คนเราเวลาโมโหขึ้นมามักจะขาดสติและทำอะไรไม่เข้าท่าออกไป แต่สำหรับคนในบทความต่อไปนี้ถึงจะโมโหมากแค่ไหน ก็มีวิธีวางแผนการแก้แค้นแบบสุดขั้วที่นอกจากจะสร้างสรรค์ (รึเปล่า?) แล้วยังฮาสุดๆ อีกด้วย
เปลี่ยนเว็บไซต์กรมตำรวจให้เป็นเว็บไซต์ต่อต้านกล้องตรวจจับความเร็วบนท้องถนน
การติดตั้งกล้องตรวจจับความเร็วบนท้องถนนเป็นประเด็นที่มีการโต้แย้งกันมาก คนส่วนใหญ่ที่ได้รับใบสั่งทางอีเมล์และถูกปรับอย่างมากก็แค่หงุดหงิดโมโหกันสักพัก หลังจากนั้นก็แค่เสียค่าปรับตามระเบียบแล้วก็ใช้ชีวิตต่อไป แต่กรณีนี้คงใช้ไม่ได้กับนักออกแบบระบบเน็ตเวิร์คคอมพิวเตอร์ที่ชื่อ Brian McCrary จากเมือง Bluff City รัฐเทนเนสซี ที่ไม่ยอมทนกับอะไรแบบนี้เด็ดขาด
เมือง Bluff City มีชื่อเสียงในด้านที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วในเรื่องมีการติดตั้งกล้องสอดแนมแบบนี้เพื่อเก็บค่าปรับที่ได้เข้ารัฐ ดังนั้น เมื่อ McCrary ได้รับใบสั่งในปี ค.ศ.2010 เขาก็เข้าไปยังเว็บไซต์ของกรมตำรวจเพื่อหาเบอร์โทรศัพท์ที่จะใช้ติดต่อไประบายความโกรธแค้นเสียหน่อย แต่แทนที่จะเจอแค่เบอร์โทรศัพท์ เขากลับค้นพบสิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ข้อความแจ้งเตือนว่าโดเมนของเว็บไซต์กรมตำรวจกำลังจะหมดอายุในเร็วๆ นี้
ลองคิดดูว่าในสถานการณ์แบบนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบเน็ตเวิร์คคอมพิวเตอร์ที่กำลังโมโหบังเอิญไปพบว่าเว็บไซต์กรมตำรวจกำลังจะหมดอายุ และทำให้ใครก็ได้สามารถจดชื่อโดเมนมาเป็นของตัวเองได้ ไม่มีโอกาสไหนเป็นใจกว่านี้อีกแล้ว ดังนั้น นี่เลยนำไปสู่การแก้แค้นที่บรรเจิดสุดๆ
ไม่กี่วันต่อมา เว็บไซต์ของกรมตำรวจก็หยุดทำงานไปอย่างลึกลับ และเริ่มมีการโชว์ข้อมูลเกี่ยวกับความชั่วร้ายของกล้องตรวจจับความเร็ว สถานที่ๆ ตั้งของกล้อง และวิธีการหลีกเลี่ยงขึ้นมาแทน
McCrary ซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นเจ้าของเว็บไซต์คนใหม่ ได้ทำลิ้งไปยังบทความเกี่ยวกับจำนวนเงินที่รัฐได้รับจากการติดตั้งกล้องพวกนี้ และเงินเหล่านี้ถูกนำไปใช้ทำอะไรบ้าง ซึ่งผลก็ปรากฏว่า เงินค่าปรับที่ได้มา 50 เปอร์เซนต์จะถูกแบ่งให้กับบริษัทที่ขายกล้อง ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อข้อมูลพวกนี้ถูกเผยแพร่ออกไปประชาชนก็เริ่มให้ความสนใจกับประเด็นนี้ขึ้นมา
