BLOG BOARD_B
ติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Email: sale@soccersuck.com
แสดงความเห็น
1, 2, 3 ... 7, 8, 9 ... 13, 14, 15
ไปที่หน้า
GO
ชมรมคลังความรู้ นิยาย-ประวัติศาสตร์ ต่างๆ
สมาชิก 93 คน, จำนวนคอมเมนต์ 220
Description
ให้ข้อมูลด้านนิยายเทพเจ้ากรีก - โรมัน หรือประเทศต่างๆ และให้ข้อมูลด้านประวัติศาสตร์เรื่องเล่าต่างๆของทุกมุมโลก ซึ่งเป็นชมรมที่ให้สาระแก่เพื่อนชาว SS โดยเพื่อนชาว SS สามารถเสนอหรือบอกกล่าวว่าอยากได้ข้อมูลของประเทศนั้นประวัติของบุคคลสำคัญท่านต่างๆได้ โดยจะมีทีมงานหาข้อมูลโดย จะมี ผม 1.Falcon_Pee V0.1 , 2.ท่านพริกหวาน ,3.ท่านmubmibkung เป็นคนหาข้อมูลมาให้เพื่อนๆได้อ่านกันคับ ขอฝากชมรมน้องใหม่ด้วยน่ะคับผม

ระเบียบการชมรม

  • สมาชิกที่ต้องการเข้าร่วมชมรมให้กดปุ่ม join ที่อยู่ด้านบนของกระทู้
  • สมาชิกที่เข้าร่วมชมรมเสีย 10 แผล่บครั้งเดียวถาวร(หัวหน้าไม่เสีย)
  • สมาชิกที่เข้าร่วมแล้วเสีย 10 แผล่บจะได้รับการคืนหากหัวหน้ากดปฏิเสธไม่ให้ร่วมกลุ่ม
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออฟไลน์
นักเตะท้ายซอย
Status:
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 825 (บอร์ดเก่า 193)
ที่อยู่: Old trafford
โพสเมื่อ: Tue Oct 29, 2013 13:54
อา.....สวัสดีเพื่อนๆชมรมทุกท่าน สบายดีกันป่าวคับ555+

พอดีผมติดงานไม่ได้มาเขียนไรให้อ่านเลย ตอนนี้สามารถอ่าน เรื่องราวน่าอ่านเยอะมากมายจากท่านพีร์กะท่านพริกหวาน+ท่านอื่นๆ อ่านได้เพลินเลยครับ เดี๋ยวว่างๆจะกลับมาเขียนมั่งแล้ว ฮี่ๆๆ

ขอให้สนุกกะการอ่านกันนะครับผม
แก้ไขล่าสุดโดย mubmibkung เมื่อ Tue Oct 29, 2013 13:55, ทั้งหมด 1 ครั้ง



ชมรมคลังความรู้ประวัติศาสตร์ - นิยายทั่วทุกมุมโลก คับผม
http://www.soccersuck.com/clubs/detail/64
My Locker
ออฟไลน์
ซุปตาร์ยูโร
Status:
เข้าร่วม: 03 Nov 2010
ตอบ: 6384 (บอร์ดเก่า 2265)
ที่อยู่: ณ เวลาที่หิมะไม่ตกในประเทศไทย
โพสเมื่อ: Tue Oct 29, 2013 14:40
mubmibkung พิมพ์ว่า:
อา.....สวัสดีเพื่อนๆชมรมทุกท่าน สบายดีกันป่าวคับ555+

พอดีผมติดงานไม่ได้มาเขียนไรให้อ่านเลย ตอนนี้สามารถอ่าน เรื่องราวน่าอ่านเยอะมากมายจากท่านพีร์กะท่านพริกหวาน+ท่านอื่นๆ อ่านได้เพลินเลยครับ เดี๋ยวว่างๆจะกลับมาเขียนมั่งแล้ว ฮี่ๆๆ

ขอให้สนุกกะการอ่านกันนะครับผม  


รอว่างๆก่อนก็ได้ท่านช่วงนี้ผมกับท่านพริกหวานและสมาชิกท่านอื่นๆอัพๆกันไปก่อน
Rain & man Utd


ชมรมคลังความรู้ประวัติศาสตร์ - นิยายทั่วทุกมุมโลก คับผม
http://www.soccersuck.com/clubs/detail/64

[url=https://img.soccersuck.com/image/XuxaK8]
My Locker
ออฟไลน์
นักเตะท้ายซอย
Status:
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 825 (บอร์ดเก่า 193)
ที่อยู่: Old trafford
โพสเมื่อ: Tue Oct 29, 2013 15:06
Falcon_pee V 0.1 พิมพ์ว่า:
mubmibkung พิมพ์ว่า:
อา.....สวัสดีเพื่อนๆชมรมทุกท่าน สบายดีกันป่าวคับ555+

พอดีผมติดงานไม่ได้มาเขียนไรให้อ่านเลย ตอนนี้สามารถอ่าน เรื่องราวน่าอ่านเยอะมากมายจากท่านพีร์กะท่านพริกหวาน+ท่านอื่นๆ อ่านได้เพลินเลยครับ เดี๋ยวว่างๆจะกลับมาเขียนมั่งแล้ว ฮี่ๆๆ

