร้าใจอย่างเมือง อื่นๆในโลก อย่าง มหานครลอนดอน , อย่างอย่างชิคาโก้ ลาสเวกัส .. ของสหรัฐอเมริกา ลิเวอร์พูล เป็นเมืองท่าที่สำคัญของ อังกฤษ .. มีนักดนตรี ชื่อก้องโลกอย่าง เดอะ บีตเทิ่ล มีเรือ ที่โด่งดังไปทั่วโลก อย่างไททานิค .. แต่ที่มีความสำคัญ และทำให้เมืองลิเวอร์พูลนั้น โด่งดังแบบสุดๆ โดยเฉพาะในยุโรป หรือ เอเชียนั้น คงจะหนีไม่พ้น สโมสรที่มีนามว่า " ลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับ " ... ความจริงแล้ว เมืองลิเวอร์พูล ไม่ได้มีสโมสรฟุตบอลเพียง สโมสรเดียวหรอก เพราะยังมีสโมสร ที่เรียกได้ว่าเป็นคู่รักคู่แค้นอย่างเอฟเวอร์ตันด้วย รวมทั้งทรานเมียร์ก็ยังเป็นทีมฟุตบอลอีก 1 ทีม ที่พอมีชื่อเสียงบ้าง .. แต่ด้วยความโด่งดังสุดขีดของลิเวอร์พูล ทำให้ ถ้าพูดถึง เมือง ลิเวอร์พูล ทุกคนก็จะต้องนึกถึง " ลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับ " ก่อนเป็นอันดับแรก
เริ่มต้นกับลิเวอร์พูล
...... เรามาเริ่มดูประวัติศาสตร์ของ สโมสรลิเวอร์พูลกันเลยดีกว่า ก่อนที่จะมาเป็น สโมสรลิเวอร์พูดนั้น คงต้องย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นสักหน่อย ซึ่ง ในขณะนั้นความจริงแล้ว ลิเวอร์พูล ยังไม่ก่อกำเนิดขึ้นมา ซึ่งในขณะนั้น ต้องบอกได้เลยว่า มีทีม เอฟเวอร์ตั้น ก่อตัวและสร้างทีมขึ้นมาก่อนลิเวอร์พูล โดยมีบุคคล คนหนึ่งที่เป็นกลจักรสำคัญ ที่ชื่อว่า " จอนห์ โฮลดิ้ง " ซึ่งขณะนั้นก็ดำรงค์ตำแหน่ง นายกเทศมนตรีเมือง ลิเวอร์พูล นักการเมืองพรรคอนุรักษ์นิยม และ ในเวลานั้น ก็ทำท่าว่าจะไปได้สวยกับ ทีมเอฟเวอร์ตัน โดยมีการสร้างสนาม ขึ้นมาใหม่ โดยใช้พื้นที่ของเพื่อน โฮลดิ้ง โดยก็ต้องจ่ายค่าจ้าง ค่าเช่าไปตามปรกติด้วย .. ซึ่งเอฟเวอร์ตันก็เป็น สมาชิก ของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ซึ่งได้กำเนิดขึ้นใน ปี 1888 .. แต่หลังจากที่ ทีมเอฟเวอร์ตันที่กำลังไปได้ส่วนในขณะนั้น ก็ต้องมีการหยุดชะงักกันขึ้น เนื่องจาก จอนห์ โฮลดิ้ง ได้มีปัญหาภายใน ในเรื่องของการจัดการ การบริหาร ร่วมถึงเรื่องค่าเช่าสนามของสโมสร กับทางผู้บริหารในขณะนั้น จนทำให้เกิดความแตกแยกขึ้น จนในที่สุด จอนห์ โฮลดิ้ง จึงต้องยุติบทบาทกับทีมเอฟเวอร์ตัน ในขณะนั้นไปเลย แต่ความที่เขาเป็นคนที่มีฟุตบอลอยู่ในหัวใจ .. เขาก็ได้ จัดตั้ง จัดสร้างทีมฟุตบอลขึ้นมาใหม่ อีกหนึ่งทีม ... ซึ่งทีมนั้น ก็คือ ทีมลิเวอร์พูล นั้นเอง และ จากการที่มีปัญหา ข้อขัดแย้งกันในตอนนั้น กับผู้บริหาร เอฟเวอร์ตั้น ทางเอฟเวอร์ตั้น ก็เลยไปสร้างสนามใหม่ ซึ่งอยู่คนละฝั่ง ของสวนสาธารณะ สแตนลีย์ปาร์ค จึงทำให้ ลิเวอร์พูล ทีมที่จอนห์ โอลดิ้ง สร้างขึ้นมาใหม่นั้น ต้องไปใช้สนามแอนฟิลด์ และถือว่าเป็นความพอเหมาะ พอเจาะพอดี และถือเป็นความโชคดี อย่างที่สุดที่ ลิเวอร์พูล มีสนามเหย้าที่ชื่อ " แอนฟิลด์ " ... เพราะปัจจุบัน สนามแห่งนี้ ถึงแม้จะมีความจุ ที่เทียบไม่ได้กับ คัมป์นู ของบาร์ซ่า ... เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ของอาร์เซน่อล หรือ แม้กระทั่ง โอลด์แทร๊ฟฟอร์ด ยุคปรับปรุงที่นั่งใหม่ .. แต่ แอนฟิลด์นั้นก็จัดว่าเป็นสนามที่มีความขลังมากที่สุดใน เกาะอังกฤษ .. และนี้แหละคือ " This is anfield " ..... คำๆนี้ ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยจริงๆ
แอนฟิลด์ เมื่อปี 1903 ครับ (ของปี 1892 หาไม่เจอจริงๆ)
การสร้างทีมฟุตบอลใหม่
...... ถึงแม้ในขณะนั้น จอนห์ โฮลดิ้งจะมีความกังวลใจพอสมควรกับการที่จะสร้างทีมฟุตบอลขึ้นมาใหม่ อีก 1 ทีมนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เหมือนการจัดตั้งพรรคการเมือง .. ที่ขอเพียงมีเงินไม่กี่หมื่น และ หาสมาชิกพรรคให้ได้ 5000 รายชื่อภายใน 60 วันนั้น แต่ ด้วยความมุมานะ อุตสาหะ จอนห์ โฮลดิ้งก็ไม่เคยย่อท้อ ด้วยความที่เขาเป็นนักธุรกิจด้วยในขณะนั้น ทำให้เขาไม่เคยคิดจะล้มเลิกความตั้งใจ .. แถมยังมองการไกล และ จอนห์ โฮลดิ้งก็ได้ ไปดึงตัว และทาบทาม " จอนห์ แมคเคนน่า " ชาวไอริช ที่ถือว่าเป็นคนที่คุ้นเคยกันมา และถือว่าเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของ โฮลดิ้ง เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมของลิเวอร์พูล และถือได้ว่าเป็นผู้จัดการทีมคนแรกของทีมลิเวอร์พูล ในประวัติศาสตร์ และ ชื่อสโมสรในขณะนั้น คือ " Liverpool FC " และนี้คือจุดเริ่มต้นของตำนาน และ ประวัติศาสตร์ ของสโมสรลิเวอร์พูล
...... หลังจากนั้น คู่หู ดูโอ้ อย่าง จอนห์ แม็คเคนน่า และ จอนห์ โฮลดิ้ง ก็จัดการเริ่มสร้างทีมขึ้นมา โดย โฮลดิ้ง นั้นก็พยายามทำให้ลิเวอร์พูล เข้าไปเล่นในลีก แลงคาเชียร์ ส่วน แม็คเคนน่า ก็จะต้องพยายามไปหา นักเตะเข้าสู่ทีม โดยในตอนแรกๆนั้น แม็เคนน่า ก็มีปัญหาสำหรับการคัดเลือกนักเตะเข้าสู่ทีมพอสมควร .. เพราะ ดูเหมือนว่า นักเตะที่เข้าสู่ทีมในตอนแรกๆนั้น ฝีมือไม่เข้าขั้นเท่าไหร จนทำให้ แม็คเคนน่า ตัดสินใจที่จะข้ามน้ำข้ามทะเล ไปยังฝั่งสก๊อตแลนด์เพื่อ คว้านหานักเตะ ฝีเท้าดีเข้าสู่ทีม .. ซึ่งแม็คเคนน่าก็ได้ทีมสมใจอยาก โดยนักเตะชุดแรกๆ ของ แม็คเคนน่านั้นก็มี ... โจ แม็คคิว ที่ไปคว้าตัวมาจาก เซลติก , บิลลี่ แม็ค โอเว่น จาก ดาเวน , เจมส์ แม็คไบรด์ จาก เลนตัน .. โดย ลิเวอร์พูลก่อนที่จะเข้าแข่งขัน ในแลงคาเชียร์ ก็ได้เตะเหมือนเป็นเกมอุ่นเครื่อง ซึ่งผลงานก็ถือว่าค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจ และ ทีมชุดแรกของลิเวอร์พูล ในขณะนั้น ก็ต้องเป็นที่กล่าวขานกันว่า ใน 11 ตัวจริงนั้น ไม่มีนักเตะของอังกฤษเลย รวมทั้ง ยังเป็นนักเตะ สก๊อตแลนด์ถึง 8 คน .. ด้วยกัน ซึ่งทำให้ลิเวอร์พูลได้รับฉายาว่า " แม็ค ลิเวอร์พูล " ซึ่งแม็คที่ขึ้นต้นนั้นก็ หมายความว่า ชื่อของนักเตะ สก๊อตแลนด์นั้นเอง ... ตัวอย่างเช่น โจ แม็คคิว , มัลคอมป์ แม็ควีน , ดันแคน แม็คลีน , บิลลี่ แม็คโอเว่น , เจมส์ แม็คไบรด์ , แม็ต แม็คควีน , ฮิวส์ แม็คควีน , จอรท์ แม็คคาร์ทนีย์ .. เป็นต้น รวมทั้งผู้จัดการทีม ก็มีคำว่า แม็คเช่นกัน ...