ในทางกลับกัน ทางตำรวจกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิด กว่าจะรู้ว่าเว็บไซต์ของตัวเองกลายเป็นของคนอื่นไปแล้วก็ตอนที่นักข่าวเริ่มโทรไปสอบถามนั่นแหละ จากการตรวจสอบของกรมตำรวจก็พบว่า จริงๆ แล้วหน่วยงานได้รับเมล์เตือนถึง 7 ฉบับว่าโดเมนกำลังจะหมดอายุแล้ว แต่ก็ไม่มีใครสนใจเสียอย่างนั้น ดังนั้น สิ่งที่ McCrary ทำไปก็เลยถือว่าไม่ได้ผิดกฏหมายอะไรและตำรวจก็ทำอะไรเขาไม่ได้ด้วย ทุกวันนี้เว็บไซต์ของเขาก็ยังคงอยู่
อัพโหลดวิดีโอของคนร้ายขโมยคอมพิวเตอร์ขึ้น Youtube
Mark Bao นักศึกษาน้องใหม่จากมหาวิทยาลัย Bentley University ต้องโมโหมากเมื่อพบว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ MacBook Air ของเขาถูกมือดีขโมยไป โชคยังดีที่เขามีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ดีและยังสามารถเชื่อมต่อเข้าไปยังเครื่องของตัวเองได้ผ่านฐานข้อมูลแบบ Browser ที่ Backup เอาไว้ ด้วยความสงสัยว่าหัวขโมยเอาเครื่องเขาไปใช้ทำอะไรบ้าง เขาจึงเข้าไปดูตามไฟล์ในเครื่องและบันทึกการใช้งานอินเตอร์เน็ต ทำให้ในที่สุดเขาก็ได้ข้อมูลส่วนตัวต่างๆ ของคนร้ายผ่านทาง Facebook แต่นอกจากนั้น เขายังเจออะไรที่น่าสนใจกว่านั้นอีกด้วย
ของน่าสนใจที่ว่านั้นก็คือคลิปวิดีโอที่คนร้ายถ่ายตัวเองกำลังเต้นประกอบเพลง “Make It Rain” โดยใช้กล้องของโน๊ตบุ๊คนั่นเอง
แทนที่จะเอาข้อมูลที่ได้ไปแจ้งตำรวจ Bao กลับคิดวิธีจัดการกับคนร้ายที่ดีกว่านั้นได้ เขาอัพโหลดคลิปวิดีโออันหนึ่งขึ้นไปบน Youtube ในชื่อวิดีโอว่า “อย่าขโมยคอมพิวเตอร์ของคนที่รู้จักวิธีการใช้ดี”
VIDEO
วิดีโอนี้กลายเป็นคลิปสุดฮิตบน Youtube ไปทันที ส่วนหัวขโมยที่อยู่ๆ ก็พบว่าตัวเองกลายเป็นคนดังบนโลกอินเตอร์เน็ตในนามของ “หัวขโมยคอมพิวเตอร์นักเต้นเท้าไฟ” ก็รีบนำโน๊ตบุ๊คที่ขโมยมาไปส่งคืนให้กับตำรวจทันที หลังจากนั้นก็เขียนอีเมล์ไปขอร้องให้ Bao ช่วยลบวิดีโอออกจาก Youtube ให้หน่อย
เราไม่รู้ว่า Bao ตอบเมล์ที่ว่ากลับไปอย่างไร แต่จากที่เขาโพสอีเมล์ที่คนร้ายส่งให้ลงบนเว็บ Reddit (เข้าไปดูได้ ที่นี่) และวิดีโอนี้ก็ยังคงอยู่ดีบนอินเตอร์เน็ต เราเลยเดาว่าคำขอร้องของหัวขโมยผู้โชคร้ายคนนี้คงไม่เป็นผลสำเร็จ
ชายที่ยอมพังบ้านตัวเองดีกว่าให้ธนาคารยึด
