ไขปริศนา...บทสุดท้าย MH370
ในที่สุดก็เป็นไปตามที่คาดคำนวณจุดสูญหายไปของเที่ยวบิน MH370 พร้อมลูกเรือและผู้โดยสารอีก 239 คน ตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค.ที่ผ่านมา เมื่อมี 3 ประเทศเริ่มออกมายืนยันจุดเครื่องจมลงไปใต้ทะเล คือ อินเดีย จีน และมาเลย์ ว่าเครื่องบินน่าจะตกในทะเล เพราะดาวเทียม บ. Inmarsat ของอังกฤษ มีการค้นพบชิ้นส่วนต้องสงสัยขนาดใหญ่ อยู่บริเวณทิศใต้ ของมหาสมุทรอินเดีย อยู่ทางฝั่งตะวันตก ของเมืองเพิร์ธ ออสเตรเลีย ห่างไปราว 2,400 กิโลเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่ห่างไกลมาก และมหาสมุทรก็ลึกเกินจินตนาการ มีสภาพคลื่นลมแรง และอากาศหนาวเย็น
สอดคล้องกับที่ เสธ เคยวิเคราะห์ไว้ก่อนหน้านี้ ว่าการสูญหายของเครื่องบินนี้ ต้องถูกทำให้จมลงจุดบริเวณนี้เพื่ออำพราง ส่วนคนอื่นจะมีสมมุติฐานอย่างไร ก็แล้วแต่ความเชื่อ แต่การข่าวเชิงลึกระหว่างประเทศที่ได้รับมา ประมวลสรุปโดยย่อๆ คือ
เริ่มต้นจากลุงแซม ขนวัตถุนิวเคลียร์และอาวุธชีวภาพใส่คอนเทนเนอร์ ด้วยเรือที่ติดธงสัญชาติตัวเอง มาที่เกาะเล็กๆ ชื่อสาธารณรัฐเชสเซลเลส ที่อยู่ทางตะวันตกของมหาสมุทรอินเดีย จากนั้นขนต่อมาที่มาเลย์ และใส่ตู้คอนเทนเนอร์ขึ้นเครื่องบินลำนี้ จะนำไปลงที่ปักกิ่ง ของจีน
(ไม่แน่ชัดว่าองค์กรใดสั่งของนี้) และประจวบกับมีการขนชิพคอมพิวเตอร์วงจรไฮเทค โดยผู้โดยสารไต้หวันกลุ่มหนึ่ง ไปลงเครื่องที่ปักกิ่ง ของจีน เช่นกัน ซึ่งชิพนี่สามารถทำให้ขีปนาวุธตรวจไม่พบด้วยเรด้าห์ เพื่อไปขายและถ่ายทอดเทคโนโลยีให้จีน
เมื่อจีนและรัสเซียรู้ระแคะระคาย จึงวางแผนจะบังคับเครื่องบินเที่ยวนี้ ไปลงที่สนามบินไหหลำ ของจีน เพื่อตรวจดูว่ามันคือสินค้าอะไรกันแน่ที่ในตู้คอนเทนเนอร์ แต่ก่อนเครื่องบินจะขึ้นมีความผิดปกติคือไม่รู้หน่วยใด มีการสังหารหน่วยซีลลุงแซมนอกราชการ ที่มีความเชี่ยวชาญการรบสูง และออกมาทำงานลับ จำนวน 2 คน ที่มาเลย์ เพื่อคุ้มครองสินค้ามีมูลค่าสูง ให้กับบริษัทลุงแซม ลักษณะคล้ายๆ ฆ่าตัดตอน หรือฆ่าปิดปาก
