Part 2
Q: คุณคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการสร้างไอดอลคืออะไร? ตอนไหนที่คุณรู้สึกตัวว่าสิ่งนี้มันน่าสนใจ? คุณใช้บรรทัดฐานอะไรในการตัดสินใจ?
อากิโมโต้: ผมมักจะบอกบรรดาสต๊าฟเสมอว่าอย่าไปยึดติดกับความคิดเดิมๆ คนมักจะไม่ค่อยสนสิ่งที่เคยเห็น,เคยฟัง หรือเข้าใจมันแล้ว ตอนที่คนเริ่มตั้งคำถามว่า “นี่มันอะไรวะเนี่ย?” นั่นแสดงว่าเค้าเริ่มให้ความสนใจแล้ว
พอผมพูดแบบนี้ คนก็จะเริ่มคิดว่า “อากิโมโต้จะทำอะไรแผลงๆอีกแล้วสินะ” ผมอยากพวกคุณว่ามันไม่ใช่ยังงั้นนะ ผมแค่อยากก้าวข้ามกำแพงที่บอกว่า “ไอดอลทำแบบนี้ไม่ได้” แล้วก็ “ไอดอลไม่ควรทำแบบนี้” โดยการฉีกกรอบเดิมๆ
มีตัวอย่างอยู่หลายเรื่อง ครั้งนึงตอนที่AKBเพิ่งเริ่มต้น ผมได้รับรายงานว่ามีเมมเบอร์ข้อเท้าเคล็ด เราเลยให้เธอหยุดพัก พอเราถามเธอว่า “ซวยชะมัด เจ็บมากไหม?” เธอบอกว่าไม่เจ็บเท่าไรยังเดินไหว แต่ถ้าเต้นจะเจ็บมาก
ผมก็เลยบอกว่าให้เอาเก้าอี้ขึ้นไปบนเวทีไหม นั่งไปร้องเพลงไปก็ได้ ที่ผมพูดยังงั้นเพราะว่าไม่เคยมีใครทำแบบนี้มาก่อน นี่ต้องเป็นความทรงจำที่ล้ำค่าสำหรับแฟนๆแน่นอน เราอยากทลายกำแพงที่ว่า “เมมเบอร์ที่บาดเจ็บจะขึ้นแสดงไม่ได้”
การออดิชั่นสุดแปลก
มีตัวอย่างชัดๆอยู่เคสนึงคือชิมาซากิ ฮารุกะผู้ที่โด่งดังเพราะความเย็นชาต่อแฟนๆของเธอ ผมได้ยินจากสต๊าฟมาว่าเธอเป็นคนที่นิสัยดีมากๆ แต่ความคิดของเธอที่มีต่อแฟนๆดูจะไม่ค่อยดีเท่าไร จนเมมเบอร์บางคนเริ่มเข้าใจเธอผิด พวกสต๊าฟมาบอกให้ผมไปดุเธอบ้าง แต่ผมคิดว่าไอดอลที่ไม่ได้พยายามเอาใจแฟนๆมันก็ดูน่าสนุกดี ไม่ได้เสียหายอะไร มีเมมเบอร์แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
การออดิชั่นของAKBจะไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องสักเท่าไร ถ้าออดิชั่นแบบธรรมดาทั่วไปกรรมการจะเรียกผู้สมัครทีละ2-3คนในแต่ละรอบ จากนั้นก็ให้คะแนนพวกเธอจากหน้าตา,การแสดงออกอะไรประมาณนั้น แต่เราใช้ระบบที่ต่างออกไป ถ้าหากกรรมการสักคนนึงโพล่งออกมาว่า “ผมชอบเด็กคนนี้” แล้วทุกคนร้อง “เอ๋----!?” เธอคนนั้นจะผ่าน เหตุผลที่ทำแบบนี้เพราะว่าแฟนๆก็คงรู้สึกต่อเด็กคนนี้แบบเดียวกันกับพวกเรา จากนั้นก็จะเริ่มเกิดความเห็นอกเห็นใจ แต่ถ้าเรารับคนที่เก่งแทบทุกด้าน พอมาถึงจุดนึงเราจะเจอสถานการณ์ที่ทุกคนเท่ากันหมด
ทฤษฎีน้ำคาลพิสบริสุทธิ์
Q: คุณใช้วิธีอะไรในการสร้างโมเดลธุกิจให้AKB48?