ในปี ค.ศ.2008 ประชาชนหลายล้านคนต้องเดือดร้อนจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึง Terry Hoskins ผู้มีบ้านราคา 350,000 เหรียญดอลล่าร์ แต่กลับไม่มีเงินมาจ่าย ดังนั้น เขาเลยประกาศขายบ้านออกไป แต่ก็ต้องพบว่ามีการเสนอราคามาให้แค่เพียง 170,000 เหรียญเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ถึงราคาที่ได้มาจากน้อยกว่าราคาจริงของบ้านกว่าครึ่ง แต่ในตอนที่เศรษฐกิจกำลังย่ำแย่แบบนี้ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย อีกทั้งเงิน 170,000 เหรียญนี้ก็ยังมากกว่าจำนวนที่เขาติดหนี้ธนาคารอยู่เป็น 10 เท่า ดังนั้น Hoskins ผู้กำลังโล่งใจที่จะขายบ้านออกไปได้ก็แจ้งธนาคารถึงข้อตกลงที่เขาได้มา
ปัญหาคือ ธนาคารไม่ยอมรับข้อตกลงนี้ แต่กลับยืนยันว่าต้องการจะยึดบ้านของ Hoskins มาแทนค่าหนี้ เพราะจากที่คำนวณดูแล้วธนาคารจะทำเงินได้มากกว่าจากการขายบ้านของ Hoskins เอง
สิ่งหนึ่งที่ธนาคารคงไม่ทันคิดไว้คือ อย่าได้ลองดีกับชายที่มีรถแทรกเตอร์เป็นของตัวเอง เพราะ Hoskins ที่กำลังโมโหสุดๆ ตัดสินใจกระโดดขึ้นรถแทรกเตอร์แล้วถล่มบ้านของตัวเองที่ธนาคารกำลังจะมายึดเสียเลย
เป็นเวลากว่า 2 ชั่วโมงที่ Hoskins ไถอดีตบ้านของตัวเองเสียเรียบเป็นหน้ากลอง ดังนั้น เมื่อนายธนาคารมาดูบ้านที่ควรจะเป็นแบบนี้
พวกเขากลับพบสภาพแบบนี้แทน
Hoskins อธิบายไว้ว่า เขาเพียงอยากจะทำให้พื้นที่นี้กลับมามีสภาพเหมือนอย่างตอนเริ่มแรกเท่านั้น แน่นอน Hoskins ก็ต้องจ่ายค่าเสียหายชดใช้กับสิ่งที่เขาทำไป แต่เราเดาว่าผู้จัดการธนาคารคงไม่เข้มงวดเท่าไหร่ถ้าเขาลืมจ่ายไปบ้าง ไม่อย่างนั้นอาจจะได้ตื่นมาท่ามกลางเสียงของรถแทรกเตอร์กำลังบุกเข้ามาในบ้านตอนกลางคืนแน่ๆ
นักโทษแอบซ่อนรูปหมูไว้ในโลโก้ข้างรถตำรวจ
ถ้าคุณทำงานเป็นผู้ควบคุมเรือนจำ และคุณต้องคิดหางานให้นักโทษทั้งหลายทำในเวลาว่างเพื่อให้มีรายได้เข้ามาบ้าง คุณจะเลือกงานอะไรให้พวกเขาทำ? ที่แน่ๆ คุณคงไม่เลือกงาน ตกแต่งรถตำรวจ ให้นักโทษ (ที่ต้องเข้าคุกเพราะตำรวจ) ทำแน่ๆ แต่ไม่ใช่กับที่เรือนจำ Vermont’s Northwest State ในรัฐเวอร์มอนต์
ความจริงแล้วทางเรือนจำก็จะเลือกแต่นักโทษที่มีความประพฤติดีมาทำงานตั้งแต่ผลิตป้ายทะเบียนรถไปจนถึงการผลิตเครื่องใช้ในสำนักงานต่างๆ ดังนั้น เมื่อร้านปริ๊นของนักโทษได้รับงานให้ผลิตโลโก้สำหรับติดที่ประตูรถของตำรวจ ก็มีนักโทษอย่างน้อยคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะแก้แค้นพวกตำรวจเสียหน่อย เขาแอบเข้าไปแก้ไฟล์ภาพโลโก้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ต่างไปจากของเดิมนิดหน่อย ซึ่งก็แนบเนียนเสียจนตำรวจเองก็ไม่สังเกตเห็น