เมื่อเครื่องบินเทคออฟขึ้นจากมาเลย์ช่วงเที่ยงคืนกว่า มุ่งหน้าทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตรงไปทางทะเลจีนไต้ ราว 1.30 ชม. จากจุดเริ่มต้นบิน เข้าใกล้เรดาห์พาณิชย์ของเวียดนาม ได้มีเครื่องบินชนิดรบกวนสัญญาณ Primary เรด้าห์ (ชนิดที่เห็นทั่วไปที่สนามบินใช้) เช่น AWAC บินจากจุดระยะทำการที่ใดสักแห่ง ประกบเครื่องบินนี้ทำให้สัญญาณ Primary เรด้าห์ตรวจไม่พบ แล้วก็มีเครื่องบินล่องหนจากเรดาห์ได้ เสตลล์ รูปร่างคล้ายจานบินสีดำ บินประกบอีก 1-2 ลำ เพื่อควบคุมทิศทางเครื่องบินตามต้องการ
ส่วนภายในเครื่องบิน ทีมหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่แฝงตัวมา อาจร่วมกับลูกเรือ หรือนักบิน ทำการเข้าไปในห้องนักบิน ทำการปิดระบบ Secondary เรด้าห์ (คล้ายระบบ SMS) ที่ใช้เป็นสากล สำหรับส่งตำแหน่งเครื่องบินพาณิชย์ ให้หอควบคุมการบินทราบตำแหน่งละติจูด และลองติจูด โดยมีการปิดระบบนี้ระยะห่างเวลา 10-14 นาที ทำให้สัญญาณตำแหน่งเครื่องบินหายวับไปจากจอ Secondary เรด้าห์ภาคพื้นดินทันที ก่อความโกลาหลขึ้นในเวลาต่อมา
จากนั้นผู้จี้ควบคุมเครื่องบิน ก็หันทิศทางเครื่องบินกลับด้าน ย้อนมาทางเดิมมุ่งหน้าทิศตะวันตกเฉียงไต้ เพื่อไม่ให้ผ่านประเทศไทย เพราะอาจจะโดนโจมตีด้วยเครื่องบินขับไล่ได้ แล้วเตรียมพร้อมสำหรับทีมตัวเอง โดยใส่อุปกรณ์หน้ากากอ๊อกซีเจนรับการเปลี่ยนแปลงความดันเฉียบพลัน (อุปกรณ์ป้องกันเหมือนนักบินเจ๊ตขับไล่เหนือเสียง) และคนพวกนี้ต้องมีประสบการณ์ และถูกฝึกมาให้ทนต่อแรงกด และ G (แรงโน้มถ่วง) มหาศาล ทำการปรับเพดานบินจาก 25,000 ฟุต พุ่งโด่งขึ้นสูงลิ่วเกินกำหนดไปที่ 45,000 ฟุต
และทิ้งตัวลดเพดานบินลงต่ำอย่างรวดเร็ว ช่วงนี้หน้ากากอ๊อกซิเจนจะตกลงมาอัตโนมัติ ผู้โดยสารจะรีบคว้ามาครอบปากและจมูก แต่เขาก็ตัดอ๊อกซิเจนในห้องผู้โดยสารทั้งหมดอีก เหลือไว้เฉพาะพวกบังคับเครื่องบิน จนเพดานบินลดต่ำเหลือ 5,000 ฟุต ส่งผลให้ผู้โดยสาร และลูกเรืออื่นน๊อคสลบไปทันที (เด็ก 2 คนอาจตายทันทีช่วงนี้) จากการเปลี่ยนแปลงความดัน โดยไม่มีใครสามารถต่อต้านการบังคับใดๆ ได้เลย เป็นเวลานานหลายชั่วโมง