ทีมชุดปี 1892 ครับ
ฤดูกาลแรกของ จอนห์ แม็คเคนน่า
สำหรับ แม็ตช์การแข่งขันแม็ตช์แรก หรือ บอลลีก ที่เป็นทางการของลิเวอร์พูลนั้น เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 กันยายน 1892 @lfchistory.net ( บางข้อมูลก็ว่า 1 กันยายน 1892 ** ข้อมูลวันที่ 1 คือ บอลกระชับมิตร ** ) .. แต่ก็ไม่สำคัญ เพราะ ลิเวอร์พูลได้ลงเล่นในลีกแลงคาเชียร์ในฤดูกาลแรกนัดแรกนั้น ลิเวอร์พูล ถล่มเอาชนะ Higher Walton ในแอนฟิลด์ไปแบบถล่มทลาย ถึง 8 - 0 .... โดย มีผู้ที่ยิงประตูดังนี้ สมิธ 2 แม็คควีน 2 คาเมร่อน 2 แม็คไบร์ด และ แม็ควีน คนละ 1 ประตู ... ซึ่งในวันนั้นมีคนดูเพียงแค่ประมาณ 200 คนเท่านั้น แต่ก็เป็นความสำเร็จที่ดีจริงๆสำหรับ ลิเวอร์พูลในเวลานั้น .... และ ในนัดที่ 2 ก็ยังสามารถถล่มเอาชนะ บิวรี่ไปอีก 4 - 0 ... ซึ่งในนัดที่ 2 นี้คนแห่กันเข้าไปชมถึง 4000 คนเลยทีเดียว ... ( สงสัย จอนห์ โฮลดิ้งคงยิ้มแก้มปริเลยทีเดียว ) ซึ่งจากในฤดูกาลแรกของการแข่งขัน ในลีก แลงคาเชียร์นั้น ลิเวอร์พูลก็สามารถคว้าแชมป์มาครองได้เป็นผลสำเร็จ ( ส่อแววเก่งตั้งแต่ เริ่มตั้งสโมสรเลยวุ้ย ) .. โดยทำคะแนนไปได้ถึง 36 คะแนน จากการลงเล่นไป 22 นัด .. ซึ่งมีคะแนนเท่ากับทีม แบล็คพูล แต่ประตูได้เสีย ลิเวอร์พูลดีกว่า ทำให้คว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ .. ถือเป็นก้าวแรกของความสำเร็จเลยทีเดียว .. และก็ยังสามารถไปคว้าแชมป์บอลถ้วย ได้อีก 1 แชมป์
เริ่มต้นแข่งขัน ในระดับ ดิวิชั่น ของประเทศ
...... จอนห์ แม็คเคนน่า ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ซึ่งก็ดำรงค์ตำแหน่ง เลขาธิการของสโมสรควบคู่กัยไปด้วย .. ได้ทำหนังสือส่งไปยัง สมาคมฟุตบอล ของอังกฤษ เพื่อขอเข้าร่วมการแข่งขันใน ดิวิชั่น 2 ( ซึ่งน่าจะเป็น ดิวิชั่น 1 หรือ ลีกแชมป์เปี้ยนชิพ ในปัจจุบัน ) .. ซึ่งทาง สมาคมฟุตบอลอังกฤษก็ยิน และให้ทาง ลิเวอร์พูล เข้ามาดำเนินการในเรื่องของเอกสารโดยด่วนที่ลอนดอน .. ซึ่ง สาเหตุที่ทำให้ ลิเวอร์พูลได้ร่วมคงเป็นเพราะว่า มี 2 ทีมอื่นในขณะนั้นได้ถอนทีมออกไปด้วยสาเหตุเรื่องของเงินนั้นเอง .. และ แล้ววันสำคัญอีก 1 วันของสโมสรก็คือวันที่ 2 กันยายน 1893 โดยทีมลิเวอร์พูลได้ลงเล่นในระดับดิวิชั่นเป็นนัดแรก โดยพบกับทีม มิดเดิ้ลสโบรซ์ ที่ พาราไดซ์ ฟิลด์ สนามเหย้า ของ มิดเดิ้ลสโบรซ์ .. ซึ่งลิเวอร์พูลก็ไปคว้าชัยมาได้ .. 2 - 0 .. จากการยิงของ โจ แม็คคิว และ ก็ มัลคอมป์ แม็ควีน ... ซึ่งในฤดูกาลที่ 2 นี้ แม็คเคนน่า ก็ได้มีการเสริมผู้เล่นบ้าง เช่น พาทริค กอร์ดอน , เจมส์ เฮนเดอร์สัน , เจมส์ สก๊อต ... และเพียงแค่ปีแรกเท่านั้น แม็เคนน่าก็สร้าง ปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีใครคาดคิด และ ถวิลหามาก่อน .. ลิเวอร์พูล สามารถคว้าแชมป์ ดิวิชั่น 2 ได้เป็นผลสำเร็จ เพียงแค่ฤดูกาลแรกที่ขึ้นมาเท่านั้น .. และยิ่งไปกว่านั้น ในเกมการแข่งขัน 28 นัดในฤดูกาลนั้น ลิเวอร์พูล สามารถทำผลงานไม่แพ้ทีมไหนเลย โดยแบ่งเป็นชนะ 22 เสมอ 6 แพ้ 0 .. นัด ทำได้ 50 คะแนน .. ซึ่งถ้าเป็นปัจจุบัน ลิเวอร์พูลคงได้เลื่อนชั้นขึ้นไปโดย อัติโนมัติ แต่ในสมัยนั้น ไม่ใช่ เพราะว่าจะต้องเล่น เพลย์ออฟ ( ในสมัยนั้นเรียกว่า เทส แม็ตช์ ) เพื่อเอาผู้ชนะ เล่นใน ดิวิชั่น 1 ซึ่งก็ไม่สามารถมีทีมไหนหยุดได้อยู่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ในเกม เทสแม็ตช์ ไปได้ โดยเอาชนะ นิวตัน เฮลท์ ไป 2 - 0 .. ที่แอนฟิลด์ .. จากการยิงของ โธมัส แบร็ดชอล .. และ พาทริค กอร์ดอน .. สุขขี สุขขัง จริงๆ สำหรับ ลิเวอร์พูลในเวลานั้น ( บอกแล้วเก่งแต่เด็ก ) .. .. ลิเวอร์พูล คว้าตั๋วขึ้นไปโชว์ลวดลายใน ดิวิชั่น 1 ได้สำเร็จ
ทีมลิเวอร์พูล ชุดลุยฤดูกาล 1893-1894 ครับ
เส้นทาง บนดิวิชั่นสูงสุด ของ แม็คเคนน่า
........ หลังจากที่ ลิเวอร์พูล สามารถคว้าแชมป์ในดิวิชั่น 2 ได้ และ ได้เลื่อนชั้นขึ้นมาใน ดิวิชั่น 1 หรือ ลีกสูงสุดในขณะนั้น ลิเวอร์พูลต้องเผชิญกับความแข็งแกร่งของทีมคู่ต่อสู้อย่างมาก .. ซึ่งถึงแม้ใน 2 นัดแรก ลิเวอร์พูล ยังทำผลงานได้ดี คือเสมอ 2 นัด .. แต่หลังจากนัด อีก 7 นัดลิเวอร์พูล ก็ยังไม่สามารถเอาชนะใครได้เลย ซึ่ง ใน 9 นัดแรกของลิเวอร์พูล นั้น แพ้ไป 5 นัด เสมอ 4 นัดซึ่งถือว่าเป็นผลงานที่ไม่ดีเลยทีเดียว .. แต่พอขึ้นนัดที่ 10 .. ลิเวอร์พูลก็สะกดคำว่าชนะเป็นแล้ว ( ชอ - นอ - อะ อ่านว่าชนะ ) ... ซึ่งเอาชนะ สโต๊ค ซิตี้ไป 2 - 0 ในการเล่นในแอนฟิลด์ .. หนทางและ ความพยามยามของลิเวอร์พูล ในฤดูกาลแรก ในครั้งแรกของสโมสร ที่พยายามดิ้นรน กับการต่อสู้ นั้นดูเหมือนจะเป็นไปด้วยความยากเย็นแสนเข็ญ เพราะหลังจากที่ ได้ชนะเหนือ สโต๊ค แล้วนั้น อีก 7 นัดถัดมาลิเวอร์พูล ก็เริ่มชักลืมคำว่าชนะอีกแล้ว .. !! นี้แหระหนาที่บอกว่า ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว !! ลิเวอร์พูลดูเหมือนจะเป็นทีมแจกแต้มในฤดูกาลนั้น ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว ลิเวอร์พูล ก็ทนความแข็งแกร่ง และตกสู่ดิวิชั่นสอง ( เดิม ) อีกครั้ง .. และ กำเนิด ดาร์บี้แม็ตช์แห่งเมือง ลิเวอร์พูล ก็เริ่มจากฤดูกาลนั้นเป็นฤดูกาลแรก ซึ่ง ลิเวอร์พูล แพ้ เอฟเวอร์ตันไป 3 - 0 ในการไปเยือน และ เล่นในบ้าน ทำได้เพียงแค่เสมอไป 2 - 2 ... ฤดูกาลนั้น สรุปว่า ลิเวอร์พูลลงแข่งไป .. 30 นัดได้มา 22 คะแนน จากการ ชนะ 7 เสมอ 8 แพ้ 15 นัด .. แต่สิ่งที่ได้มาหลังจากการขึ้นมาเล่นใน ดิวิชั่น 1 ก็คือ ยอดจำนวนคนดู และ ผู้สนับสนุนที่มากขึ้น ซึ่ง ยอดเฉลี่ยคนดูในฤดูกาล 1894 - 95 นั้นมียอดเฉลี่ยที่สูงขึ้นกว่า ฤดูกาล 1893 - 94 ประมาณ 7000 คนเลยทีเดียว
ประธานสโมสรคนใหม่ คือ " จอนห์ แม็คเคนน่า "
........ จวบจนกระทั่ง ในฤดูกาลต่อมา .. จอนห์ แม็คเคนน่า ก็ได้ขึ้นแท่นนั่งเป็นประธานสโมสร แทนที่ จอนห์ โฮลดิ้ง ซึ่งไม่ทราบแน่ชัดว่าทำไม โฮลดิ้งถึงได้วางมือจากการเป็นประธานสโมสร และ ลิเวอร์พูลก็ได้ให้ วิลเลี่ยม บาร์เคลย์ W.E.Barclay ก้าวขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมแทน และ ยังควบตำแหน่ง เลขาธิการของสโมสร อีก 1 ตำแหน่ง และ บาร์เคลย์ ก็ลูกทีมลงคุมทีมในเกมแรกในลีกกับ น๊อธ เค้าท์ตี้ ซึ่ง การคุมทีม ของบาร์เคลย์นั้น ก็ยังยึดมั่นในสไตส์เดิมของ แม็คเคนน่า .. ซึ่งยังคงใช้บริการ นักเตะจากสก๊อตแลนด์เป็นหลัก .. และ การคุมทีมในลีกนัดแรก ลิเวอร์พูลก็สามารถเอาชนะ น๊อธ เค้าท์ตี้ไปได้ 3 - 2 ... ดูเหมือนว่า การกลับลงมาเล่นใน ดิวิชั่นสองนั้น ไม่ใช่งานที่ยากเท่าไหรสำหรับลิเวอร์พูล .. เพราะลิเวอร์พูลก็ทำผลงานได้ดี ดาหน้าไล่ถล่มทีมคู่ต่อสู้อย่างเมามัน โดยบางนัดก็ไล่ถล่มทีมคู่ต่อสู้ไป 5 - 1 ... 6 - 1 ... 7 - 1 .. และ สกอร์ที่ถล่มมากที่สุดก็คือ 10 - 1 โดยในนัดนั้นถล่ม ร๊อธแธมป์ตันไป ซึ่งในนัดนั้นมีผู้ทำแฮททริคได้ 2 คน คือ จอรจ์ อัลเลน ( 4 ) และ มัลคอมป์ แม็ควีน ( 3 ) ... และก็ไม่แพ้ใครในบ้าน ชนะ 14 เสมอ 1 ... ยิงประตูไปได้ 106 ประตู .. ถือว่า โครตยิงเลย เหอๆ จอร์จ อัลเลนเป็นดาวซัลโว สูงสุดที่ 29 ประตู .. แต่น่าเสียดายว่า การกลับมาเล่นในดิวิชั่น 2 นั้น ทำให้ยอดคนดูเฉลี่ยลดลงมากเลยทีเดียว ลิเวอร์พูลได้กลับมาเล่นในดิวิชั่น 1 อีกครั้ง และก็ทำผลงานได้อย่างดี ไม่เหมือนในฤดูกาล 1894 - 95 .. ซึ่งในฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล จบฤดูกาลในอันดับที่ 5 .. และ อยู่ในอันดับที่ดีกว่า เอฟเวอร์ตัน คู่แข่งร่วมเมืองที่ได้ในอันดับที่ 8 .. และ ก็สามารถผ่านเข้าไปถึง รอบรองชนะเลิศในศึก FA CUP ได้อีกต่างหาก .. ถือเป็นการกลับมา ของลิเวอร์พูลที่ดีมากทีเดียว และในฤดูกาลต่อมา 1896 - 97 จอนห์ แม็คเคนน่า ก็ดึงตัว ทอม วัตสัน เข้ามาเป็นรองเลขาของสโมสร ซึ่งน่าจะให้เข้ามาดูเรื่องของนักเตะเป็นหลัก ซึ่งดูเหมือนว่า จะเป็นการจัดสินใจดึงตัว วัตสันมานั้นค่อนข้างที่จะดี .. เพราะ วัตสันได้ทำการวางระบบ และปรับปรุงระบบใหม่ให้กับลิเวอร์พูล จนทำให้ ลิเวอร์พูลมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น .. และก็สร้างนักเตะ ขึ้นติดทำเนียบทีมชาติได้ หลายคนเลยทีเดียว เช่น แฮรี่ แบร็ดชอว์ ที่ติดทีมชาติอังกฤษ ..