ตำรวจขับรถที่มีโลโก้นี้ไปมาๆ อยู่เป็นปี ถึงจะเพิ่งมีคนสังเกตเห็นว่ามีภาพของหมูถูกแอบพิมพ์เอาไว้ข้างรถตลอดเวลา (เป็นคำแสลงของของอาชญกรที่จะเรียกตำรวจว่า หมู)
ซึ่งถึงมาเห็นเอาตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว เพราะรถทุกคันก็ถูกใช้งานอยู่ และจะให้ดึงออกเฉยๆ ก็ไม่ได้เพราะขั้นตอนการเอาออกและทำโลโก้ใหม่ทั้งหมดต้องใช้เวลาถึง 4 เดือน หมายความว่า ตำรวจก็ต้องขับรถที่มีรูปหมูโชว์หราอยู่ต่อไปอีก 4 เดือน
โทรศัพท์แก้แค้นกลุ่มผู้ประท้วง
Todd Stave เป็นเจ้าของที่ดินให้เช่่าธรรมดาๆ คนหนึ่งจากรัฐแมสซาชูเซตส์ แต่ที่ทำให้เขาแตกต่างไปจากคนอื่นนั้นคือ ที่ดินของเขาถูกเช่าเพื่อไปสร้างเป็นคลินิกทำแท้ง (ที่ถูกกฏหมาย) ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่บริเวณตึกของเขาจะเต็มไปด้วยป้ายประท้วงการของกลุ่มผู้ต่อต้านการทำแท้ง แต่เขาก็ไม่เคยว่าอะไรเพราะถือว่าเป็นสิทธิ์ของคนอื่นที่จะทำการประท้วง แต่ก็ต้องเป็นไปอย่างถูกกฏหมาย และที่สำคัญต้องอยู่ภายในบริเวณของคลินิกเท่านั้น
ในขณะที่กลุ่มผู้ประท้วงส่วนใหญ่ก็ทำหน้าที่ตัวเองไปตามปกติ มีกลุ่มย่อยๆ กลุ่มหนึ่งที่ชื่อ “Defend Life” ที่ต่อต้านอย่างรุนแรงและไม่ยอมรับการกระทำของ Stave จนถึงขนาดเริ่มก่อกวนความสงบของตัวเขาและครอบครัวแทน
มีวันหนึ่ง กลุ่มผู้ประท้วง 5 คน ได้รวมตัวประท้วงที่บริเวณใกล้กับโรงเรียนของลูกสาววัย 11 ปี ของ Stave โดยถือป้ายที่มีรูปของเขาและข้อมูลส่วนตัวต่างๆ คู่ไปกับภาพตัวอ่อนที่ถูกทำแท้ง ไม่ต้องบอกก็เดาได้ว่า Stave โมโหแค่ไหน อย่างไรก็ตาม การก่อกวนของกลุ่มผู้ประท้วงเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น เมื่อคนเหล่านี้เริ่มทำการก่อกวนโดยโทรศัพท์ไปยังบ้านของ Stave แทบทุกชั่วโมงพร้อมกับคำขู่ต่างๆ นาๆ
ถ้านี่เป็นภาพยนตร์ งานนี้ Stave คงได้ควงปืนไปไล่ยิงกลุ่มผู้ประท้วงจอมก่อกวนนี้ไปแล้ว แต่ในความจริง Stave มีแผนการที่ยอดเยี่ยมกว่านั้น เขาได้จัดตั้งองค์กร “Voice of Choice” ขึ้นมา ซึ่งก็คือกลุ่มของอาสาสมัครที่จะทำการโทรกลับไปยังผู้ประท้วงที่โทรมาก่อกวนครอบครัวของเขา