ส่วนเครื่องบิน เสตลล์ และ AWAC ก็ทำหน้าที่นำทางเครื่องลำนี้ที่ตกอยู่ในสภาพเหมือนคนตาบอด เครื่องบินทั้ง 3 ชนิด ได้บินผ่านมาทางใกล้ชายแดนทางตอนไต้ของไทย ผ่านน่านฟ้ามาเลย์ จุดนี้เรดาห์ชนิด Primary เรด้าห์ของชายชุดฟ้าของไทย และของทหารมาเลย์ จับสัญญาณเครื่องบินพาณิชย์นี้ได้ แต่จับตำแหน่งเสตลล์ และ AWAC ล่องหนเรดาห์ไม่ได้ ในตำแหน่งใกล้เคียง และเวลาใกล้เคียงกัน อีกทั้งมีชาวบ้าน ชาวประมงทั้งไทย และมาเลย์ จำนวนมากจากหลายจุด ได้ยินเสียงบูมกระแทกอากาศดังสนั่น พร้อมเห็นเครื่องบินพาณิชย์ขนาดใหญ่ และเสตลล์สีดำ ด้วยตาเปล่า บินประกบเครื่องบินลำนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว
แต่มาเลย์ไม่ยอมแถลงทันที เพราะว่าอับอายที่ต้องเปิดเผยว่า ประเทศตนเองมีช่องว่างในระบบการป้องกันภัยความมั่นคงทางอากาศ เมื่อเครื่องบินๆ ต่ำผ่านช่องแคบมะละกาไปได้ เครื่องบินทั้ง 3 ชนิด ก็ปรับเส้นทางใหม่อีกครั้ง โดยเชิดหัวขึ้นความสูงปกติ มุ่งหน้าขึ้นไปทางตะวันตกเฉียงเหนือสู่ตอนเหนือของมหาสมุทรอินเดีย ตามเส้นทางการบินพาณิชย์ปกติ คาดเดาว่าเพื่ออำพรางเครื่องบินให้แฝงตัว เข้าไปในหมู่เครื่องบินพาณิชย์จำนวนมาก ที่กำลังบินไปเส้นทางเดียวกัน เพื่อไม่ให้ผิดสังเกต และยังเกี่ยวเนื่องกับสนามแม่เหล็กโลกด้วย เพราะโลกมีการหมุนรอบตัวเอง
แล้วก็บินคงระยะห่างจากฝั่งสม่ำเสมอ เพื่อให้พ้นรัศมี Primary เรด้าห์ ของประเทศอินเดีย และศรีลังกา โดยมีเครื่องบิน 2 ชนิดบินประกบอารักขาและนำทางตลอดเวลา ต่อมาเครื่องบินปรับทิศทางลดต่ำเฉียงลงไปทางไต้อีกครั้งตรงเรื่อยๆ แต่ก่อนเข้าถึงหมู่เกาะมัลดีพ ได้ปรับเพดานบินลงต่ำลงมากอีกครั้ง เพื่อหลบ Primary เรด้าห์ ผ่านไปที่เกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งทางตอนไต้ของหมู่เกาะมัลดีพ จนชาวบ้านจำนวนมากเห็นตัวเครื่องบินในระยะต่ำมาก ขนาดเห็นประตูเครื่องบินชัดเจน และมองแถบสีของเครื่องบินชัดเจนทีเดียว เมื่อผ่านมัลดีพแล้วก็ตรงลงไต้ไปอีก โดยมีเรือพิฆาตของลุงแซมอารักขา บินต่ออีกสักพักก็ถึงเกาะดิเอโก้ กราเซีย ฐานทัพลับในมหาสมุทรอินเดียของลุงแซม ในเช้าวันที่ 9 มี.ค.57
เครื่องบินลำนี้ลงจอดที่สนามบินของกองทัพลุงแซม ที่มีรันเวย์ขนาดรองรับได้อย่างสบาย เมื่อเครื่องบินจอดสนิท กระบวนการขนถ่ายคอนเทนเนอร์ลงจากเครื่องบิน และค้นเอาชิพวงจรไฮเทคจากตัวผู้โดยสารไต้หวัน ก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วตามแผนที่วางไว้ แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งที่บริษัทผลิตเครื่องยนต์ของเครื่องบิน ที่เขาต้องติดอุปกรณ์ติดตามเครื่องยนต์เขาทุกเครื่อง จับสัญญาณได้ว่าเครื่องยนต์เขายังทำงานอยู่ด้วยระยะเวลา 6-7 ชั่วโมงจากจุดสูญหายครั้งแรก