" .. ในปี 1898 - 1899 .. ลิเวอร์พูล ได้ทำการปฏิวัติ ( Revolution ) สีเสื้อใหม่ ซึ่งได้เปลี่ยนให้เป็นสีแดง .. และ ลิเวอร์พูลก็ยังพัฒนาทีมต่อไป โดยการเซนต์สัญญาคว้านักเตะมาเสริมอีก โดยเฉพาะการมาของ " อเล็กซ์ เรสเบ็ค " ที่มีความสูง (น้อย) 5 ฟุต 9 นิ้วเท่านั้นเอง ( ประมาณ 172 ) ... เขาก็เข้ามาทำให้ทีมลิเวอร์พูล ดูแข็งแกร่งขึ้น และก็สามารถพาลิเวอร์พูลก้าวขึ้นสู่ ในอันดับรองแชมป์ของลีก ดิวิชั่น 1 ... ถือเป็นความสำเร็จที่สูงที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรมา .. และก็เกือบจะซิวแชมป์ FA CUP เสียด้วย .. ลิเวอร์พูลในฤดูกาลนั้นทำผลงานได้ดีจริงๆ
ทีมชุดฤดูกาล 1898 ครับ
สู่ความสำเร็จ กับ แชมป์ดิวิชั่น 1
นักเตะทีมชุดแชมป์ ดิวิชั่น 1
...... หลังจากที่ลิเวอร์พูล ยังโลดแล่นในระดับดิวิชั่น 1 มาก็หลายปี .. ซึ่งก็ยังไม่มีครั้งไหนเลย ที่จะเกือบได้แชมป์ลีก ซึ่งมีเพียงในฤดูกาล 1898 - 99 ที่ได้รองแชมป์ ในที่สุดความสำเร็จสูงสุดในขณะนั้น ก็ได้เข้ามายังถิ่น แอนฟิลด์บ้างแล้ว ซึ่งลิเวอร์พูลในฤดูกาลที่ 1900 - 01 ก็สามารถฝ่าฝันจนก้าวขึ้นสู่แชมป์ ดิวิชั่น 1 ได้สำเร็จ .. โดยการเฉือนชนะ ซันเดอร์แลนด์ ทีมอันดับที่ 2 เพียง 2 คะแนนเท่านั้น ซึ่งลิเวอร์พูล มาแรงตรีนปลาย โดยใน 13 นัดสุดท้ายลิเวอร์พูลไม่แพ้ใครเลย โดยชนะ ไปถึง 9 นัด เสมอ 4 นัด และผลงานชิ้นโบว์แดงก็คือ บุกไปชนะ ซันเดอร์แลนด์ทีมรองแชมป์ ที่โรเกอร์ ปาร์ค .. "
เดอะ วินเนอร์ " ครั้งแรกของลิเวอร์พูล ถูกต้อนรับด้วย แฟนบอลนับหมื่นคนที่รอต้อนรับที่ สถานีรถไฟ .. โดยมีวงโยธวาทิต คอยขับเพลงบรรเลง ต้อนรับ "
วีรบุรุษ " ทั้งหลายอย่างสนุกสุดเหวี่ยง โดย แม็เคนน่า และ จอนห์ โฮลดิ้ง มีความภาคภูมิใจกับความสำเร็จในครั้งนี้มาก และได้บอกว่า ความสำเร็จในครั้งนี้ ถ้วยที่ได้มาในครั้งนี้ เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นของความสำเร็จ ซึ่งเขาหวังว่า ถ้วยและความสำเร็จอื่นๆ จะตามมาอีกอย่างมากมายในภายภาคหน้า .. ซึ่งในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะลิเวอร์พูล กวาดถ้วยรางวัลมาไว้เต็มสโมสร ทั้ง แชมป์ลีก สูงสุดถึง 18 สมัย แชมป์ ยุโรป 5 สมัย แล้วยังมีแชมป์ FA CUP และ ลีกคัพ อีกด้วย .. ขณะนั้น ทอม วัตสัน เป็นผู้พาทีมลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ดิวิชั่น 1
ความโศกเศร้า เสียใจ กับการจากไปของ " KiNG JoNH "
...... แต่หลังจาก ที่ลิเวอร์พูลดีใจได้ไม่นาน ความโศกเศร้า ความเสียใจก็มาถึง เมื่อในปี 1902 .. ลิเวอร์พูลได้สูญเสีย บุคคลากรที่สำคัญที่สุดของสโมสรไป .. คือ " คิง จอนห์ " หรือ จอนห์ โฮลดิ้ง ผู้ก่อตั้งสโมสรลิเวอร์พูล โดยตลอดระยะเวลา 20 ปี โฮลดิ้งได้ สร้างให้ทีมฟุตบอล ทั้ง 2 ทีมอย่าง เอฟเวอร์ตั้น และ ลิเวอร์พูล มีชื่อเสียงขึ้นมา โดยเฉพาะทีมลิเวอร์พูล ที่ให้ทั้งเหงื่อ ให้ทั้งเงิน และ ให้ทั้งสโมสร .. กับลิเวอร์พูล .. โดยในพิธีนั้น เป็นพิธีที่ยิ่งใหญ่มาก โดยนักเตะของทั้ง ลิเวอร์พูล และ เอฟเวอร์ตัน ต่างกันแบกโลงศพของ โฮลดิ้ง .. และมีผ้าธงของ 2 สโมสรคลุมอีกที ทุกคนในเมืองลิเวอร์พูล ต่างโศกเศร้าเสียใจอย่างมากมาย โฮลดิ้ง ได้จบชีวิตด้วย อายุ 70 ปี ..
...... โดยในฤดูกาลต่อมา ลิเวอร์พูล ก็ไม่สามารถ ป้องกันแชมป์ได้ โดยอันดับตกไปในอันดับที่ 10 .. และ ในที่สุด ลิเวอร์พูลก็ต้องกลับมาพบกับความตกต่ำอีกครั้ง ซึ่งลิเวอร์พูลต้องกลับไปเล่นใน ดิวิชั่น 2 อีกครั้ง โดยในฤดูกาล 1903 - 04 .. ลิเวอร์พูลได้อันดับ 17 หรือ อันดับรองบ๋วย .. ทำให้ต้องตกไปเล่นในดิวิชั่น 2 และเพียง ฤดูกาลเดียว ในฤดูกาล 1904 - 05 ลิเวอร์พูลก็คว้าแชมป์ ดิวิชั่น 2 อีกครั้ง สามารถกลับขึ้นมาเล่นใน ดิวิชั่น 1 อีกครั้งได้เป็นผลสำเร็จ .. และก็เป็นอีกครั้ง ที่ลิเวอร์พูล โชว์ฟอร์มเหนือ ดุจเทพ หลังจากที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมา ลิเวอร์พูล ก็สามารถคว้าถ้วยดิวิชั่น 1 เป็นคำรบที่ 2 ... ซึ่งในตอนนั้น มีทีมในดิวิชั่น 1 ถึง 20 ทีมแล้ว ซึ่งการคว้าแชมป์ในฤดูกาลนั้น ลิเวอร์พูล ออกสตาร์ทได้ไม่ดีมากนัก โดยใน 3 นัดแรก แพ้รวด เสียไป 11 ประตู ได้มาเพียงแค่ 2 ประตูเท่านั้น ซึ่งในนัดที่พบกับ แอสตัน วิลล่า ลิเวอร์พูล แพ้ต่อวิลล่า ไปแบบหมดรูป 5 - 0 ...
รูปในหนังสือพิมพ์ Sunderland Daily Echo, 02-01-1904
ผู้จัดการทีม คนที่ 3 .. " เดวิด แอซเวิด "
ทีมชุดฤดูกาล 1919-1922 ครับ
" เดวิช แอซเวิด " ( 1919 - 1922 ) .. ผู้สานต่องาน ทอม วัตสัน .. แอซเวิด ไม่ได้เป็นผู้เล่น หรือ เข้ามาเกี่ยวข้องกับลิเวอร์พูล มาก่อน .. โดย แอซเวิดเป็นชาว ไอร์แลนด์ และได้เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมในช่วงระยะเวลาที่ไม่นานมากนัก ประมาณ 3 ปี .. โดยเข้ามาตั้งแต่ 1919 - 1922 โดย แอชเวิดนั้นเริ่มเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมให้กับ โอลแดม มาก่อนหน้านี้ .. โดยในตอนที่คุมทีม โอลแดมก็สามารถทำผลงานได้ดีพอสมควร .. และในระยะเวลาเพียง ประมาณ 3 ปี แอซเวิด ก็ทำผลงานกับลิเวอร์พูล ดีทีเดียว ซึ่งสามารถนำทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดหรือ แชมป์ดิวิชั่น 1 ไปครองได้ ในปี 1922 .. หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้คุมทีมให้กับลิเวอร์พูล โดยได้รีเทิรน์กลับไปคุมทีม โอลแดมป์อีกครั้ง .. ซึ่งทีมในตอนนั้นก็ถือว่า แอซเวิด วางไว้ดีพอสมควร .. และหลังจากที่ ลิเวอร์พูล เสียผู้จัดการทีมคนนี้ไป อย่างกระทัน ทั้งๆที่ยังไม่มีใครคาดคิดว่า แอซเวิดจะจากทีมไป ลิเวอร์พูล ก็ต้องหาผู้จัดการทีมอย่างฉุกระหุก เลยต้องดึง " แม็ต แม็คควีน " ( 1922 - 1928 ) ไดเรกเตอร์ ของทีมในขณะนั้น เข้ามาเป็นผู้จัดทีมชั่วคราว
......... ซึ่ง แม็คควีนก็สามารถทีม ลิเวอร์พูลได้แชมป์ ดิวิชั่นหนึ่งอีกครั้ง โดยทำแต้มทิ้งห่างซันเดอร์แลนด์ทีมคู่ปรับเก่าไปถึง 6 คะแนน .. แต่หลังจากที่คว้าแชมป์ในฤดูกาลแรก ในฤดูกาล 1922 - 23 แล้วนั้น แม็คควีนก็ไม่สามารถทำให้ทีมลิเวอร์พูลพัฒนาขึ้นมากเท่าไหร ซึ่งใน อีกหลายๆฤดูกาลที่ผ่านมา โดยทำทีมอยู่ในระดับกลางๆ .. และไม่ได้ลุ้นแชมป์เท่าที่ควร และในฤดูกาลสุดท้ายของการคุมทีมของเขา ก็ทำได้เพียงแค่อันดับที่ 16 .. ซึ่งถ้ามองจากอันดับ ก็ดูว่า ยังห่างจากอันดับท้ายตารางถึง 6 อันดับ ( สมัยก่อน 22 ทีม ) .. แต่ถ้าดูคะแนนที่ลิเวอร์พูลได้แล้วนั้น มีเพียง 39 คะแนน ซึ่งห่างจากทีมที่ตกชั้นอย่าง โบโร่ เพียงแค่ 2 คะแนน .. โดยในอันดับที่ 14 - 20 มี 39 คะแนนเท่ากัน ส่วนในอันดับที่ 21 - 22 .. มี เพียง 37 คะแนนเท่านั้นซึ่งต้องบอกว่า เกือบตกชั้นเหมือนกัน ... และถ้าดูไปที่นัดสุดท้ายแล้วด้วย จะพบว่า เราพ่ายแพ้ต่อแมนยูไนเต็ดไป ถึง 6 - 1 ... คงได้เสียวกันสุดๆเลยทีเดียว แต่ถ้านัดนั้นเราสามารถเอาชนะ แมนยูได้ แมนยูจะตกชั้น .. เพราะ แนยูมีเพียง 39 แต้มเท่ากัน ( มันน่าถีบแมนยูตกชั้นเสียจริง ) ....