อากิโมโต้: ผมไม่ค่อยรู้เรื่องธุรกิจเท่าไรหรอกนะ แต่ผมรู้ว่าเราคงแพ้แน่หากเราทำเหมือนๆกับที่คนอื่นเค้าทำมาแล้ว ดังนั้นผมเลยไม่ทำแบบคนอื่น ถ้าหากเรายังคิดอะไรใหม่ๆไม่ออกเราก็ควรจะอดทนไว้ มันคงง่ายเกินไปหากทุกอย่างหมุนรอบตัวเรา ตั้งแต่เริ่มทำAKBใหม่ๆผมมักจะบอกกับสต๊าฟว่า “จงทำตัวให้เหมือนน้ำคาลพิสบริสุทธ์” เพราะว่าน้ำคาลพิสบริสุทธ์สามารถเอาไปทำได้หลายอย่างเช่นไอศครีมไปจนถึงลูกอม
ผมอยากให้ไอดอลเปิดกว้างมากกว่านี้ ผมคิดถึงน้ำคาลพิสบริสุทธิ์เพราะใครๆก็เอาไปใช้ประโยชน์ได้ เมื่อมีคนเอาไปใช้ประโยชน์และยังมีคนอยากซื้อคาลพิสธุรกิจมันก็ยังเติบโตต่อไปได้ หากวันนึงผมหมดไอเดียก็จะมีคนนำเสนอเดียใหม่ๆเข้ามาแทน
Q: โมเดลธุรกิจของคุณดูเหมือนจะตรงข้ามกับค่ายจอห์นนี่แบบสุดๆ พวกเค้าไม่เคยผ่อนปรนเรื่องลิขสิทธิ์เลยและพวกเขายังเข้มงวดมากเรื่องการกระจายสินค้าดิจิตัลที่เกี่ยวกับภาพลักษณ์ของพวกเค้า
อากิโมโต้: นั่นก็เพราะว่าพวกเค้าผลิตวงที่เป็นมืออาชีพไง ในขณะที่AKB Groupเป็นวงที่มีแต่พวกมือสมัครเล่น จุดแข็งของการเอามือสมัครเล่นมาใช้คือพวกเธอเป็นไอดอลที่เปิดกว้าง ยังไงก็ได้
เมื่อตอนที่โซเชี่ยลเน็ตเวิร์คกลายเป็นเรื่องปกติ มีความเห็นมากมายว่าเราไม่ควรให้ไอดอลใช้โซเชี่ยลแบบอิสระมากเกินไป แต่ผมคิดว่าเราควรทลายกำแพงความคิดนั้นเช่นกันเพราะยังงี้เราเลยให้เมมเบอร์ใช้โซเชี่ยลเน็ตเวิร์คได้เต็มที่ เมมเบอร์อาจจะโดนฟลัดคอมเม้นแต่นี่เป็นเรื่องปกติถ้าเราไม่ได้เข้มงวดกับมันมากนัก ผมคิดว่ามันเป็นเครื่องมือที่ดีมากเลยนะในการเรียนรู้ตัวเองและเข้าใจการเติบโตของตัวเราในโลกจริง
จงมั่นใจใน “ทฤษฏีกาลาปากอส”
Q: ผมขอถามอีกนิดเกี่ยวกับการขยายสาขาของAKBในต่างประเทศสักหน่อย คุณขยายสาขาไปที่เซี่ยงไฮ้และอินโดนีเซียมาแล้ว ต่อไปคุณวางแผนไปที่ประเทศไทย,ไทเป และฟิลิปปินส์ คุณคิดว่าอะไรคือจุดแข็งของวัฒนธรรมไอดอลญี่ปุ่นที่สามารถเติบโตได้ในต่างแดน
อากิโมโต้: มันก็เหมือน “ทฤษฏีกาลาปากอส” นั่นแหละ
ในช่วงปี1980ผมอยากจะสร้างหนังสักเรื่องนึง ผมเลยไปที่อเมริกาและวางแผนจะทำหนังที่นั่น แต่ว่าผมโดนปฏิเสธแบบไร้เยื่อไย ตอนนั้นผมได้รู้ว่าการทำหนังในต่างแดนมันเป็นเรื่องที่เป็นไม่ได้จริงๆ ผมกลับมาที่ญี่ปุ่นพร้อมกับความคิดที่ว่าโลกมันเป็นเหมือนราวกั้นที่สูงลิบที่ไม่มีทางกระโดดข้ามไปได้
หลังจากนั้นผมได้สร้างหนังสยองขวัญที่ญี่ปุ่นชื่อเรื่อง “Chakushin Ari” [One Missed Call] ซึ่งต่อมาผมก็ได้รับข้อเสนอจากอเมริกา พวกเค้าอยากเอาหนังของผมไปรีเมค มันกลายเป็นว่าสิ่งที่พวกเค้าต้องการจริงๆคือ “หนังสยองขวัญแบบญี่ปุ่น”