ขอให้สนุกกะการอ่านกันนะครับผม  


รอว่างๆก่อนก็ได้ท่านช่วงนี้ผมกับท่านพริกหวานและสมาชิกท่านอื่นๆอัพๆกันไปก่อน  


งั้นผมขอนั่งอ่านของท่านไปพลางๆก่อนนะ เพลินดี



ชมรมคลังความรู้ประวัติศาสตร์ - นิยายทั่วทุกมุมโลก คับผม
http://www.soccersuck.com/clubs/detail/64
My Locker
ออฟไลน์
นักบอล ดิวิชั่น 1
Status:
เข้าร่วม: 04 Sep 2013
ตอบ: 8089
ที่อยู่: Ok,bye!
โพสเมื่อ: Tue Oct 29, 2013 20:14
อาร์เทมีส (Artemis) เทพีแห่งดวงจันทร์
อาร์เทมีส (Artemis) เทพีแห่งดวงจันทร์

ในคณะเทพโอลิมเปียนมีเทวีพรหมจารีอยู่ 3 องค์ ทรงนามตามลำดับว่า เฮสเทีย (Hestia) เอเธน่า (Athene) และ อาร์เตมิส (Artemis) ซึ่งเป็นเทวีครองการล่าสัตว์ ทรงนามว่า ไดอานา (Diana) หรือ อาร์เตมิส เทวีองค์นี้เป็นที่เคารพบูชาของพวกพรานโดยเฉพาะ และเป็นเจ้าของสัตว์ป่าทั้งปวง แต่สัตว์ที่เทวีโปรดปรานมากเป็นพิเศษ ได้แก่ กวาง

โดยที่แสงเดือนเพ็ญ เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่การเดินป่า และล่าสัตว์ในเวลากลางคืน คนทั้งปวง จึงนับถือ เทวีในฐานะ เทวีครองแสงจันทร์ด้วย และในที่สุดก็ยกย่องเทวี เป็นเทวีแห่งดวงจันทร์ ในชื่อว่า ฟีบี (Phoebe) บ้าง เซลีนี (Selene) บ้าง ซึ่ง เป็นชื่อเรียกเทวีประจำดวงจันทร์ หรือจันทรเทวี มาแต่ดั้งเดิม ต่อมาในระยะหลัง ๆ ยังมีการเอา เทวีเหกกะตี (Hecate) ซึ่งครองความมืดในข้างแรม และไสยศาสตร์ มารวมกับ เทวีอาร์เตมิส หมายให้เป็นเทวีองค์เดียวกันอีกด้วย


อาร์เตมิสเป็นเทพธิดาคู่แฝดผู้พี่ของ อพอลโล สุริยเทพของกรีก เกิดแต่ซุส กับนางแลโตนา หรือ ลีโต (Latona ,Leto) (แต่บางตำนานกล่าวว่า เป็นธิดาของเทพไดโอนิซัสกับไอซิส แต่ผู้คนมักรู้จักเทวีอาร์เตมิส ในฐานะธิดาของ ซุสมากกว่า รวมทั้งท่านโฮเมอร์นักกวีชาวกรีกกล่าวไว้เช่นนี้ด้วย) เมื่อตอนเกิดคลอดยากนักหนา ถึงแก่นางแลโตนา เกือบเอาชีวิตไม่รอด เทวีรู้สึกถึงความเจ็บปวดทนทุกข์เวทนาอย่างใหญ่หลวงของมารดา เลยพลอยรังเกียจการวิวาห์ ถึงกับขอประทานอนุญาตจากเทพบิดาในอันที่จะขอไม่มีคู่ครอง แม้เหล่าเทพบนเขาโอลิมปัส แสดงความปรารถนา ใคร่จะได้วิวาห์ด้วยเทวีก็ไม่ไยดี คงยืนกรานที่จะดำรงชีวิตโสดอย่างเดียว และวิงวอนต่อเทพบิดา ด้วยเหตุผลเช่นนี้ ซุสจำต้องประทานอนุญาตให้ เทวีขอประทานนางอัปสรโอเชียนิค 60 กับอัปสรอื่นอีก 20 ซึ่งล้วนแต่ ไม่ยินดี ในการวิวาห์ เป็นบริวารติดสอยห้อยตาม เสด็จประพาสไปตามราวป่า เพลิดเพลินเป็นนิตย์นิรันดร

ทุกเวลาเย็นอาทิตย์อัสดง พอตะวันตกลับโลกไปแล้ว เทวีอาร์เตมิส ก็ทรงจันทรยานเทียมม้าขาวปลอด ดั่งสีนม พเนจรไปในห้วงเวหา ผ่านดวงดารา ซึ่งต่างก็ทอแสงจ้าระยิบระยับรับตลอดทาง