........ จากที่ต้องมีการเปลี่ยนผู้จัดการทีมอีกครั้ง ลิเวอร์พูล ก็ใช้ Bootroom Staff อีกครั้ง ( จริงๆไม่ใช่หรอกตรูมั่วไปเอง เอิ๊กๆ ) ... โดยได้ไปดึง เลขานุการของ ทอม วัตสัน หรือน่าจะเป็นเลขาของสโมสร มาเป็น ซะงั้น นั้นก็คือ " จอร์จ แพทเธอร์สัน " ( 1928 - 1936 ) … มาคุมทีมลิเวอร์พูลแทนที่ แม็ต แมคควีน แต่การเอาตัว จอร์จ แพทเธอร์สันเข้ามาคุมทีมนั้น ดูเหมือนว่า จะใช้งานไม่ถูกกับคนหรือป่าวไม่รู้ ( Put the right man to the right Job ) เพราะตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ จอร์จ นั้นคุมทีม จอร์จ ไม่สามารถพาทีมลิเวอร์พูล คว้าถ้วยแชมป์รายการใดใด ได้เลย ( โอ้ว พระเจ้า จอร์จ มันยอดแย่ ) .. ถ้าเป็นสมัยนี้ โดนด่าตรูดไฟแล็บไปแล้ว .. ถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็น ความสำเร็จ หรือ เปอร์เซ็นที่ทำให้ทีมลิเวอร์พูลชนะแล้วนั้น ถือว่าต่ำกว่าผู้จัดการทีมก่อนหน้านี้ทุกคนเลย เอาเป็นว่า คุมทีมมา 366 นัดแต่ผลแพ้มากกว่า ผลชนะก็แล้วกัน ซึ่งจอร์จ ถือว่าเป็นคนเก่าคนแก่ของสโมสรเลยทีเดียว ทำงานมากับ ทอม วัตสัน น่าจะประมาณ เกือบ 2 ทศวรรษ ... ซึ่งคงเป็นเช่นนี้เอง ถึงได้ก้าวขึ้นมารับตำแหน่ง ผู้จัดการทีม .. ซึ่งผมก็ลองไปดูรายละเอียดการซื้อขายผู้เล่นของผู้จัดการทีมคนนี้ดู ซึ่งปรากฏว่า ผมไปเห็น ชื่อนักเตะคนหนึ่ง ซึ่งมันเป็นชื่อที่โด่งดังมาก เขาผู้นั้นคือ .. " Matt Busby " นักเตะผู้นี้ลงเล่นให้กับลิเวอร์พูลเพียงไม่กี่นัดเท่านั้น ค้าแข้งในแอนฟิลด์ตั้งแต่ฤดูกาลที่ 1936 - 1940 .. โดยลงเล่นไป 125 เกม ยิงได้ 3 ประตู ... โดยบัสบี้ย้ายมาจาก แมนซิตี้ .. ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่า ในเวลาถัดมา แม็ต บัสบี้ กลับกลายเป็น ยอดผู้จัดการทีม ของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด .. สามารถกวาดแชมป์มาได้หลายถ้วยหลายรางวัล และ ที่เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงที่สุด เห็นจะเป็น การคว้าถ้วย ยูโรเปี้ยน คัพ ให้กับแมนยูเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ รวมทั้งเป็นใบแรกของเกาะอังกฤษ ซะด้วย .. ซึ่ง แม็ต บัสบี้คว้าถ้วย ยูโรเปี้ยนคัพ ได้ในปี 1968 ... แต่เป็นที่น่าแปลกใจพอสมควร ตอนเป็นนักเตะ แม็ต บัสบี้ ได้ลงเล่นให้กับทีม คู่รักคู่แค้น ทั้ง .. แมนเชสเตอร์ ซิตี้ .. และ ลิเวอร์พูล ต่อมาภายหลังได้รับพระราชทาน เป็น " เซอร์ แม็ต บัสบี้ "
รูปของเซอร์ แม็ต บัสบี้ กับถ้วย UCL ปี 1968 ครับ
ผู้จัดการทีมคนต่อๆมา ก่อนถึงยุครุ่งเรือง
......... " จอร์จ เคย์ " เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมให้กับลิเวอร์พูล ในปีถัดมา ปี 1936 .. ซึ่งเขาได้ย้ายมาจาก เซาป์แธมป์ตัน .. เคย์ เคยมีประสบการณ์ในการเป็นผู้เล่นมาหลายสโมสร .. เช่น เวตส์แฮม , โบลตัน .. โดย ลิเวอร์พูลก็กลับเข้ามา พาทีมลิเวอร์พูลเป็น แชมป์ดิวิชั่น 1 อีกครั้งในปี 1947 .. แต่หลังจากที่ได้แชมป์มาในฤดูกาลนั้น ลิเวอร์พูล ก็ยังมีผลงานที่ดีไม่ต่อเนื่อง แต่ เคย์ก็ได้ ดึงตัวผู้เล่นและผู้จัดการทีมในระดับตำนาน เข้าสู่ อยู่หลายคน เช่น บิลลี่ ลิดเดลล์ ศูนย์หน้าระดับตำนานของทีม ... บ๊อบ เพสลีย์ ผู้จัดการทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเกาะอังกฤษ .. และ อลัน สตั๊บบิ้น กองหน้า ฉายา ." ราชาสตั๊ดเหินหาว " ... และ หลังจากนั้น เคย์ก็ได้ รีไทร์ตัวเองออกจากลิเวอร์พูลไปในปี .. 1951 .. ด้วยเรื่องปัญหาสุขภาพของตัวเขา .. ซึ่งคนที่เข้ามารับตำแหน่งแทน เคย์ก็คือ ... " ดอน เวลช์ " อดีต ผู้เล่นทีมชาร์ลตัน ซึ่งเคยได้แชมป์ FA CUP มาแล้วกับชาร์ลตัน ในฐานะนักเตะ เวลช์ถือเป็นนักเตะฝีเท้าดีคนหนึ่ง .. ซึ่งถึงแม้ เวลชจะเป็นผู้เล่นที่ดีคนหนึ่ง แต่ยามเมื่อเขามาคุมทีมลิเวอร์พูล ลิเวอร์พูลกับต้องประสบปัญหาอีกครั้ง ซึ่งในช่วง 2 - 3 ฤดูกาลแรก เวลช์ทำทีม ไม่ดีเท่าที่ควร อยู่ในระดับแค่กลางตาราง .. แต่แล้วในปี 1953 - 54 .. ลิเวอร์พูล ต้องตกลงไปเล่นในดิวิชั่น 2 อีกครั้ง หลังจากที่ได้เลื่อนชั้นมาสู่ดิวิชั่น 1 หลายปีแล้ว .. ในฤดูกาลนั้น ลิเวอร์พูลมีผลงานที่แย่มาก มีเพียง 28 คะแนน อยู่อันดับสุดท้ายของตาราง โดยฤดูกาลนั้นมีแม็ตช์ที่แพ้ ถล่มทายต่อคู่ตอสู้อยู่หลายนัด ไล่ตั้งแต่ แพ้ แพ้ นิวคาสเซิ่ล 1 - 5 .. รวมทั้ง แพ้ แมนยู และ ปอร์ทสมัธด้วย สกอร์เดียวกัน และ แพ้ต่อชาร์ลตัน ถึง 6 - 0 .. แต่หลังจากนั้น เวลช์ก็ได้ ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม .. ซึ่งหลังจากที่พาทีมตกชั้นไป เขาก็ไม่สามารถพาทีมกลับขึ้นมาได้ .. โดยผู้จัดการทีมคนต่อมาก็คือ .. " ฟิล เทเลอร์ " .... ช่วง ระยะเวลาที่ เทเลอร์ เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีม ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ สโมสรเลยก็ว่าได้ .. ซึ่งหลังจากที่ ลิเวอร์พูลต้องตกชั้นลงมาในดิวิชั่น 2 ในปี 1954 - 95 .. นั้น ในช่วงระยะเวลา อีก 4 ปีถัดไป เทเลอร์ก็ไม่สามารถพาทีมลิเวอร์พูล ซึ่งถึงแม้ เขาจะพยายามมากเท่าไหร ลิเวอร์พูล ก็ยังไม่สามารถทำผลงานได้ดีไปกว่าในอันดับ 3 - 4 ตลอดระยะเวลาที่ เทเลอร์คุมทีมลิเวอร์พูล ถือว่า มีผลงานที่ดี แต่ไม่ดีมาก .. ซึ่งสุดท้ายเขาก็ต้องลงจากตำแหน่งไปในปี 1959 ... แต่ก็ต้องขอบใจนาย เทเลอร์ไว้เหมือนกันเพราะว่า อย่างน้อยที่สุด เขาก็ได้ทิ้ง สุดยอดระดับตำนาน ให้กับ ลิเวอร์พูล ไว้ 1 .. คน นั้นก็คือ โรเจอร์ ฮันท์ ยอดดาวยิงของลิเวอร์พูล ซึ่งมีสถิติการพังประตู 286 ประตู จากการลงเล่น 492 นัด ...