พูดง่ายๆก็เหมือนกับอนิเมะกับการ์ตูนดิสนี่ย์ที่ไม่เหมือนกันนั่นแหละ ทั่วโลกต่างก็มีคอนเซปไอดอลที่แตกต่างกันออกไป เราแค่สร้างสิ่งที่เราพอใจก็พอแล้ว ผมคิดว่านี่แหละคือจุดแข็งของไอดอลญี่ปุ่น เพราะเหตุนี้เวลาที่คนทั่วโลกมาเห็นวัฒนธรรมญี่ปุ่นพวกเค้าก็จะตกใจ ดีใจ และตะโกนว่า “นี่มันอะไรกันเนี่ย?!” และต้องขอบคุณอินเตอร์เน็ตที่ทำให้วัฒนธรรมญี่ปุ่นเผยแพร่ได้อย่างเร็วมากๆ
ฉะนั้นเมื่อวัฒนธรรมญี่ปุ่นไปยังต่างประเทศ บางอย่างก็ต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับคนท้องถิ่น แต่ผมว่าเราไม่ควรที่จะเปลี่ยนรากฐานของวัฒนธรรมนะ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเอากลิ่นและความเหนียวหนืดของนัตโตะออกเพื่อไปขายในต่างประเทศ นั่นก็ไม่ใช่นัตโตะอีกต่อไป นัตโตะมันอร่อยเพราะว่ามันเป็นนัตโตะ นี่เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมานั่งคิดหากว่าเราอยากจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้เป็นสากลทั่วโลก ทุกวันนี้ความสนใจในวัฒนธรรมญี่ปุ่นมีมากขึ้นทุกวัน เราต้องมั่นใจในวัฒนธรรมของเรา
Q: หากลองมองไปทั่วเอเชีย K-popของเกาหลียิ่งใหญ่กว่าJ-popเป็นอย่างมาก
อากิโมโต้: K-popนี่มันเป็นนโยบายระดับชาติเลยไม่ใช่หรอ? นี่มันเป็นกลยุทธในการเผยแพร่วัฒนธรรมที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ยกตัวอย่างที่เวียดนาม K-popเป็นที่นิยมอย่างมากที่นั่น เพราะฉะนั้นเครื่องสำอางของเกาหลีและคอมพิวเตอร์ของLGก็ขายดีตามไปด้วย
ทางญี่ปุ่นเองก็พยายามเผยแพร่วัฒนธรรมญี่ปุ่นผ่านโครงการที่ชื่อ “Cool Japan” เหมือนกัน แต่ถ้าหากเทียบกับฝั่งเกาหลีนโยบายของเราดูอ่อนแอกว่า ผมคิดว่าหน่วยงานของเรายังไม่มีความรู้มากพอในการเผยแพร่วัฒนธรรมแบบของเกาหลี ผมกลัวว่าหน่วยงานส่วนใหญ่ของญี่ปุ่นไม่ค่อยเห็นค่าเรื่องความสำคัญของซอฟแวร์เท่าไรนัก พวกเค้ามักสนใจเรื่องสเป็คของฮาร์ดแวร์มากกว่า ตัวอย่างเช่นทีวีของเราสามารถดูได้ในระดับความคมชัด4kและ8k เรามักเอาจุดนี้มาโฆษณา แต่สิ่งที่สำคัญจริงๆคือเราจะเอาทีวี4kกับ8kมาดูอะไร? เพราะฉะนั้นซอฟแวร์จึงเป็นสิ่งสำคัญ
ตอนที่นินเทนโด้วางขายเครื่องซุปเปอร์แฟมิคอม ใครๆก็อยากได้เครื่องมาเล่นมาริโอ้ เพราะยังงี้คนเลยแห่กันไปซื้อเครื่อง ถ้าหากคุณคิดเรื่องซอฟแวร์ก่อน ฮาร์ดแวร์ก็จะเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้เข้ากับซอฟแวร์ได้
Q: อดีตไอดอลคนนึงเคยพูดไว้ว่ายิ่งยิ่งอุตสาหกรรมไอดอลเติบโตขึ้นเท่าไร คนยิ่งรักไอดอลมากขึ้น สังคมก็ยิ่งแข็งแรงมากขึ้นเท่านั้น จากมุมมองของคุณคุณคิดว่าไอดอลส่งผลกระทบอะไรต่อสังคมและเศรษฐกิจของญี่ปุ่นบ้าง?