อาร์เตมิส เป็นเทวีที่มีอุปนิสัยโหดเหี้ยมและดุร้าย น่าแปลกที่ชาวกรีกกลับให้ความเคารพนับถือเทวีเป็นอันมาก ตำนานหลายฉบับ กล่าวไว้ตรงกันว่า นางมักลงโทษผู้ที่ทำให้ขุ่นเคืองอย่างรุนแรง มีผู้เคราะห์ร้ายหลายรายถูกเทวี ลงโทษอย่างน่าสยดสยอง ดังเรื่องราว 2-3 เรื่องต่อไปนี้

วันหนึ่งเมื่อเทวีอาร์เตมิสทรงจันทรยาน ดำเนินไปตลอดราตรีกาลแล้ว จึงถือศรคู่หัตถ์ลงจากรถออกล่าสัตว์ป่า มีนางอัปสรบริวาร ติดสอยห้อยตามดุจเคย เวลาบ่ายหนึ่งในฤดูร้อนภายหลังที่เที่ยวตามสัตว์ ด้วยความตื่นเต้นเป็นเวลานานผิดกว่าเคย เทวีกับบริวาร ก็พากันมาถึงหนองน้ำนิ่งแห่งหนึ่งแห่งลำเนาเขา น้ำใสเย็น แพรวพราย ชวนให้ลงสรงสนาน เทวีและบริวารทั้งปวง จึงพากันเปลื้องเครื่องทรง ชุดล่าสัตว์ ลงเล่นน้ำเป็นที่สำราญยิ่งนัก แต่วันนั้น เทวีและบริวารใช่จะเป็นพรานคณะเดียวที่ออกล่าสัตว์ก็หาไม่ ยังมีนายพรานชื่อ แอคเตียน (Actaeon) ออกเที่ยวล่าสัตว์หาเนื้อ อีกคนหนึ่งด้วย พอเวลาบ่ายตะวันชาย แอคเตียน เหน็ดเหนื่อยโรยกำลัง และกระหายน้ำ จึงมุ่งหน้า มายังหนองน้ำแห่งนี้เหมือนกัน ในขณะที่เข้าไปใกล้หนองน้ำนั้น แอคเตียนแว่วเสียงสำรวล สรวลดัง มาจากหนองน้ำแต่ไกล จึงย่องเข้าไปอย่างระมัดระวัง เมื่อถึงระยะพอมองเห็น เขาก็ค่อยบรรจง แหวกกิ่งไม้ใบหนา แง้มมองดู เห็นเทวีอาร์เตมิส กับบริวารสรงน้ำอยู่ เป็นภาพที่ไม่เคยมีมนุษย์คนใด มีโอกาสได้พบเห็นซักครั้งหนึ่งเลย ในขณะนั้นเอง เทวีซึ่งสันทัดจัดเจนกับความเป็นไปในราวป่า ได้สดับเสียงใบไม้ไหว เหลียวขวับมาเพื่อจะดูให้แน่ใจว่าเสียงนั้นเกิดจากเหตุใด ก็ประสบสายตาจ้องมองอย่างตะลึงพรึงเพริด ของนายพรานหนุ่มผู้พิศวง เทวีโกรธนักที่เจ้าหนุ่มบังอาจละลาบละล้วง จึงกอบน้ำด้วยอุ้งหัตถ์ ซัดสาดตรงไปยังใบหน้าของเจ้าหนุ่มทันที พอหยดน้ำกระทบหน้าเจ้าหนุ่ม เขาก็รู้สึกตัวว่าร่างของเขากลายเปลี่ยนเป็นกวางไปเสียแล้ว พร้อมกับมีเขางอกขึ้นแผ่กิ่งก้านสาขางามสะพรั่งให้รู้สึกเสียใจนัก ในขณะที่เขายืนนิ่งงันในรูปกวางอยู่ ณ ที่นั้นเอง ก็แว่วเสียง สุนัขล่าเนื้อ ของเขาเอง เห่าอยู่ในที่ไกลเที่ยวตามหานาย แอคเตียนสะดุ้งตกใจ จึงขยับออก จะวิ่งหนีเข้าป่า แต่อนิจจา ช้าไปเสียแล้ว ฝูงสุนัขเห็นเขาเข้าแล้ว มันพากัน วิ่งกรูตามกระชั้นเข้าไปเป็นพรวน กวางแอคเตียนเจ้ากรรม พยายามโกยหนีสุดกำลัง แต่ไม่พ้น พอล้มฮวบลงกับพื้นเพราะอิดโรย สุนัขทั้งฝูงก็กระโจนเข้ารุมงับคอหอย ถึงแก่ความตายอยู่กับที่ตรงนั้นนั่นเอง