รูปของ โรเจอร์ ฮันท์ และลูกยิงใส่สเปอร์ในรอบรองชนะเลิศถ้วย UCL กับสเปอร์
กับความสำเร็จและรากฐานที่มั่นคง .. " บิลล แชงค์คลี่ " ยอดปรมาจารย์ของลิเวอร์พูล
...... ถ้าจะถามว่า ลิเวอร์พูล มีความสำเร็จ มีหน้ามีตา .. มีชื่อเสียงที่โด่งดังมาจากใคร ?? .. นั้น แน่นอนว่า บุคคลท่านนี้ คงจะต้องมีรวมอยู่ในหัว ของบรรดาเดอะค๊อปทั่ว โลกอย่างแน่นอน .. " บิลล์ แชงค์คลี่ " สุดยอดผู้จัดการทีมของลิเวอร์พูล หรือจะเรียกว่า เป็น ปรมาจาร์ยของ สำนักลิเวอร์พูล เลยก็ว่าได้ .. ถ้าเทียบเคียงกับหนังเรื่องมังกรหยก ก็คงเป็นในระดับเดียวกับ " อึ้งเอี๊ยะซือ " แห่งเกาะดอกท้อ หรือ จะเป็น อั๊กชิกกง ของพรรคกระยาจกดี .. บิลล์ แชงค์คลี่เข้ารับงานจากทีมลิเวอร์พูล ในเดือน ธันวาคม ปี 1959 .. ตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ บิลล์ แชงค์คลี่ เข้ามาคุมทีม แชงค์คลี่ได้ ปรับปรุง พัฒนา .. ปฏิวัติ รัฐประหาร เฮ้ย !! ... ทีมลิเวอร์พูล จนก้าวสู่ยอดทีมแถวหน้าของยุโรปเลยทีเดียว แชงค์คลี่ เข้ามา รีบิ้วทีมใหม่หมด ซึ่งแชงค์คลี่ ในฤดูกาลแรก ก็ต้องปล่อยนักเตะ ที่มีฝีมือไม่ถึง หรือว่าไม่อยู่ในแผนการทำทีมถึง 24 คน .. และได้จัดแจง ซื้อตัวผู้เล่น หลายๆคนเข้ามา โดยผู้เล่นคนแรกที่ แชงค์คลี่ได้ทำการซื้อเข้ามาคือ .. " แซมมี่ รีด " .. และแชงค์คี่ก็ได้ซื้อนักเตะผู้เล่นเข้ามาอีกหลายคน ซึ่งหลายๆคนก็เป็นระดับตำนานของทีมไปแล้วเช่น เอียน เซนต์จอนห์ .. รอน ยีตส์ .. เอมรี่ ฮิวส์ .. เรย์ คลีเมนส์ .. รวมทั้ง เควิน คีแกน .. จอนห์ โตแช็ค .. ที่ซื้อเข้ามาในช่วงหลังๆ .... แชงค์คลี่ เข้ามาคุมทีมลิเวอร์พูล โดยใช้เวลาเพียง 2 ปี เท่านั้น ลิเวอร์พูล ก็สามารถขึ้นกลับมาสู่ ดิวิชั่น 1 อีกครั้ง .. ในปี 1961 - 62 .. และ จากในการเลื่อนชั้น ขึ้นมา ถึงปัจจุบันก็เป็นเวลา กว่า เกือบครึ่ง ศตวรรษแล้วที่ ลิเวอร์พูลไม่กลับไปสู่ในดิวิชั่นที่ต่ำกว่าลีกสูงสุด .. ถ้าจะบรรยายเกี่ยวกับ แชงค์คลี่ เชื่อว่าคงจะต้องใช้พื้นที่อีกอย่างเยอะ เอาไว้มีโอกาสก็จะเจาะลึกไปที่ บิลล์ แชงค์คลี่ อีกครั้งนึงดีกว่านะครับ .. บิล แชงคคี่ วางมือจากการเป็นผู้จัดการทีมในปี 1974
ใครอยากเห็นถ้วยรางวัลที่ปู่บิลคว้ามาได้ทั้งหมด ผมไม่อยากเอาลงมันเยอะมาก
หาในกูเกิลเลยครับ Bill shankly all cup
รูปของปู่บิล เมื่อปี 1959 ครับ
สืบสานต่อความสำเร็จกับ " Bootroom Staff "
" Bootroom Staff " คืออะไร ?? หลายๆคนคงทราบดีว่าคืออะไร ถ้าแปลกันตรงตัว ก็น่าจะประมาณ ห้องเก็บรองเท้า .. ซึ่งหลายทีมก็คงมีเช่นเดียวกับที่ลิเวอร์พูล มี ... ก่อนที่ บิลล์ แชงค์คลี่ จะได้วางมือจากการเป็นผู้จัดการทีมของลิเวอร์พูลนั้น แชงค์คลี่ได้สร้าง ขนบธรรมเนียม อย่างหนึ่งขึ้นมา .. นั้นก็คือ บู๊ทรูมสต๊าฟ นั้นเอง .. โดยคำว่า บู๊ทรูม สต๊าฟของลิเวอร์พูลนั้น มันมีความหมายที่ยิ่งใหญ่มากในช่วง ปี 1970 เลยไปถึง ช่วงปี 1980 .. ห้องเก็บรองเท้าของลิเวอร์พูล ในสมัยอดีตนั้น เป็นห้องที่มีความสำคัญ โดยในห้องนี้จะเป็นห้องที่ใช้สำหรับการพูดคุย การวางแผน ก่อนและหลังเกม รวมทั้ง ยังพูดคุยกันได้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับฟุตบอล โดยเฉพาะการเข้ามาพูดคุยหลังเกม ซึ่งก็จะพูดคุยถึงเกมนั้นๆ ว่า มีข้อผิดพลาดตรงไหน และจะต้อง แก้ไข ปรับปรุงยังไง .. และ ก็จะต้องให้เรื่องที่พูดคุยกันในวันนั้น จบอยู่ในห้องนี้เสมอ .. โดยช่วงแรกๆของ บู๊ทรูมสต๊าฟ ก็จะมี บิลล์ แชงค์คลี่ เป็นผู้จัดการทีม และมี บ๊อบ เพสลีย์ , โจ ฟาแกน , รูเบน เบนเตส์ , ทอม ซอนเดอร์ .. โดยหลังจากที่ แชงค์คลี่ได้วางมือจากการเป็นผู้จัดการทีมของลิเวอร์พูล เขาก็ได้แต่งตั้งทีมงาน 1 ใน บู๊ทรูมสต๊าฟ ขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีม นั้นก็คือ " บ๊อบ เพสลีย์ " ปี 1974 .. และการวางตัว เพสลีย์สือบทอดตำแหน่งผู้จัดการทีมนั้น ก็ทำให้ลิเวอร์พูล ขึ้นสู่จุดสุดยอด ของสโมสร .. เพราะ เพสลีย์ ได้ทำทีมตามแนวทางของ แชงค์คลี่ .. บวกกับสายตาที่ดีของ เพสลีย์ที่ดึงตัวนำเตะเข้ามาเสริมทีมให้มีความแข็งแกร่ง บวกกับนักเตะ เดิมๆที่ แชงค์คลี่ได้สร้างและวางรากฐานเอาไว้ .. โดยขุนพลนักเตะตัวหลักๆ ที่เพสลีย์ได้ซื้อไว้ก็มี เช่น ฟีล นีล , เทอร์รี่ แม็คเดอม็อต , แกรม ซูเนสต์ , อลัน แฮนเซ่น เอียน รัช และ เคนนี่ เดลกลิช เป็นต้น .. ลิเวอร์พูล ในช่วงยุคนั้น " ไร้เทียมทาน " ... สุดๆ ยากที่จะมีทีมไหนล้มลิเวอร์พูลได้ง่ายๆ ในช่วงยุคของ บ๊อบ เพสลีย์นั้น เล่นบอลกันได้อย่างสวยงาม รวมทั้งยังมีประสิทธิภาพ โดยได้รับฉายาว่า " Red Machine . เครื่องจักรสีแดงนั้นเอง .. ยามเมื่อเครื่องจักรอุ่นเครื่อง และเดินเครื่องแล้วนั้น ก็ยากที่จะมีทีมไหน มาเอาชนะลิเวอร์พูลได้ง่ายๆ .. และไม่เพียงลิเวอร์พูล จะเก่งและโดดเด่น แต่เพียงในเกาะอังกฤษ เท่านั้น แต่ลิเวอร์พูล ยังแผ่ขยายความเก่งออกไปในยุโรป .. ซึ่งในที่สุดลิเวอร์พูลก็สามารถคว้าถ้วยใบใหญ่ที่สุดของยุโรป หรือ ถ้วย ยูโรเปี้ยน คัพได้มาเป็นสมัยแรกในปี .. 1977 .. และ เพสลีย์ก็ยังสามารถป้องกันแชมป์ได้ในปีถัดมา 1978 และ ในอีก 3 ฤดูกาลถัดมาก็มาได้อีกก็รวมทั้งสิ้น 3 ครั้ง ซึ่งเป็นทีมจากอังกฤษทีมแรกที่ คว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพมาครองได้ถึง 3 ครั้ง .. ซึ่งรวมแล้ว บ๊อบ เพสลีย์ สามารถกวาดแชมป์หลักๆ มาได้ 13 รางวัล เป็นผู้จัดการทีม ที่ยากจะมีใครมาเทียบเคียงได้ ... และในที่สุด เพสลีย์ก็ได้วางมือจากการเป็นผู้จัดการทีมเช่นกัน และก็ได้ " โจ ฟาแกน " ทำหน้าสืบสานต่อ บู๊ทรูม สต๊าฟ และ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ต่อไป .... ช่วงที่ โจ ฟาแกนเข้ามาคุมทีมลิเวอร์พูล ถือว่าเป็นช่วงที่ดีของลิเวอร์พูล ซึ่ง ฟาแกนก็สามารถ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เขาก็เป็นผู้จัดการทีมที่ดีเหมือนกัน .. คงไม่ต้องมาบอกอีกนะว่า ได้ดีก็เพราะมีของดีอยู่แล้ว .. ฟาแกนใช้เวลาไม่นานเพียงฤดูกาลเดียว เขาก็สามารถพาทีม ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ลีกและยูโรเปี้ยนคัพ สมัยที่ 4 ได้อีกครั้ง ซึ่งในปีนั้น ฟาแกน สามารถทำ " Trible Champ " ได้ ซึ่งถือเป็นผู้จัดการทีมของอังกฤษคนแรกที่สามารถทำ ทริปเบิ้ล แชมป์ได้ ซึ่งถึงแม้ภายหลังจะมีนักวิจารณ์ และ ผู้ที่อิจฉา มาบอกว่าการทำทริปเบิ้ล แชมป์ของ ฟาแกนนั้นของปลอม .. ส่วนของ เฟอร์กี้ นั้นของจริงๆ .. เพียงแค่เพราะว่า เฟอร์กี้ได้แชมป์ FA CUP ส่วน ฟาแกน ได้แชมป์ ลีกคัพ .. ซึ่งมันเป็นความคิด หรือมุมมองที่เพียงแค่อยากจะให้ เฟอร์กี้นั้นเป็นเจ้าของประวัติศาสตร์ .. แต่ความเป็นจริงแล้ว ก็ยังหลอกตัวเองว่า เราไม่ใช่คนแรกนี้หว่า ?? แต่ไม่เป็นไรมั่วๆไปได้เหมือนกัน .. ซึ่งพูดกันตามตรงว่า บอลถ้วยลีกคัพในสมัย ฟาแกน และ เฟอร์กี้ นั้นต่างกัน เพราะ สมัยนี้ มันไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ ก็เพราะว่า ทีมแมนยูนั้น และ ที่ทำให้ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์เพียงเพราะว่า ต้องการที่จะพักผู้เล่นทีมชุดใหญ่ และ ส่งดาวรุ่ง สำรองลงกันมาอย่างมากมาย .. ทำให้ ในถ้วยนี้ จึงลดความศักดิ์สิทธิ์ลงไปมากทีเดียว .. และไม่ใช่แค่ว่า แค่เพียงถ้วยนี้ ที่เฟอร์กี้ และ แมนยู จะทำลายความศักดิ์สิทธิ์ .. ขนาดถ้วยเอฟเอ คัพ แมนยูยังเคยไม่ส่งลงเล่นเลย เพียงเพราะว่าจะไปเตะ สโมสรโลก .. เท่านั้น !!! ... เอาเถอะครับ มันผ่านๆไปแล้วก็ให้มันผ่านไป ...
รูปของ โจ ฟาแกน และรุปถ่ายกับปู่บิลครับ
ฟาแกน คุมทีมในช่วงระยะ เวลาสั้นๆเท่านั้น ซึ่งสิ่งที่ทำให้ ฟาแกนนั้นต้องวางมือจากการเป็นผู้จัดการทีม ก็คือ " โศนาฏกรรม เฮย์เซล " นั้นเอง ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้น เป็นเหตุการณ์ที่ อัฒจันทร์ได้พังลงมา เหตุก็เพราะมีการปะทะกัน ของทั้ง 2 ทีม มีการอัดแน่นด้วยคนดูที่มากเกินไป .. ทำให้เหตุการณ์ในครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตไปถึง 39 คน ( โดยเป็นแฟนบอลชาวอิตาลีล้วนๆ ) ซึ่ง เกมในวันนั้น ลิเวอร์พูล แพ้ ต่อ ยูเวนตุสไปใน ยูโรเปี้ยน นัดชิง .. และมีคนได้พูดกันว่า ถ้าในนัดนั้นไม่เกิดเหตุการณ์ นั้นขึ้นลิเวอร์พูล ก็น่าจะได้แชมป์ สมัยที่ 5 มาครองแล้ว .. แต่ความหวังก็ต้องพังทลายลงไป .. กับเหตุการณ์ในครั้งนั้น โดย เหตุการณ์ครั้งนั้น แฟนบอลชาวอิตาลี มีความโกรธแค้นและแค้นเคืองอย่างมาก ซึ่งตลอดเวลาที่ รถวิ่งผ่านรถของนักเตะลิเวอร์พูลก็จะมีเสียงด่ากลับมา อย่างมากมาย รวมทั้ง เสียงที่ร้องไห้อีก มันเป็นความทรงจำที่ไม่เคยลืมเลือนไปเลย .. เดลกลิช ได้กล่าวไว้หลังจาก แม็ตช์นั้น ผ่านมา .. และ ทุกวันที่ 29 พฤษภาคม ก็จะเป็นวันที่เดอะค๊อปและแฟนๆ ยูเวนตุสคงไม่เคยลืมเลือนมัน .. จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้ ฟาแกน ตัดสินใจที่จะลาออกจากการเป็นผู้จัดการทีม เพราะ รับไม่ได้กับเหตุการณ์ในครั้งนั้นและแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์นั้นๆ ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายเพราะ ฟาแกนเพิ่งเข้ามาคุมทีมได้เพียง 2 ฤดูกาลเท่านั้นเอง .... ซึ่งจากเหตุหการณ์ในครั้งนั้น ทำให้ลิเวอร์พูลถุกแบนจากการแข่งขันบอลยุโรปไป 6 ปี ส่วนทีมจากอังกฤษ ถูกแบนไป 5 ปี ...