อากิโมโต้: คำถามนี้ยากแฮะ ผมก็ไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกัน เอาจริงๆผมไม่ได้คิดเรื่องพวกนี้มากมายนักอย่างที่ทุกคนเข้าใจกันหรอก สิ่งที่ผมกำลังทำเหมือนการตกปลาโดยใช้จิตสัมผัสว่าปลาอยู่ตรงไหน พวกนักวิชาการกับนักข่าวพยายามช่วยผมโดยการพยายามอธิบายและวิเคราะห์เรื่องพวกนี้ในเชิงวิชาการ แต่จริงๆแล้วผมไม่ได้มีวิธีการอะไรชัดเจนในการจะลงมือทำอะไรแต่ละอย่าง
เมื่อวานนี้มีคนมาถามผมว่าผมคิดยังไงกับแผนธุรกิจในอนาคต เอาจริงๆผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผู้คนมักจะคิดว่าผมเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่ในความเป็นจริงคือผมไม่รู้อะไรเลย
สิ่งนึงที่ผมพูดได้เกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจก็คือสิ่งที่ผมพูดไปก่อนหน้านี้แล้วว่าถ้าหากเราจะสร้างฮาร์ดแวร์ใหม่ๆ เราก็ควรเริ่มที่ซอฟแวร์ก่อน
ผมได้ยินหลายๆคนบอกว่าอยากจะสร้างเทคโนโลยีต่างๆให้VRและแอปต่างๆในสมาร์ทโฟน เวลาที่ผมได้ยินคนพูดแบบนี้ผมจะรู้สึกว่าทำไมไม่พูดก่อนที่ของพวกนี้จะสร้างเสร็จ เพื่อที่เวลาของพวกนี้สร้างเสร็จมันจะได้รับรองสิ่งที่พวกคุณคิดได้พอดี มันเหมือนกับเวลาใครสักคนทำอาหารนั่นแหละ คนกินไม่ได้คาดหวังเรื่องกระบวนการทำ คนจะสนใจสิ่งที่เอามาเสิร์ฟต่างหาก สิ่งที่เราต้องทำเดี๋ยวนี้ไม่ใช่มัวมาสนใจว่าอาหารเหมาะกับจานรึปล่าว เราต้องการอาหารที่อร่อย ผมรู้สึกว่าการที่เรามัวแต่สนใจเรื่องจานมากไปมันจะทำให้เรามองผิดจุด ตอนนี้วัฒธรรมญี่ปุ่นกำลังเผยแพร่ไปทั่วโลกผ่านทางโครงการ Cool Japan ผมว่าหน่วยงานรัฐควรจะสนใจให้มันถูกจุดได้แล้ว
และสำหรับคนไทยที่มีอายุหน่อย คงจะคุ้นเคยกันดีกับเพลงนี้ “Kimiga ireba sorede ii” ซึ่งก็เป็นเพลงที่อากิพีเป็นคนแต่งเนื้อร้อง
VIDEO