นกาลครั้งหนึ่งยังมีนายพรานร่างกำยำทรงพลังยิ่งคนหนึ่ง ชื่อว่า โอไรออน (Orion) กำเนิดอันแท้จริงของเขาไม่มีประวัติแน่ชัด หากแต่ถือกันว่าเขาเป็นบุตรของเทพเจ้าแห่งทะเลโปเซดอน (เนปจูน) และสามารถลุยทะเลลึก บางคน ก็ว่าเดินไปบนพื้นน้ำทะเลได้ในเวลากลางวัน โอไรออนออกเที่ยวตระเวณไป ตามราวป่าตลอดวัน มีสุนัขที่แสนซื่อ ชื่อว่า ซิริอัส (Sirius) ตามติดสอยไปด้วย วันหนึ่งเขาได้พบกับนางอัปสรทั้ง 7 เรียกว่า พลียาดีส (Pleiades) ที่กลางป่า ให้บังเกิดความเสน่หา จึงตามนางเหล่านั้นไปอย่างฉับพลัน แต่นางอัปสรก็เร่งหนี จนกระทั่งอ่อนกำลังจวนเจียนจะไม่พ้น นางเหล่านั้นจึงขอร้องให้ เทวีอาร์เตมิสช่วย เทวีก็โปรดช่วยดังที่เคยโปรดแก่บริวารเสมอ เพราะฉะนั้นเมื่อโอไรออน กระหืดกระหอบตามไปทันก็พลันได้เห็นนกพิราบสีขาวดังหิมะ 7 ตัว บินขึ้นสู่ฟากฟ้าพอดี ในฟากฟ้านกพิราบทั้ง 7 เปลี่ยนไปอีกด้วยอำนาจบันดาลของเทวีอาร์เตมิส กลายเป็นกลุ่มดาวซึ่งเรียกว่า พลียาดีส เปล่งประกาย ระยิบระยับเรืองโรจน์ แต่เมื่อกรุงทรอยเสียแก่ข้าศึกนั้น ดาวกลุ่มนี้สลัวลงด้วยความเศร้า และดวงหนึ่ง ซึ่งมีอารมณ์แรงกว่าเพื่อน ถึงแก่มืดมัวลับจากสายตาไป เพื่อซ่อนตัวให้พ้นตาคน

ฝ่ายโอไรออนแม้ไม่สมหวังก็มิได้เสียใจนานนัก ต่อมาเขาก็ผูกสมัครรักนาง มิโรปี (Merope) ธิดาท้าว อีโนเปียน (Oenopion) เจ้าครองเกาะไคออส (Chios) โดยความมุ่งมั่นที่จะวิวาห์ด้วยกับนาง โอไรออนอุตส่าห์ล่าสัตว์ป่าเสียจนเตียนไปทั้งเกาะ เอาสัตว์ที่ล่าได้เป็นกำนัลแด่สาวเจ้าและบิดา แต่เมื่อโอไรออนออกปากขอนางมิโรปีต่อบิดาของนางทีใด บิดานางก็ผัดไปทุกที โอไรออนนั้นมีนิสัยวู่วามไม่อดทนในการที่จะต้องคอยเรื่อยไป ไม่มีกำหนดเวลาเช่นนี้ เขาจึงตัดสินใจที่จะรวบรัดด้วยวิธีฉุดคร่านางมิโรปีด้วยกำลังหักหาญ แทนการวิวาห์โดยเปิดเผย ซึ่งจะกำหนดกันเมื่อใดก็ไม่รู้ ฝ่ายท้าวอีโนเปียนรู้ทันจึงจัดการตัดไฟแต่ต้นลมเสียก่อน โดยมอมเหล้าโอไรออนจนเมาทำให้ตาบอด แล้วเอาไปทิ้งริมทะเล โอไรออนเสียทั้งรัก ทั้งดวงตา ฟื้นตื่นขึ้นไม่รู้จะไป ณ แห่งหนใด แต่อาศัยความรู้ของนายพราน ฟังเสียงของค้อนยักษ์ไซคลอปส์ในเกาะเลมนอส (lemnos) ดั้นด้นไปจนถึงถ้ำตีเหล็กของยักษ์ ฝ่ายยักษ์ตนหนึ่งมีความสงสารจึงอาสาพาโอไรออน เดินไปทางทิศตะวันออก ช่วยให้ได้พบกับ สุริยเทพ อพอลโล และอาศัยแสงสว่างรักษาดวงตาให้กลับคืนเป็นปกติ