อาสาสมัครในโครงการนี้ไม่ได้โทรไปข่มขู่กลับหรือแสดงความต่อต้านอะไร ในทางกลับกัน อาสาสมัครจะโทรไปขอบคุณผู้ประท้วงสำหรับคำอธิฐานและยืนยันว่ากลุ่มผู้ประท้วงพวกนี้ก็มีสิทธิ์ที่จะยืนหยัดในสิ่งที่ตัวเองเชื่อเช่นกัน
แต่ที่ทำให้การแก้แค้นนี้เจ็บแสบสุดๆ ก็คือ ผู้ประท้วงแต่ละคนจะได้รับโทรศัพท์จากอาสาสมัครทุกๆ คน ซึ่งพูดข้อความอย่างเดียวกัน เมื่อองค์กรเริ่มใหญ่ขึ้น ก็มีอาสาสมัครรวมกันถึง 5,000 คน ซึ่งหมายความว่าผู้ประท้วงคนไหนที่ไปก่อกวนครอบครัว Stave เข้า ก็จะได้รับโทรศัพท์ 5,000 ครั้ง เพื่อขอบคุณ งานนี้คงหลอนกันไปอีกนาน
George Lucas สั่งสอนเพื่อนบ้านผู้ร่ำรวยให้รู้จักโลกแห่งความเป็นจริง
George Lucas คือหนึ่งในผู้กำกับที่มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคปัจจุบัน เมื่อไม่นานมานี้ Lucas หมดเงินไปเป็นจำนวนมากกับความพยายามที่จะสร้างสตูดิโอผลิตภาพยนตร์ขนาดใหญ่บนที่ดินของเขาในเมือง Marin Country รัฐแคลิฟอร์เนีย ถ้าโครงการนี้เสร็จสิ้นจะทำให้เกิดการจ้างงานที่ได้เงินเดือนสูงขึ้นประมาณ 600 อัตรา และนำมารายได้มหาศาลมาสู่ธุรกิจในท้องถิ่น
แต่แย่หน่อยที่เหล่าเพื่อนบ้านของ Lucas ซึ่งเป็นเศรษฐีกันอยู่แล้วไม่ได้สนว่าธุรกิจในพื้นที่นั้นจะเป็นอย่างไร พวกเขาต่อต้านโครงการนี้ด้วยเหตุผลว่า โครงการนี้จะทำให้เกิดความแออัดทางการจราจรและทำให้เกิดเสียงดัง นอกจากนั้นยังทำให้สภาพภูมิทัศน์ที่สวยงามถูกทำลายไปอีกด้วย
เป็นเวลากว่า 25 ปี ที่ Lucas พยายามจะสร้างโครงการนี้ขึ้นมา แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จเสียทีเพราะไม่ได้รับการเห็นด้วยจากผู้คนแถวนั้น ต่อมา ในปี ค.ศ.2012 Lucas ก็ประกาศอย่างเป็นทางการว่าเขาจะล้มเลิกโครงการนี้แล้วขายที่ดินออกไป แล้วไปทำอะไรอย่างอื่นแทน อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันที่เพื่อนบ้านจะได้ดีใจกัน เขาก็ประกาศว่า เขาได้ขายที่ดินให้กับกลุ่มองค์กรไม่หวังผลกำไรที่ชื่อ Marin Community Foundation และตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ องค์กรนี้จะสร้างที่อยู่อาศัยให้กับกลุ่มคนยากจนที่มีรายได้น้อยในพื้นที่แทน
องค์กรนี้สรรเสริญความมีน้ำใจของ Lucas แต่แน่นอนว่าเหล่าเพื่อนบ้านผู้ร่ำรวยไม่ตื่นเต้นดีใจด้วยเท่าไหร่นัก และนี่คือวิธีแบบ มีคลาส ที่ Lucas ใช้สั่งสอนเหล่าผู้ร่ำรวยด้วยความช่วยเหลือของกลุ่มคนยากจน
ที่มา Cracked & everyday-reader
ที่มาภาพประกอบ web designer depot