ภาพจาก" โศนาฏกรรม เฮย์เซล "
ขอทิ้งลิ้งค์ไว้นะครับ ไม่อยากให้ภาพเหล่านี้เกิดขึ้นอีก ใครอยากดูคลิ้กตามเลยครับ
http://www.documentingreality.com/forum/f237/death-pictures-heysel-tragedy-1985-05-29-a-127670/
คิง เคนนี่ หรือ " เคนนี่ เดลกลิช "
รูปของคิงเคนนี่ กับจอห์น บาร์น และเอียนรัช ครับ
เข้ามารับงานต่อจาก โจ ฟาแกน .. ซึ่งการเข้ามาของ เดลกลิชนั้น ดูเหมือนจะเป็นการผิดประเพณี เพราะ เดลกลิช ไม่ได้มาจาก บู๊ทรูมสต๊าฟ .. แต่เนื่องด้วยเขาก็เป็นนักเตะที่แฟนบอลรัก และ ประสบความสำเร็จกับลิเวอร์พูล ทำให้ ยังพอไปวัดไปวาได้ .. ซึ่งเดลกลิช ก็ทำผลงานได้ดี พอสมควร สามารถ นำแชมป์ ดิวิชั่น 1 มาให้ลิเวอร์พูลได้ ในปี 1986 , 1988 , และ 1990 .. ซึ่ง ในปี 1990 นั้นก็คือปีสุดท้ายที่ลิเวอร์พูล เคยได้แชมป์ ซึ่งในปัจจุบัน ปี 2006 ลิเวอร์พูล ก็ยังไม่ได้แชมป์ ซึ่งปาเข้าไป 26 ปีแล้ว แต่ความหวังยังมีก็ยังคงต้องรอกันต่อไป .. และ ความซวยของลิเวอร์พูล ก็ยังไม่หมดและก็ได้มาเกิด โศกนาฏกรรมอีกครั้ง ใน . " ฮิลโบโร่ " .. ซึ่งการแข่งขันในนัดนั้นเป็นการแข่งขันในรอบรอง ชนะเลิศในปี 1989 .. ซึ่งแฟนบอลลิเวอร์พูล ในวันนั้น ต่างยกโขยงมากันเยอะมาก มากกว่า โควต้าความจุของสนามเสียอีก ซึ่งถูกยัดเยียดในสนามประมาณ 24000 คน ทำให้ มีความแออัดเกิดขึ้นมาก ซึ่งหลังจากที่ เกมดำเนินการแข่งขันไปได้ไม่นาน .. ความบ้าคลั่งของแฟนลิเวอร์พูลที่มีสูง ทำให้ อัศจรรย์ฝั่งกองเชียร์ลิเวอร์พูล ได้พังคลื่นลงมา แฟนบอล 24000 คนได้ พยายามดิ้นรนหนีและวิ่งลงมากัน ทำให้มีการเหยียบกัน .. และ มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ มากมาย ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็ทำให้มีผู้เสียชีวิตไป 95 คน .. ก่อนที่ภายหลังแฟนบอล คนหนึ่งจะมาเสียชีวิตเพิ่มหลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น 4 ปีถัดมาทำให้เพิ่มจาก 95 เป็น96 เลขสวยจัง เหอๆ ... ซึ่งเป็น โศกนาฏกรรม ที่รุนแรงอีกครั้งที่เกิดกับทีมลิเวอร์พูล .. และหลังจากนั้นมา ลิเวอร์พูลดูเหมือนจะโดนคำสาปแช่งอย่างมากมาย .. เป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างแท้จริง .. โดยทาง The Taylor Report ก็ได้รายงานว่า สาเหตุของ โศกนาฏกรรมในครั้งนี้เนื่องมาจากความแออัดของกองเชียร์นั้นเอง และสุดท้าย เคนนี่ เดลกลิช ก็วางมือ ด้วยเหตุผลที่ผมได้ยินมาภายหลังว่า " ป๊อด "
เหตุการณ์ " ฮิลโบโร่ " รูปก็ตามลิ้งค์ไปอีกครับ ผมไม่อยากเอาลง ด้วยความสัตย์จริง รู้สึกเศร้าทุกครั้งที่นึกถึง
ลิ้งค์
http://mkalty.org/hillsborough/
รูปของคิงเคนนี่ ตอนอยู่ในเหตุการณ์
ทำให้ลิเวอร์พูลในตอนนั้น ก็ต้องหาผู้จัดการทีมอย่างเร่งด่วน ซึ่งหลายๆคนก็เสนอชื่อว่า น่าจะเป็น รอย อีแวนส์ .. แต่ในที่สุด สุดท้ายแล้วก็เป็น" แกรม ซูเนตส์ " .. ที่เข้ามารับทอดผู้จัดการทีมของลิเวอร์พูล คนที่ 14 ซึ่งก่อนหน้านั้นเล็กน้อย " รอนนี่ มอแรน " ได้เข้ามาคุมทีมชั่วคราวก่อน .. แต่ก็ไม่มีเหตุการณ์ไรน่าสนใจ เพราะคุมทีมแบบชั่วคราว แค่เพียง 10 นัดเท่านั้น .. ซึ่งการเข้ามาคุมทีมของ แกรม ซูเนตส์นั้น ก็เริ่มเข้าสู่ จุดเริ่มต้นของความตกต่ำของลิเวอร์พูล เลยก็ว่าได้ .. ( ซึ่งเขาว่าอย่างนั้น ) .. แกรม ซูเนตส์ ดูเหมือนว่า จะไม่มีเซนต์ในการเป็นผู้จัดการทีมเอาเสียเลย ( จนปัจจุบัน ก็ดูเหมือนจะเอาตัวไม่รอดในฐานะผู้จัดการทีม ) .. แนวทางการทำทีม ต่างจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง เครื่องจักรสีแดง ที่เคยเลื่องชื่อ ถูกดับสูญไปแล้ว ไม่มีเครื่องจักรแล้ว ลิเวอร์พูลอาจจะมีฉายาใหม่ว่า " Red Handmade " ..โดยมีลักษณะไปอย่าช้าๆ หามาตรฐานไม่ค่อยเจอ เอิ๊กๆ ( ป่มคิดเองอันนี้ ) .. ฟอร์มการเล่นของ ลิเวอร์พูลในตอนนั้น ขึ้นๆลงๆ เหมือนคลื่อนใต้น้ำ ที่พรุ๊บๆ โผล่ๆ .. แกรม ซูเนตส์ก็ยังสามารถ พาทีมลิเวอร์พูล ได้แชมป์ FA CUP เสียด้วยในปี 1992 .. ซึ่งเป็นนัดแจ้งเกิดของ สตี๊ฟ แม็คมานามาน เลยด้วย .. โดย แม็คมานามานได้ ฉุดกระชากลากเลื่อยไปทั่วสนาม พริ้วไหวจริงๆ .. และ แชมป์ FA CUP ปีนี้ก็เป็นแชมป์แรก และ แชมป์เดียว ของ แกรมซูเนตส์ .... ซึ่งด้วยความ ที่ฟอร์มการเล่น ก็ไม่ดี แถม ฟอร์มโดยรวมก็สุดแสนจะแย่ ถ้วยแชมป์ก็ไม่เคยได้มาอีก แกรม ซูเนตส์จึงต้องก้าวลงมาจากการเป็นผู้จัดการ อาจจะเป็นเพราะว่า ด้วยประสบการณ์ของแกรมซูเนตส์อาจจะยังไม่สมควรที่จะก้าวขึ้นรับตำแหน่ง ซึ่งยังคงเร็วไป และ การที่นักเตะคนหนึ่งจะประสบความสำเร็จ ในการเล่นเป็นนักฟุตบอล มันก็ไม่ได้เป็นการ การันตีเลยว่า เขาจะสามารถคุมทีมฟุตบอลได้ดีเช่นกัน .. ซึ่งก็มีหลายคน ที่ทำผลงานได้ไม่ดี .. ดังนั้น ซูเนตส์ จึงต้องเปิดทางให้กับ " รอย อีแวนส์ " อดีตลูกหม้อ ของลิเวอร์พูลโดยแท้จริง อีแวนส์ รับใช้ลิเวอร์พูล มาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นนักเตะ โดย อีแวนส์นั้นก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีกับการที่จะมาเป็น นักฟุตบอล .. ซึ่ง เขาก็ได้รับซึมซับในระบบการทำทีม ของบ๊อบ เพสลีย์ , โจฟา แกนมาอย่างดี ทำให้เมื่อ รอย อีแวนส์ได้มีโอกาสในการคุมทีม รูปแบบและระบการเล่น จึงค่อนข้างที่จะสวยงาม และ มีแบบแผนพอสมควร .. คำว่า " Red Machine " เริ่มกลับมาให้เห็นอีกครั้ง ซึ่งถึงแม้ระบบ ฟันเฟือง จะไม่ดีพอ อาจจะมีการขบกันบ้าง แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความสวยงาม .. แต่ด้วยยังมีปัจจัย อีกหลายๆอย่าง เช่นการซื้อตัวผู้เล่น การที่มีฝีมือแต่ยังไม่ถึงขั้นความสำเร็จ ทำให้ รอย อีแวนส์ คุมทีมลิเวอร์พูลได้ แค่ความสวยงาม แต่ประสิทธิภาพ ยังไม่ดีพอ ลิเวอร์พูลก็ยัง กระท่อน กระแท่น ไม่ค่อยได้ลุ้นแชมป์เท่าที่ควร .. ปล่อยให้ แมนยู ครองความสำเร็จไว้แต่เพียงผู้เดียว .. และ ก็มี อาร์เซน่อล มาขั้นกลางบ้างประปราย ... รอย อีแวนส์ ทำเกมรุกได้อย่างสวยงาม .. แต่ด้วยปัญหาในเกมรับ ที่มีจุดอ่อนอยู่มาก นักเตะที่เข้ามาเสริมทีม ก็ไม่ใช่นักเตะระดับท๊อป .. ลิเวอร์พูลในช่วงนั้น จึงค่อนข้างที่ จะ ล่องลอยอยู่ในอากาศ กองเชียร์ต่างที่จะ กระวนกระวาย เป็นทุกข์ร้อนใจ
รอย อีแวนส์
แกรม ซูเน็ต
เชราร์ อุลลิเยร์