และเพื่อทำลายหลักฐานทั้งหมด การข่าวว่ามีการถอดกล่องดำบันทึกการบิน 3 จุดในเครื่อง ออก เพื่อไม่ให้ค้นพบไขความจริงได้ในอนาคต จากนั้นให้นักบินลุงแซมใส่ชุดประดาน้ำ ขับเครื่องบินโดยสารดังกล่าวเทคออฟขึ้นจากฐานทัพนั้นอีกครั้ง พร้อมเครื่องบินอีกลำหนึ่งพร้อมหน่วยช่วยเหลือ โดยบินมุ่งหน้าไปทิศทางตะวันออกเฉียงไต้จนน้ำมันเครื่องบินหมด เพื่อไม่ให้เกิดคราบน้ำมันให้เห็นตรวจพบจากผิวน้ำได้ แล้วนักบินคนนั้นได้ออกจากตัวเครื่องก่อนที่ลำตัวเครื่องบินจะกระแทกพื้นน้ำ ขณะนั้นสัญญาณ ping ก็เปิดตัวเองขึ้นอัตโนมัติเป็นครั้งสุดท้าย จนดาวเทียมอังกฤษจับสัญญาณได้ ในเช้าวันที่ 9 มี.ค. 57 นั่นเอง
ส่วนนักบินของลุงแซมคนนั้น ก็ขึ้นเครื่องบินที่รอรับและช่วยเหลือกลับขึ้นเครื่องไป ปล่อยทิ้งให้เครื่องบิน MH370 พร้อมผู้โดยสารทั้งหมด จมลงในทะเลลึก ทิศไต้ของมหาสมุทรอินเดีย มีระยะห่างจากเมืองเพิร์ธ ของออสเตรเลีย ราว 2,400 กิโลเมตร ดำดิ่งจมลงก้นทะเลที่ลึกสุดขั้วเกินจินตนาการ คลื่นขนาดใหญ่มหาศาล สภาพอากาศแปรปรวนและเลวร้าย ญาติของผู้โดยสาร ลูกเรือ และนักบิน วันนี้คงต้องทำใจ รอเพียงว่าจะกู้เอาซากเครื่องบินลำนี้ขึ้นมาได้อย่างไร เพราะมันยากแสนยาก และต้องใช้งบประมาณอีกมหาศาลจริงๆ
แต่การข่าวที่เผยแพร่ออกมา จะไม่มีทางที่จะบอกความจริงนี้ต่อสาธารณะไปได้ เพราะมันยากที่จะทำใจยอมรับในความโหดร้ายของมนุษย์ด้วยกันเอง ดังนั้นการออกข่าวต่อไปนี้จะมีเพียงเครื่องบินลำนี้ บินตรงจากช่องแคบมะละกา ลงไปทางตะวันตกเฉียงไต้ จนไปตกที่จุดนี้เท่านั้น และมันจะมืดมิดปกปิดอยู่ให้เป็นตำนานเล่าขานตลอดไป ขนาดข่าวของนิตยสารลุงแซมฉบับหนึ่ง ที่น่าจับคนเขียนข่าวเอาหัวโขกผนังบ้าน คือ ออกข่าวว่าพบร่องรอยการจอดเครื่องบินลำนี้บนดวงจันทร์ไปโน่น..แม่เจ้า ยังดีนะที่ไม่ออกข่าวว่าพบปีกเครื่องบินที่ดาวอังคาร และหางเครื่องบินที่ดาวพฤหัส...นี่แหละฝีมือการออกข่าวบิดเบือนของหน่วยข่าวกรองลุงแซมล่ะ
เครดิต ตัวโตๆ :
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=276763812490816&set=a.106891866144679.16178.100004715982901&type=1