เมื่อกลับเป็นปกติดังเดิมแล้ว โอไรออนก็กลับมาล่าสัตว์อีก ตั้งแต่เช้าจนเย็นทุกวัน โดยตอนนี้เองเทวีอาร์เตมิสได้พบเขาในป่า และได้คบหาชอบพอกันมาก อพอลโล เห็นท่าไม่ชอบกลในมิตรภาพ ทั้งนี้เกรงว่าภคนีเทวีจะกลับสัตย์ปฏิญาณที่ตั้งไว้เดิม ว่าจะครองความเป็นพรหมจารีตลอดไปนั้นเสีย จึงคิดอุบายให้มิตรภาพนั้นยุติลงอย่างเด็ดขาด
วันหนึ่งอพอลโล เห็นโอไรออนเดินลุยทะเล โผล่หัวอยู่เหนือพื้นน้ำ จึงเรียกอาร์เตมิสเข้าไปและชวนคุยเรื่องฝีมือธนูศิลป์ จนอาร์เตมิสตายใจ ว่าแล้วอพอลโล ก็ท้าให้อาร์เตมิสลองฝีมือ โดยให้ลองยิงอะไรที่ลอยอยู่เหนือพื้นน้ำทะเลดูว่าจะถูกหรือไม่ ฝ่ายเทวีขมังธนูก็ยิงธนูออกไปฉับพลัน หาเฉลียวใจไม่ว่าอะไรดำ ๆ นั้นคือ หัวของโอไรออน ลูกธนูถูกเป้าหมายอย่างแม่นยำ ครั้นคลื่นซัดสาดโอไรออนเข้าฝั่ง เทวีอาร์เตมิสจึงรู้ว่าได้ทำอะไรลงไป จึงรู้สึกเศร้าเสียดายเป็นอย่างมาก เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเทวีจึงแปลงโอไรออน กลายเป็นกลุ่มดาว พร้อมด้วย สายรัดเอว ดาบ และ กระบองคู่มือของเขา อยู่ในท้องฟ้าต่อจากกลุ่มดาวพลียาดีส และแปลงสุนัขของเขา ให้กลายเป็น ดาวซิริอัส อยู่ท้ายกลุ่มดาวโอไรออนด้วยตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

เรื่องราวนายพรานโอไรออนนั้น มีบางตำนานกล่าวถึงการตายของนายพรานหนุ่มคนนี้แตกต่างกันออกไป กล่าวคือ ขณะที่ไปล่าสัตว์ด้วยกัน โอไรออนเกิดไปสัมผัสถูกกายของเทวีอาร์เตมิสเข้า ความที่ไม่ยอมให้ชายใดเข้าใกล้ เทวีเผลอตัวลงโทษบุรุษคนแรกที่บังอาจสัมผัสกายเทวีทันที โทษที่อาร์เตมิสบันดาลให้เป็นไปนั้น มาในรูปของแมงป่องพิษ ที่โผล่ขึ้นจากใต้ดิน มากัดข้อเท้าของโอไรออน อันเป็นเหตุให้ นายพรานอาภัพผู้นี้ ล้มลงสิ้นใจตาย

เนื่องด้วยเทวีอาร์เตมิส รังเกียจการวิวาห์ ถือครองพรหมจารี นอกจากนางจะไม่รัก ไม่วิวาห์แล้ว เทวีเองยังบังคับให้ บริวารของตนไร้รัก และไร้คู่ ตามไปด้วย หากผู้ใดฝ่าฝืนถูกพิษรักเข้าให้ ก็จะถูกเทวีอาร์เตมิสลงโทษอย่างทารุณ ดั่งเช่น นางคัลลิสโต นางสวยงามจนซุส แอบหลงรักจึงใช้เล่ห์เพทุบาย จำแลงองค์เป็นอาร์เตมิสเข้าไปคลอเคลียใกล้ ๆ พอเทวีอาร์เตมิสรู้เข้าก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ไม่ยักโกรธเทพพระบิดาผู้ก่อเหตุ กลับหันไปเล่นงาน คัลลิสโตผู้น่าสงสาร ด้วยการใช้ธนูยิงนางจนมอดม้วยสิ้นใจไป

แก้ไขล่าสุดโดย พริกหวาน เมื่อ Tue Oct 29, 2013 20:15, ทั้งหมด 1 ครั้ง
My Locker
ออฟไลน์
นักบอล ดิวิชั่น 1
Status:
เข้าร่วม: 04 Sep 2013
ตอบ: 8089
ที่อยู่: Ok,bye!
โพสเมื่อ: Tue Oct 29, 2013 20:16
ต่อ
นอกจากนี้ยังมีเรื่องเศร้าอีกเรื่องก็คือ ในคืนหนึ่ง ขณะที่เทวีอยู่เหนือแว่นแคว้นแดนคอเรีย พลันเทวีก็แลเห็น หนุ่มน้อยคนหนึ่ง นอนหงายหน้าอาบแสงเดือนอันอ่อนละมุนอยู่ริมเขา เจ้าหนุ่มนี้คือคนเลี้ยงแกะรูปงามชื่อ เอนดิเมียน (Endymion) กำลังอยู่ในอาการเคลิ้มหลับ ความงามของเจ้าหนุ่มเมื่อต้องแสงจันทร์ เป็นที่พิสมัยแก่เทวีอาร์เตมิสนัก เทวีอดรัญจวนไว้มิได้ จึงยอรถให้หยุดฉับพลัน แล้วลงจากรถลอยเลื่อนลงมาจุมพิตริมฝีปากเผยอน้อย ๆ ของเจ้าหนุ่มเบา ๆ แล้วลอยเลื่อนกลับไป ในขณะนั้นเองเอนดิเมียนฟื้นตื่น แต่จิตยังอยู่ในภวังค์ ค่อยลืมเปลือกตาขึ้นอย่างปรือ ๆ เห็นภาพคลับคล้ายคลับคลาพึงพิศวง บัดดลก็สะดุ้งตื่นลุกขึ้นขยี้ตาเหลียวมองรอบข้าง ครั้นเห็นดวงจันทร์กำลังลอยเลื่อนอยู่ในฟากฟ้า ก็นึกแน่ว่าเหตุที่ประสบกับตนเป็นแค่ความฝันเท่านั้น แต่ความฝันก็แสนจะดื่มด่ำใจเสียยิ่งกระไร หวังจะได้ฝันเห็นดังนั้นอีกครั้งหนึ่ง เอนดิเมียนฝังใจในความฝันนั้นหนักหนาเที่ยวซอกซอนค้นหาเทพธิดาในฝัน ไปตามที่ต่าง ๆ แม้กระทั่งในทะเลลึก ฝ่ายอมรเทพทั้งปวงรู้ความเสน่หา ที่เทวีมอบให้เอนดิเมียน ก็พากันพิศวงสนเท่ห์ยิ่งนัก เพื่อตัดหนทางที่จะทำให้เกิดเรื่องอื้อฉาว ซุสจึงบังคับเอนดิเมียน ให้เลือกเอาว่าจะยอมตายด้วยวิธีหนึ่ง ตามแต่จะพึงประสงค์ หรือจะยอมนอนหลับโดยไม่มีเวลาตื่นในถ้ำแห่งหนึ่งบนยอดเขาแลตมัส (Latmus) เอนดิเมียน เลือกเอาประการหลัง และ ณ ที่นั้นคนโบราณเขาเชื่อว่า เอนดิเมียน คงนอนหลับตลอดกาล โดยเทวีอาร์เตมิสผู้ซื่อสัตย์แวะเวียนไปเยือนเจ้าหนุ่มทุกคืน และเฝ้าดูแลฝูงแกะ ที่เจ้าหนุ่มทอดทิ้งไป เพื่อค้นหาเทวีให้อีกด้วย