จนในที่สุดแล้ว ลิเวอร์พูล จึงต้องตัดสินใจ ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ สโมสร ด้วยการดึงคนนอกสโมสร อย่าง เชราร์ อุลลิเยร์ เข้ามาคุมทีมแทน .. แต่เนื่องด้วย ในตอนแรก อาจจะกลัวกระแสการเปลี่ยนแปลงมาก ทางยอร์ดบริหาร จึงตัดสินใจให้ อีแวนส์และอุลลิเยร์คุมทีมร่วมกันก่อน สุดท้ายคุมทีมไปได้ไม่ถึง ครึ่งฤดูกาล .. ลิเวอร์พูล จึงตัดสินใจ ให้ อุลลิเยร์ คุมทีมเดี่ยวๆ คนเดียว ทำลาย ระบบบู๊ทรูม สต๊าฟฟลงอย่างเต็มตัว และ อุลลิเยร์ก็เป็น ผู้จัดการทีมของลิเวอร์พูลคนแรก ที่อยู่นอกเหนือ สหราชอาณาจักร .. ซึ่ง ก็มีทั้งเสียงค้านและเสียงสนับสนุน ไม่เชิงว่าสนับสนุน แต่ พวกเราต้องเข้าใจว่า ประเทศอังกฤษค่อนข้างเป็นประเทศที่ เซนต์ซิทีฟสูง หรือ อนุรักษ์นิยม หรือ จะเรียกว่า หัวโบราณสูงก็ได้ ... แต่การเปลี่ยนแปลง แน่นอนว่ากว่าจะให้คนยอมรับนั้น มันก็คงต้องใช้เวลา ซึ่ง เวลาก็สามารถทำให้ หลายๆคนยอมรับในตัว เชราร์ อุลลิเยร์ได้ .. การดึง อุลลิเยร์เข้าคุมทีม แน่นอนว่า ระบบ แท็คติค อะไรหลายๆอย่างการฝึกซ้อมต่างๆ มันจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เพราะ อุลลเยร์ ถึงแม้ ภาพที่อยู่ข้างหลัง ของเขาจะไม่ดีมากนัก เพราะไม่สามารถพาทีมชาติฝรั่งเศสไปเล่นในบอลโลกปี 94 ได้ ทำให้ แฟนบอลหลายๆคนยังคงจำติดตา และ ตามจองล้าง จองผลาญอุลลิเยร์มาตลอด แต่อีกด้านหนึ่งเขาก็เป็นอีกคนๆ หนึ่งที่ บุคคลสำคัญในยุโรปให้การยอมรับ เพราะถึอว่า อุลลิเยร์ นั้นก็ได้ขึ้นชื่อว่า เป็นคนที่พัฒนา วงกรฟุตบอล ยุโรปได้ดีคนหนึ่ง เคยเป็นถึง ประธานฝ่ายเทคนิคของประเทศฝรั่งเศส สร้างนักเตะดังๆไว้หลายคน .. อุลลิเยร์เข้ามาทำทีมลิเวอร์พูล ให้เป็น ลิเวอร์พูล ในสมัยใหม่ เล่นบอกกับพื้นมากขึ้น อีกทั้งยังเน้นที่ผลการแข่งขันมากขึ้นด้วย .. ในช่วงยุค ของ เชราร์ อุลลิเยร์นั้น รูปแบบ แท็คติค คงไม่สวยหรูเอาเสียเลย เล่นแบบ ไม่มีแนวทางที่ชัดเจนมากเท่าไหร่ .. ทำให้ บรรดา เดอะค๊อปหลายๆชีวิตต่างที่ไม่ชอบระบบการทำทีมของ อุลลิเยร์ แต่ถึงแม้ระบบการเล่น จะไม่สวยหรู .. แต่อุลลิเยร์ก็สามารถทำทีมลิเวอร์พูลให้ได้แชมป์ ต่างๆก็มีมาพอสมควร .. ระบบการเล่นที่ไม่สวยหรู แต่แรกมาด้วยความสำเร็จ ผมเชื่อว่า มันก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง การทำทีมฟุตบอล ไม่มีแน่นอนว่า การที่ทีมๆหนึ่งจะประสบความสำเร็จได้นั้นจะต้องเล่นแบบนี้ แบบนี้ จะกล่าวได้คือ ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ที่จะทำให้ทีมๆหนึ่งประสบความสำเร็จ ... ไม่ใช่ ฟิสิกซ์ หรือ คณิตศาสตร์ ที่มีสูตรที่ตายตัว .. แต่แน่นอนว่า การเล่นบอลที่สวยงาม นั้นโอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็มี .. แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ลิเวอร์พูล ยุคอุลลิเยร์มีดีที่เกมรับ และนั้น ก็คือจุดแข็ง ที่สำคัญที่ ทำให้ อุลลิเยร์ประสบความสำเร็จกับลิเวอร์พูล ในระดับหนึ่ง .. ซึ่งถึงแม้จะมีคนบอกว่า น่าเบื่อก็ตาม ... แต่ก็ต้องยอมรับว่า ความไม่คงเส้นคงวา ของทีมยุคอุลลิเยร์นั้นมีสูง ทำให้ ลิเวอร์พูลก็ไม่สามารถที่จะ คว้าถ้วยใบที่เดอะค๊อบ ถวิลหา มาตลอดได้นั้นคือ ถ้วย " พรีเมียร์ชิพ " และผมเชื่อว่า ถ้าอุลลิเยร์สามารถ ทำได้ คำว่าน่าเบื่ออาจจะไม่เกิดขึ้นก็เป็นได้ เพราะความสำเร็จบังตา ..
...... อุลลิเยร์ ให้ความรัก และ ทุ่มเทกับทีมอย่างมาก .. ซึ่งผลจากการทุ่มเท ทำให้เขาถึงกับต้อง เสียชีวิต ตายคาสนามกับลิเวอร์พูลมาแล้ว .. โดยระหว่างเกมในนัดที่ลิเวอร์พูลพบกับ ลีดส์ ยูไนเต็ดนั้น อุลลิเยร์ได้มีอาการหัวใจรั่ว ซึ่งต้องหามส่งเข้าโรงพยาบาล ในระหว่างเกมนั้น และต้องได้รับการผ่าตัดเสียด้วย ซึ่งทำให้เขาต้องพักรักษาตัว อยู่นานเป็นเดือนๆ และกลับมาคุมทีมได้อีกครั้ง ซี่งสิ่งนี้เอง ที่ทำให้เดอะค๊อปหลายๆคน ถึงกับ ชื่นชมในสปิริต ของ เชราร์ อุลลิเยร์อย่างมาก สามารถซื้อใจแฟนหงส์ได้เกือบทั้งมวล และ ยังมีคำพูดหนึ่งก่อนที่ ภายหลังที่อุลลิเยร์จาก ลิเวอร์พูลไป คือ .. " ถึงแม้ผมจะจากลิเวอร์พูลไป แต่หัวใจผมไม่เคยจากที่นี้ไปได้เลย " .. บทสรุปสุดท้ายของ เชราร์ อุลลิเยร์ ถึงแม้เป้าหมายสูงสุดของทีมลิเวอร์พูล คือ ถ้วย พรีเมียร์ชิพ ราฟจะไม่สามารถทำได้ ไม่สามารถนำถ้วยใบโตใบนี้มายังรั่วแอนฟิลด์ได้ แต่กับ ความสำเร็จที่เขาได้ทำมา ทั้ง แชมป์เอฟเอ คัพ , ยูฟ่า คัพ หรือ แม้กระทั่ง ลีกคัพ แชมป์ทั้งหมดต่างๆเหล่านี้ ก็สามารถทำให้กองเชียร์เดอะค๊อปได้พบกับความสุขเสมอมา .. และ เดอะ ค๊อปต่างก็สัญญาว่า เราจะไม่มีวันที่จะลืมเขา และจะสนับสนุนเป็นกำลังใจ ให้กับ อุลลิเยร์ต่อไป
ทีมฤดูกาล 2001-2002 กับทริปเปิ้ลแชมป์
รูปของอุลลิเยร์กับถ้วยยูฟ่าคัพ(ในปัจจุบัน ยูโรป้าลีค)
ก้าวสู่ยุคปฏิวัติ กับ แนวทางการทำทีมแบบ สเปน
.... ในฤดูกาล 2004 .. ลิเวอร์พูลเริ่มต้นการทำทีมโดย มีผู้จัดการทีมคนใหม่ เข้ามาสืบทอดแทน เชราร์ อุลลิเยร์ ซึ่ง นั้นก็คือ " ราฟาเอล เบนิเตช " อดีตผู้จัดการทีม บาเลนเซีย ซึ่งประวัติในการคุมทีมบาเลนเซียนั้น ถือว่าค่อนข้างดีมากทีเดียว สามารถทำทีมคว้าแชมป์ ลาลีก้า สเปน โดยมีแต้มเหนือยักษ์ใหญ่อย่าง รีล มาดริด และ บารเซโลน่าได้ .. โดยสามารถคว้าแชมป์ 2 ใน 3 ฤดูกาล ที่ เอล ราฟา คุมทีม .... และก็ยังสามารถ พาทีมบาเลนเซีย คว้าแชมป์ยูฟ่า คัพได้อีก .. จึงทำให้ประวัติของ กุนสือชาวสเปนคนนี้ค่อนข้าง ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว จาการที่ มาด้วยความไม่ธรรมดา มาด้วยความหวัง ของเดอะค๊อป มาด้วย ความสำเร็จที่พ่วงมาด้วย แน่นอนว่า บรรดา เดอะ ค๊อปทุกคนก็ต่าง วาดหวัง และวาดฝันว่า ราฟาเอล เบนิเตช จะสามารถพาทีมลิเวอร์พูล ก้าวขึ้นไปสู่ แชมป์ได้ .. ในเร็ววัน หรือในฤดูกาลแรกที่ เขาได้คุมทีม โดยการเริ่มต้นคุมทีม ลิเวอร์พูล ราฟามีงานใหญ่ที่จะต้อง สะสางและเคลียร์ก่อนที่ฤดูกาลใหม่จะเริ่มขึ้น นั้นก็คือ การซื้อขายผู้เล่น ออกจากทีมและเข้าสู่ทีม โดย การมาของราฟา ก็ทำได้การเจรจาข้อตกลง กับ " ไมเคิ่ล โอเว่น " ... ซึ่งการเจรจา ก็สรุปออกมาว่า โอเว่นจะย้ายออกไปยัง รีล มาดริด โดยค่าตัวอยู่ที่ประมาณ 8 ล้านปอนด์ และ ได้ตัว อันโตนิโอ นูนเยช เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการย้ายทีม .. และ ราฟากได้เริ่มจัดการ ปฏิวัติทีมโดย นำนักเตะจาก สเปนทั้งเชื้อสายสเปนล้วนๆ หรือไม่ก็เคยเล่นในสเปน ... ทั้ง ซาบี้ อลองโซ่ ... หลุยส์ การ์เซีย ... โฆเซมี่ .. จนทำให้นักวิจารณ์ต่างให้ฉายากันว่า " กระทิงแดง " ไปเลย ซะงั้น .. ซึ่ง ราฟาก็เริ่มทำทีมกันต่อเนื่อง ปรับทีมทั้งระบบและแท็คติค ซึ่งแตกต่างจากการทำทีมของ อุลลิเยร์ พอสมควร .. แต่ผลงานในช่วงแรกๆ ก็ยังออกมาได้ไม่ดี ผลงานยังไม่คงเส้นคงวา ยังมีข้อผิดพลาดในหลายๆอย่าง รวมทั้ง นักเตะที่ ราฟา ดึงเข้ามาก็ยังไม่สามารถทำผลงานได้อย่างที่คาดหวังเอาไว้ .. แต่แล้ว ความสำเร็จที่ดูเหมือนจะเป็นรูปธรรมมากขึ้นก็อยู่ที่ผลงาน การเล่นในบอล " ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก " ส่วนผลงานในการเล่น ใน พรีเมียร์ชิพนั้น ยังคงผีเข้าผีออก เด๋วดีเด๋วร้าย เอาใจไม่ถูกเลยจริงๆ .. แต่ถือว่ายังโชคดี ที่ ผลงานใน UCL ราฟา กลับทำผลงานได้ดี ชามัด .. .. จนทำให้ ผ่านรอบแล้ว รอบเล่า ถึงแม้ในรอบแรก รอบแบ่งกลุ่มเกือบที่จะตกรอบไปแล้วก็ตาม .. ถ้าไม่ได้ลูกยิง ไดรฟ์ชู๊ต ของ สตีวี่ จี สตีเฟ่น เจอร์ราดน์ .. จากนั้น ลิเวอร์พูลก็สามารถผ่านเข้าไปชิง แล้วก็คว้าแชมป์มาครองได้อย่างเหนือความคาดหมาย ... จนทำให้ ในฤดูกาลนั้น ลิเวอร์พูลที่ไม่ได้ลุ้นใน พรีเมียร์ชิพ ผลงานล้มเหลวอย่างมาก แต่ยังดีที่ได้ แชมป์ UCL มานอนปลอบใจเล่นๆ ..
