[รีวิว] Rush - อัดเต็มสปีด (2013)
ผมเชื่อว่าหลายๆท่านอาจจะมองข้ามหนังเรื่องนี้ไป หวังว่าพออ่านรีวิวของผมแล้ว
จะทำให้ท่านหันกลับมามองหนังเรื่องนี้ เหมือนกับผมนะครับ
Rush อัดเต็มสปีด (2013)
Chris Hemsworth , Daniel Brühl
Score : A+
พูดถึงหนังแข่งรถ หลาย ๆ คนอาจจะนึกถึงหนังตระกูล Fast & Furious หรือ Need For Speed แต่สำหรับผมแล้วมีอยู่เรื่องนึงที่ทำให้ตัวผมนึกขึ้นมาได้ มันเป็นหนังแข่งรถที่ทำจากชีวะประวัติของนักแข่งที่ยิ่งใหญ่คนนึงใน F1 อย่าง“Rush อัดเต็มสปีด” แน่นอนครับ Rush ไม่เชิงว่าเป็นหนังแข่งรถเต็มตัวครับ เพราะจะเอาจริงๆหนังเน้นไปที่ความดราม่าในชีวิตของสองนักขับ รวมถึงการห้ำหั่นกันทั้งในและนอกสนามมากกว่า แต่มันถูกสะท้อนออกมาจากหลังพวงมาลัย ซึ่งคุณจะโดนแรงดึงดูดมหาศาลจากหนังเรื่องนี้แน่นอน เพราะมันไม่ใช่หนังน่าเบื่ออย่างที่ใครหลายคนคิด ยอมรับเลยตอนแรก ไม่คิดจะดูเพราะคิดว่ามันคงเป็นหนังแข่งรถธรรมดามากกว่า แต่ผมก็ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ หลังจากได้ดู “Rush” ทันที
โดยเนื้อเรื่องนั้นเล่าถึงเหตุการณ์ในช่วงทศวรรษที่ 70 สองนักขับชื่อดังนามเจมส์ ฮันท์(Hemsworth) และ นิกิ เลาด้า (Brühl) สองตำนานที่ต่างช่วงชิงความเป็นหนึ่งในสนาม โดยที่ไม่มีใครยอมใครแม้แต่นิดเดียว เรียกได้ว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้คนกล่าวว่า นั่นคือยุคทองของวงการฟอร์มูล่าวันเลยก็ว่าได้ และแน่นอนครับ หนังเรื่องนี้ทำให้เราเห็นในอีกแง่มุมของนักขับ มันไม่ใช่แค่การการแข่งขันในสนาม แต่มันมีทั้งเรื่องชีวิตนอกสนาม ชีวิตครอบครัว รวมถึงการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมันถูกถ่ายทอดออกมาผ่านตัวละครหลักๆ 2 ตัว ก็คือเจมส์ ฮันท์ และ นิกิ เลาด้า ชีวิตที่เดินคนละเส้นทาง แต่ต้องมาบรรจบกันในสนามแข่งมันจะเป็นอย่างไร?