รูปสลักของเทวีอาร์เตมิสของชาวกรีก เป็นหญิงสาวอรชรแต่แข็งแกร่ง แต่งกายไม่เหมือนเทวีองค์อื่น ๆ โดยนุ่ง กระโปรงสั้นเหนือเข่า ทั้งนี้เพื่อสะดวกในการล่าสัตว์นั่นเอง อาวุธที่โปรดปราน คือ ธนู มีหมีเป็นสัญลักษณ์ อุปนิสัยดี ๆ ในองค์ เทวีเท่าที่ค้นพบคือ ความรักในดนตรี และ เล่นดนตรีต่าง ๆ ได้ไพเราะ เทวีชอบการร้องเพลง และเต้นรำ เหมือนน้องชาย คือ เทพอพอลโล นั่นเอง

My Locker
ออฟไลน์
ซุปตาร์ยูโร
Status:
เข้าร่วม: 03 Nov 2010
ตอบ: 6384 (บอร์ดเก่า 2265)
ที่อยู่: ณ เวลาที่หิมะไม่ตกในประเทศไทย
โพสเมื่อ: Tue Oct 29, 2013 20:40
ท่านพริกหวานจัดหนักเลยแหะ
Rain & man Utd


ชมรมคลังความรู้ประวัติศาสตร์ - นิยายทั่วทุกมุมโลก คับผม
http://www.soccersuck.com/clubs/detail/64

[url=https://img.soccersuck.com/image/XuxaK8]
My Locker
ออฟไลน์
นักบอล ดิวิชั่น 1
Status:
เข้าร่วม: 04 Sep 2013
ตอบ: 8089
ที่อยู่: Ok,bye!
โพสเมื่อ: Tue Oct 29, 2013 23:49
Falcon_pee V 0.1 พิมพ์ว่า:
ท่านพริกหวานจัดหนักเลยแหะ  

ชอบเทพสาวๆอะครับ
My Locker
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
เข้าร่วม: 20 Apr 2009
ตอบ: 1067
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Oct 30, 2013 00:03
ขอบคุณที่ให้ร่วมชมรมครับ ผมเอสครับ
My Locker
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status:
เข้าร่วม: 05 Sep 2013
ตอบ: 948
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Oct 30, 2013 00:24
stephen123 พิมพ์ว่า:
ขอบคุณที่ให้ร่วมชมรมครับ ผมเอสครับ  


ดีครับเอส เป็นพี่ชายลูฟี่ป่าว
My Locker
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
เข้าร่วม: 20 Apr 2009
ตอบ: 1067
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Oct 30, 2013 00:30
KilyGonzalez พิมพ์ว่า:
stephen123 พิมพ์ว่า:
ขอบคุณที่ให้ร่วมชมรมครับ ผมเอสครับ  


ดีครับเอส เป็นพี่ชายลูฟี่ป่าว  


ไม่ได้เป็นครับ
My Locker
ออฟไลน์
ซุปตาร์ยูโร
Status:
เข้าร่วม: 03 Nov 2010
ตอบ: 6384 (บอร์ดเก่า 2265)
ที่อยู่: ณ เวลาที่หิมะไม่ตกในประเทศไทย
โพสเมื่อ: Wed Oct 30, 2013 01:20
stephen123 พิมพ์ว่า:
ขอบคุณที่ให้ร่วมชมรมครับ ผมเอสครับ  