...... ในฤดูกาลที่ 2 .. ราฟาก็ขยับซื้อขายผู้เล่นอีก และก็เริ่มเดินหน้าปรับปรุงทีมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถึงแม้ ราฟา จะไม่มีเงินถุง เงินถังในการซื้อตัวผู้เล่น แต่ราฟาก็พยายามอย่างถึงที่สุดที่ จะดึงผู้เล่นที่ดีที่สุดเข้าสู่ทีม .. หลายคนบอกว่า ทำไมไม่ซื้อ คนโน่น คนนี้ ซึ่งคนที่เขาพูดถึงกันราคาไม่ต่ำกว่า 20 ล้านปอนด์ ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าให้ซื้อจริงๆ ราฟา อาจจะซื้อได้ แต่อาจะซื้อได้เพียงแค่คนเดียว .. หรือ อย่างน้อยสัก 2 คน ...ซึ่งก็อาจจะไม่ได้เป็นผลดีต่อลิเวอร์พูลมากนัก เพราะ ลิเวอร์พูลไม่ได้มีเงินถุงเงินถังเท่าที่ควร ... ผลงานหลังจากที่ ราฟา ได้เข้ามาปฏิวัติทีม ข้อดีก็คือ ทีมเวิคร์ที่ดูดีกว่า ในยุคของ เชราร์ อุลลิเยร์ รูปแบบ หรือ แบบแผนการเล่นค่อนข้างชัดเจนกว่า และ มีแนวทางการทำทีมที่ชัดเจนกว่า .. ซึ่งคงต้องรอดูกันต่อไปว่า ในช่วงระยะเวลาที่เหลืออีกเพียงไม่กี่ฤดูกาล ของราฟา ราฟาจะสามารถพาทีม ไปถึงแชมป์ที่วางไว้สูงสุดได้หรือไม่ คือ แชมป์ พรีเมียร์ชิพ .. คงต้องติดตามดูกัน
........ เข้าสู่ยุคการเปลี่ยนแปลงประธานสโมสร .. ในช่วงต้นปี 2007 ลิเวอร์พูล มีข่าวคราวของการเปลี่ยนแปลง ตัวเจ้าของสโมสร .. ซึ่งถือเป็นข่าวที่มีความยิ่งใหญ่เอามากๆ เพราะเป็นทื่ทราบกันดีว่า " เดวิด มัวร์ " ได้เข้ามาเป็นประธานสโมสร ของลิเวอร์พูลอย่างยาวนานเกือบ 20 ปี ( 1991 - 2007 ) ซึ่งเข้ามารับตำแหน่งแทน Sir John Moores ซึ่งเป็นลุงของเขา .. และที่สำคัญ การเปลี่ยแปลง ประธานสโมสรในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ว่าเป็นการ โอนถ่ายให้กับ ทายาท ตะกูลของ มัวร์ หรือ โอนถ่ายขายให้กับ ผู้ถือหุ้นในอันดับ ที่ 2 หรือ 3 .. แต่นี้คือการเปลี่ยน แปลงไปให้กับ มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน คือ จอร์จ ยิลเลตส์ และ ทอม ฮิคส์ ซึ่งในช่วงนั้น กระแสต่อต้านก็พอมีบ้าง แต่เนื่องจาก เดอะค๊อป ส่วนมากรู้ถึงปัญหาที่ มันกำลังเกิดกับลิเวอร์พูล ซึ่งหนึ่งนั้นที่ทำให้ลิเวอร์พูล ยังไม่สามารถบรรลุไปถึงฝั่งฝันได้ ในช่วงระยะ เวลาเกือบ 20 ปีมานั้นคือ ปัจจัยทางด้านการเงิน .. ซึ่งแน่นอนว่า การเปลี่ยนแปลงในครั้งนั้น หลายคนมั่นหมายว่า ลิเวอร์พูล น่าจะมีเงินและกำลังทุนเข้ามาเสริมทีม และ สามารถทำให้ทีมสามารถกลับมามีลุ้นแชมป์ได้และสุดท้ายต้องก้าวไปถึงแชมป์ .. และ อีกหนึ่งในเป้าหมายของ ลิเวอร์พูล คือ สนามแห่งใหม่ที่มีความจุมากกว่าเดิมเกือบ 1 เท่าตัว .. ซึ่งทั้งหมดนี้ เงิน คือปัจจัยที่สำคัญ ซึ่งต้องยอมรับว่า เดวิด มัวร์ ประธานสโมสร คนเดิม ไม่สามารถมีได้มากมายถึงขั้นนั้น ทำให้จำต้องมีการเปลี่ยนแปลง และ ดูเหมือนว่า ทุกอย่างน่าจะก้าวไปได้สวย โครงการ " นิวแอนฟิลด์ " ถุกนำขึ้นมาเพื่อที่จะดำเนิการต่อ และ ได้เริ่มเดินเครื่องกันไปบ้างแล้ว .. อีกทั้งการนำนักเตะเข้ามาเริ่มมี สีสรร และ เป็นที่พอใจของเดอะค๊อปมากมาย ทั้ง มาสเคราโน่ รวมทั้ง เฟร์นันโด ตอเรส .. แต่ความหวังที่ลิเวอร์พูล จะสามารถเดินให้ไปถึงจุดๆนั้น ก็ยังไม่สามารถทำได้ให้เห็นอย่างเด่นชัดเท่าไหร่ .. ในฤดูกาล 2007 - 08 .. เพราะในช่วงเวลานั้นก็ยังตามหลังจ่าฝูงอยู่ถึงหลายคะแนนในช่วงปีใหม่ และถึงกับมีข่าวหนาหูว่า ราฟา จะโดนตะเพิดไล่ออกจากทีม ในช่วงปิดซีซั่น .. ซึ่งยิ่งมีมูลเข้าไปใหญ่เมื่อ ทอม ฮิคส์ ได้ออกมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า เข้าได้ทำการทาบทามติดต่อ เจอร์เก้น คลิ้นส์มันส์ ไว้แล้ว เพื่อว่า ราฟาจะถอดใจออกจากลิเวอร์พูลไปคุม มาดริด ซึ่งจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ของ ทอม ฮิคก์ทำให้กระแสต่อต้าน แชร์แมน ชาว อเมริกันมีอย่างต่อเนื่อง โดยถูกทั้ง นักเตะภายในทีม และ อดีตตำนานหงส์ หลายคนออกมาสับจนเปี่อย .. และทำให้ถึงกับมีข่าวว่า อาจจะขายหุ้นต่อให้กับ ทาง DIC ซึ่งทาง DIC ซึ่งมีแผนที่จะฮุบหงส์มานานแล้ว และ กระแสข่าวก็ดังมาอย่างรุนแรงมากเลยทีเดียว .. ซึ่งคงต่อรอติดตามกันต่อไป
ราฟากับกัปตันเจอร์ราดกับถ้วย UCL 2005 ค่ำคืนมหัศจรรย์ที่อิสตันบลู
ชุดทีมฤดูกาล 2005
ในฤดูกาล 2009-10 ลิเวอร์พูลจบที่อันดับที่ 7 ในพรีเมียร์ลีก ซึ่งทำให้ไม่ได้ไปแข่งขันในรายการ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ทำให้ ราฟาเอล เบนิเตซ ต้องลาออกจากตำแหน่งด้วยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายและแทนที่โดย รอย ฮอดจ์สัน อดีตผู้จัดการทีม สโมสรฟูแลมในช่วงเริ่มต้นฤดูกาล 2010–11 สโมสรลิเวอร์พูลนั้นเสี่ยงต่อการล้มละลาย เนื่องจากแบกรับหนี้สินเป็นจำนวนมากจากการทำงานของ จอร์จ ยิลเลตต์ และ ทอม ฮิกส์ ทำให้ต้องขายสโมสร ต่อมา จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี เจ้าของทีม บอสตัน เรด ซ็อกซ์และนิว อิงแลนด์ สปอร์ตส์ เวนเจอร์ส ได้ซื้อสโมสรลิเวอร์พูล เมื่อตุลาคม 2010 ผลการแข่งขันที่ย่ำแย่ในช่วงต้นฤดูกาล ทำให้ฮอดจ์สันลาออกจากตำแหน่ง
รูปของปู่รอย
ชุดฤดูกาล 2010-2011
โดยมี เคนนี ดัลกลิช กลับมาคุมทีมอีกครั้ง โดยในฤดูกาล 2011-12 สามารถคว้าแชมป์ในรายการ คาร์ลิงคัพ ได้สำเร็จเป็นสมัยที่แปดจากการยิงจุดโทษตัดสินชนะ คาร์ดิฟฟ์ซีตี ผลประตูรวม 3-2 ในฤดูกาล 2011-12 ลิเวอร์พูลจบที่อันดับที่ 8 ซึ่งเป็นการจบอันดับที่แย่ที่สุดในรอบ 18 ปี ทางสโมสรก็ได้ปลดดัลกลิชออกจากตำแหน่ง
รูปของคิง เคนนี่ กับ คาร่า และถ้วยคาร์ลิงคัพ
ตำนานบทใหม่ ชายผู้สวมวิญญาณ ของ บิล แชงค์ลีย์ "เบรนดัน ร็อดเจอส์"
เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ทางสโมสรได้ประกาศแต่งตั้ง เบรนดัน ร็อดเจอส์ อดีตผู้จัดการทีมสวอนซีซิตี เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่
ในฤดูกาล 2013-14 ลิเวอร์พูลมีโอกาสสูงที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยในช่วงท้ายฤดูกาลสามารถทำสถิติชนะรวดติดต่อกันมากถึง 11 นัด และลุยส์ ซัวเรซ กองหน้าของทีมก็เป็นผู้เล่นที่ยิงประตูได้สูงสุงของลีก ทำให้เป็นทีมมีคะแนนเป็นอันดับหนึ่งของตารางคะแนน แต่ทว่าในช่วงสองสัปดาห์สุดท้ายก่อนสิ้นสุดฤดูกาล ลิเวอร์พูลไปแพ้ต่อ เชลซี และเสมอต่อ คริสตัลพาเลซ ทำให้แมนเชสเตอร์ซิตี ซึ่งเป็นทีมที่มีคะแนนเป็นอันดับสอง แต่แข่งน้อยกว่าหนึ่งนัด สามารถแซงหน้าและได้แชมป์ไปในที่สุด ด้วยคะแนน 86 คะแนน ขณะที่ลิเวอร์พูลทำได้ 84 คะแนน จบฤดูกาลลงด้วยอันดับที่สอง
ชุดฤดูกาลที่ผ่านมา 2013-2014 ครับ
แถมอีกนิด ฤดูกาลหน้าอาจจะเป็นรึไม่เป็นฤดูกาลสุดท้ายของเจิด ขอให้เจิด ได้ถ้วยสมใจด้วยเถิดดดด
เครดิต
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=240902
www.liverpoolfc.tv , www.lfchistory.net , www.liverweb.org.uk , www.hongmarnz.com , www.liverpoolthailand.com ,
http://en.wikipedia.org/wiki/Liverpool_F.C.
และ GOOGLE