เจมส์คือนักแข่งหนุ่มหล่อ ผู้ที่กระหายในชัยชนะมากกว่าอะไร มีความมั่นใจในตัวเองสูงมากถึงมากที่สุด และเค้านั้นไม่กลัวความตายแม้แต่นิด การซิ่งรถเฉียดตายนั่นคือความสุขของเค้า ถ้าจะจำกัดความง่ายๆให้กับเจมส์นั้น เค้าคือเพลย์บอยหนุ่มที่ชื่นชอบการท้าทายมฤตยู ใช้ชีวิตอย่างกับวันนี้คือวันสุดท้าย ซึ่งมันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับนิกิครับ นิกิเป็นชายหนุ่มธรรมดาๆใช้ชีวิตกับครอบครัวของเค้ากับภรรยา แต่นิกิเป็นคนฉลาด ทั้งในด้านการออกแบบ การวางแผน และฝีมือในการขับรถนั้นก็ไม่เป็นรองเจมส์เลย เผลอๆอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ ซึ่งเปรียบเทียบง่ายๆครับ ถ้าเจมส์คือไฟ นิกิก็คือน้ำแข็ง ถ้าขาดสิ่งใดไปสิ่งหนึ่ง มันจะไม่สมดุลเลย ผมกล้าพูดจริงๆ
Rush นั้น ผมกล้าพูดได้ว่าเป็นหนังที่ทำให้แฟนๆ ลุ้นมากเลยทีเดียวครับ ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นแฟน F1 เลย เพราะเอาจริงๆตัวผมนั้นก็ไม่ค่อยได้ติดตามวงการนี้ซักเท่าไหร่ แต่ทำไมผมถึงรู้สึกอิมตาม จนเหมือนกับหลุดเข้าไปในโลกนั้นเลยหละ? 555 ต้องชื่นชมในทุกๆด้านจริงๆครับสำหรับหนังเรื่องนี้ ซาวด์เอฟเฟค ที่สมจริงและชัดเจนมาก มุมกล้องที่ทำให้คนดูรู้สึกลุ้นระทึก และ รู้สึกอึดอัดตาม ราวกับว่านั่งอยู่ในตัวรถเอง อย่างกับเรากลายเป็นคนขับแทนนักขับไปแล้วด้วยซ้ำ นอกจากมันทำให้เราตื่นเต้น หวาดเสียว และมันยังทำให้เรารู้สึกได้ และสัมผัสไดถึงความอันตรายในกีฬาชนิดนี้ มันสุดยอดจริงๆครับ
และที่ผมชื่นชมอีกอย่างคือตัวนักแสดงครับ ผมขอพูดถึงตัวหลักๆทั้งสองคนนะครับ ตัวเจมส์นั้น ต้องชมว่าเฮมเวิร์ธไอ้หนุ่มผมยาว นั้นแสดงตัวตนความเป็นเจมส์ออกมาได้ดีมาก แม้แต่ฉากดราม่าตกต่ำของตัวเจมส์นั้น เค้าก็ยังแสดงออกมาได้ดี บางทีมันก็ทำให้ผมคิดจริงๆครับ ว่าการที่เราพยายามมาตลอดชีวิตนั้น เราทำมันไปเพราะอะไร? เพราะว่าเราอยากจะเหนือกว่าคนอื่น หรือเพราะว่าเราอยากจะเหนือกว่าตัวเอง? ในช่วงเวลาที่ตกต่ำ การเค้นบทบาทของเฮมเวิร์ธนั้นทำออกมาได้ดีมากจริงๆครับ มาที่นิกิกันบ้าง ผมขอคารวะจริงๆครับ ครั้งที่ผมได้ดูครั้งแรกนั้น ผมรีบกลับไปนั่งหาประวัติของทั้งสองอ่าน แล้วที่น่าตกใจคือ บรูวในหนัง กับนิกิตัวจริงนั้น เหมือนกันมากๆครับ แล้วการแสดงนั้นไม่มีที่ติครับ บรูวทำออกมาได้ดีไม่แพ้เฮมเวิร์ธเลยครับ ด้วยคาแรกเตอร์ที่ดูหยิ่งๆ ยโสหน่อยๆนั้น บางทำมันทำให้ผมรู้สึกหมันไส้ แล้วอยากให้เจมส์ ตะบันหน้าซักครั้งจริงๆ กลับกันเมื่อถึงฉากที่เลาด้าย่ำแย่ที่สุดในชีวิต ผมยังรู้สึกเวถนาอินตามไปกับหนังเลยจริงๆ