ยินดีคับสมาชิกเยอะเฮฮาดีคับ
Rain & man Utd


ชมรมคลังความรู้ประวัติศาสตร์ - นิยายทั่วทุกมุมโลก คับผม
http://www.soccersuck.com/clubs/detail/64

[url=https://img.soccersuck.com/image/XuxaK8]
My Locker
ออฟไลน์
นักเตะกลางซอย
Status:
เข้าร่วม: 10 Jul 2008
ตอบ: 1603 (บอร์ดเก่า 8372)
ที่อยู่: Anfield
โพสเมื่อ: Wed Oct 30, 2013 10:31
stephen123 พิมพ์ว่า:
KilyGonzalez พิมพ์ว่า:
stephen123 พิมพ์ว่า:
ขอบคุณที่ให้ร่วมชมรมครับ ผมเอสครับ  


ดีครับเอส เป็นพี่ชายลูฟี่ป่าว  


ไม่ได้เป็นครับ  


แล้วไป นึกว่าผีมาเล่นบอร์ด
My Locker
ออฟไลน์
ซุปตาร์ยูโร
Status:
เข้าร่วม: 03 Nov 2010
ตอบ: 6384 (บอร์ดเก่า 2265)
ที่อยู่: ณ เวลาที่หิมะไม่ตกในประเทศไทย
โพสเมื่อ: Wed Oct 30, 2013 10:59
22nd พิมพ์ว่า:
stephen123 พิมพ์ว่า:
KilyGonzalez พิมพ์ว่า:
stephen123 พิมพ์ว่า:
ขอบคุณที่ให้ร่วมชมรมครับ ผมเอสครับ  


ดีครับเอส เป็นพี่ชายลูฟี่ป่าว  


ไม่ได้เป็นครับ  


แล้วไป นึกว่าผีมาเล่นบอร์ด  


เข้าแก็บเลยน่ะคับผมทำเกี่ยวกับเรื่องโจรสลัดพอดีหุหุหุ
Rain & man Utd


ชมรมคลังความรู้ประวัติศาสตร์ - นิยายทั่วทุกมุมโลก คับผม
http://www.soccersuck.com/clubs/detail/64

[url=https://img.soccersuck.com/image/XuxaK8]
My Locker
ออฟไลน์
ซุปตาร์ยูโร
Status:
เข้าร่วม: 03 Nov 2010
ตอบ: 6384 (บอร์ดเก่า 2265)
ที่อยู่: ณ เวลาที่หิมะไม่ตกในประเทศไทย
โพสเมื่อ: Wed Oct 30, 2013 11:10
Edward “Blackbeard” Thatch จอมโจรสลัดเคราดำ ตอนที่ 3
พักพิงที่ North Carolina

หลังจากแยกทางกับ Bonnet มาได้ Thatch ได้พาลูกเรือที่เหลือเดินเรือต่อไปทางเหนือ แต่ว่าก่อนจะเดินทางขึ้นเหนือไปเขาตัดสินใจนำเอาลูกเรืออีก 25 คนไปทิ้งไว้บนเกาะทรายเล็ก ๆ ซึ่งเกาะนี้อยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่ประมาณ 3 ไมล์ ที่ทำเช่นนี้เพราะว่าเขาอาจจะรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับการประท้วงของลูกเรือทั้ง 25 คนนี้ก็เป็นได้ หลังจากนั้นประมาณ 2 วัน Bonnet ก็ได้มาพาลูกเรือที่ถูกทิ้งไว้นี้ขึ้นเรือไป ส่วน Thatch ล่องเรือต่อไปยัง Bath ที่ซึ่งครั้งหนึ่ง Bonnet เคยขอเข้ารับสารพระราชทานอภัยโทษจากผู้ว่าการ Eden ก่อนจะตัดสินใจละทิ้งสารไปในเดือนกรกฎาคม 1718