จุดที่สำคัญที่สุดของ เอาตรงๆ ผมไม่คิดว่ามันจะตัดสินใจยากขนาดนี้ เพราะหนังเรื่องนี้จุดพีค จุดสำคัญ มันอยู่แทบทั้งเรื่อง!! แต่ถ้าจะให้พูดถึงจุดสำคัญคงไม่พ้น อุบัติเหตุในสนามที่เนิร์นแบรก ที่ตัวนิกินั้นค้านก่อนแข่งหลังชนฝา ว่ามันอันตรายเกินไป กับสภาพอากาศที่ย่ำแย่ แต่เค้าก็ไม่สามารถหยุดการแข่งขันครั้งนี้ได้ ซึ่งมันเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตัวเรื่องเลย เปลี่ยนทิศทางของตัวละครไปเลยก็ว่าได้ แต่หนังยังไม่จบแค่นั้นครับ หนังไม่ได้เทความพีคไปให้แค่จุดใดจุดหนึ่ง แต่เค้ากระจายมันตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง มันทำให้เราลุ้นว่า เฮ้ย? เจมส์จะกลายเป็นแชมป์โลกในปีนั้นได้ไหม??? หรือจะเป็นนิกิ ที่ทำดีเอาไว้ซะเหลือเกินกันแน่?!! มันสอนให้ผมได้เข้าใจจริงๆครับว่า ตราบใดที่เรายังมองไม่เห็นเส้นชัย เราจะไม่สามารถคาดเดาอะไรได้เลยว่ามันจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่? การขับเคี่ยวที่ไร้ซึ่งมือที่สามนั้น ใครจะเป็นฝ่ายที่คว้าชัยไปได้ในตอนท้ายของเรื่อง?? เรียกได้ว่าท้ายเรื่องผมให้ใจทั้งสองคนไปเลยครับในตอนท้ายเรื่อง
ผมไม่มีวันลืมหนังเรื่องนี้จริงๆครับ องค์ประกอบทุกอย่างมันเพอร์เฟค การเล่าเรื่องผ่านทั้งสองตัวละครนั้น ทำให้เราได้เห็นทุกความสามารถ ความยิ่งใหญ่ ความตกต่ำ ความถดถอย รวมถึงการให้อภัยกันและกัน และที่สำคัญมันทำให้ผมเห็นคำว่า “มิตรภาพ” ชีวิตของคนสองคนที่เดินสวนทางกันบนโลกแห่งความจริง แต่ร่วมทางกันในสนาม แม้นิกิจะเคยพูดเอาไว้ว่า “ในการแข่งขันไม่เคยมีคำว่ามิตรภาพ” แต่ท้ายที่สุด เหตุการณ์ที่เนิร์นแบร์ก มันก็เปลี่ยนความคิดของชายทั้งสองคน ซึ่งมันทำให้มิตรภาพในสนามเกิดขึ้นอย่างมากมายครับ
ใครที่ยังไม่ได้ชม ขอให้ไปหามานั่งเสพที่บ้านจริงๆครับ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมคงตัดสินใจไม่ยาก ในการยอมเสียงตังร้อยกว่าบาท เพื่อไปดูหนังเรื่องนี้ที่โรงเองกับมือเลย ฝากไว้ครับ ชีวิตนี้มันไม่มีอะไรแน่นอนครับ เราจะตายวันตายพรุ่ง เราไม่รู้หรอกครับ การทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ทำในสิ่งที่ตัวเองตั้งหวังไว้ แล้วอัดมันให้เต็มสปีด นั่นคือเรื่องที่ดีที่สุดครับ แต่จงจำไว้เสมอครับ คุณไม่มีวันเอาชนะใครได้ ถ้าคุณยังไม่สามารถเอาชนะหัวใจของ “ตัวเอง” เหมือนกับเจมส์ ฮันท์ และ นิกิ เลาด้า...
“เค้าคือหนึ่งในไม่กี่คนที่ผมชอบ แต่หนึ่งในน้อยคนที่ผมนับถือ เค้ายังคงเป็นหนึ่งเดียวที่ผมอิจฉา” นิกิ เลาด้ากล่าวถึงเจมส์ ฮันท์
จบกันไปแล้วครับสำหรับการรีวิว คอมเมนท์ถึงหนัง ติชมกันได้ตามสบายครับ ใครที่เคยดูหนังเรื่องนี้ก็มาแชร์ความรู้สึกกันได้ครับ
ฝากเพจหน่อยนะครับ สำหรับคอหนัง เพจของผมกะพี่ชาย รีวิวแนะนำหนังกัน เต็มที่ครับ
●######ไอ้อ้วนชวนดูหนัง######●