Thatch ตั้งรกรากทางด้านตะวันออกของ Bath ที่ Plum Point ใกล้ ๆ กับที่พักของผู้ว่าการ Eden ในช่วงเดือนกรกฎาคมและเดือนสิงหาคมเขาเทียวไปเทียวมาระหว่างที่พักกับเรือ sloop ของเขาที่อยู่ที่ Ocracoke อยู่บ่อย ๆ บันทึกของ Johnson กล่าวว่า Thatch แต่งงานกับลูกสาวเจ้าของไร่แห่งหนึ่งที่นั่น แต่ว่าไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ผู้ว่าการ Eden อนุญาตให้ Thatch ล่องเรือไปยัง St Thomas ได้ในฐานะนักเดินเรือธรรมดา และเขาก็ได้ตั้งชื่อเรือ sloop ของเขาขึ้นใหม่ว่า Adventureในช่วงปลายเดือนสิงหาคมเขาก็กลับไปเป็นโจรสลัดอีก ซึ่งในเดือนเดียวกันนั้นเองผู้ว่าการประจำ Pennsylvania จึงออกหมายจับเขา แต่ว่า Thatch ก็พาเรือออกไปถึงอ่าว Delaware ซึ่งห่างไกลจากที่นั่นประมาณหนึ่ง เขาสามารถยึดเรือฝรั่งเศสได้ 2 ลำ จากนั้นเขาจึงนำลูกเรือลำหนึ่งย้ายไปไว้ที่เรืออีกลำ และนำเรืออีกลำกลับไปยัง Ocracoke เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเดือนกันยายน เขาบอกกับผู้ว่าการ Eden ว่าเขาพบเรือฝรั่งเศสลำหนึ่งถูกทิ้งร้างไว้ในทะเล ศาลทหารเรือจึงได้เปิดประชุมถึงเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนโดยประธานขององค์ประชุมคือ Tobias Knight พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ศุลกากรจำนวนหนึ่ง เรือลำนี้ถูกตัดสินว่าเป็นเรือที่ถูกทิ้ง น้ำตาลจำนวนกว่า 20 โอ่งhogshead (hogshead เป็นหน่วยวัดของอังกฤษ 1 hogshead มีค่าประมาณ 238 ลิตร) ถูกยกให้เป็นรางวัลแก่ Tobias Knight และอีก 6 โอ่งถูกยกให้ผู้ว่าการ Eden ส่วนของอย่างอื่นที่เหลือในเรือถูกยกให้ Thatch

พบ Charles Vane

ดูเหมือนว่าอ่าว Ocracoke จะเป็นสถานที่ที่ Thatch ชื่นชอบเสียเหลือเกินเนื่องจากเขามาที่นี่บ่อยครั้ง และจุดนี้ก็ทำให้เขาได้เห็นเรือเดินทางผ่านไปมาได้อย่างสะดวก รวมทั้งยังได้พบกับผู้มาเยือนคนใหม่ที่ตั้งใจล่องเรือตรงมายังที่ที่เขาอยู่ บุคคลผู้นั้นคือ Charles Vane โจรสลัดชาวอังกฤษอีกคนหนึ่ง หลายเดือนก่อนหน้านี้ Charles Vane ได้ปฏิเสธการรับสารพระราชทานอภัยโทษจากผู้ว่าการ Woodes Rogers และหนีออกมาจากเรือ Man of War รวมทั้งกำลังหนีจากการตามล่าจากอดีตสหายเก่าของ Thatch และอดีตโจรสลัดผู้ซึ่งผันตัวไปเป็นนักล่าโจรสลัด Benjamin Hornigold Thatch และ Vane ใช้เวลาคุยกันอยู่หลายคืนโดยมีผู้ร่วมประชุมคือ Israel Hands , Robert Deal และ Calico Jack

ความอดทนของ Alexander Spotswood

ข่าวการพบกันของสองโจรสลัดผู้น่าเกรงขาม Blackbeard และ Charles Vane แพร่กระจายออกไปยังเมืองอาณานิคมที่อยู่ใกล้เคียงกัน สร้างความไม่สบายใจให้กับผู้ว่าการแห่ง Pennsylvania ที่ก่อนหน้านี้ได้ส่งเรือออกไปสองลำเพื่อตามล่าโจรสลัดแต่ไม่ประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ข่าวนี้ยังสร้างความไม่สบายใจให้กับท่านผู้ว่าการ Alexander Spotswood ผู้ว่าการแห่ง Virginia ด้วยเหมือนกัน อดีตลูกเรือของ Thatch หลาย



คนได้ย้ายมาอยู่ใกล้ ๆ กับ North Carolina บางคนก็ย้ายไปตั้งถิ่นฐานที่ Virginia นั่นทำให้ผู้ว่าการ Spotswood ต้องออกประกาศฉบับใหม่ในวันที่ 10 กรกฎาคม เรื่องการออกกฎห้ามไม่ให้เหล่าอดีตโจรสลัดถือครองอาวุธทุกชนิด และห้ามมีเรือรวมกลุ่มกันเกิน 3 ลำ

ในฐานะเป็นผู้นำคณะประเทศอาณานิคม Spotswood ดูจะไม่โสภากับการปกครองของสภาผู้ปกครองแห่ง North Carolina เท่าใดนัก เขาเคยมีความเชื่อว่าชาว Carolina น่าจะควบคุมพวกโจรสลัดได้ แต่ว่าการกระทำของโจรสลัดในบริเวณนั้นส่งผลกระทบต่อการค้าในแถบ Virginia ทำให้เหล่าพ่อค้าแห่ง Virginia ไม่อาจทำการค้าได้อย่างปกติสุข

ผู้ว่าการ Spotswood ทราบว่า William Howard อดีตรองกัปตันของเรือ Queen Anne’s Revenge อดีตลูกเรือคนสำคัญของ Blackbeard อาศัยอยู่ที่ Virginia ด้วยท่านผู้ว่าการเชื่อว่า Howard น่าจะรู้ว่า Thatch อยู่แถวไหน เนื่องด้วยผู้ว่าการ Spotswood ไม่มีอำนาจสั่งในการตัดสินคดีของโจรสลัด ทำให้ John Holloway ทนายของ Howard เรียกค่าเสียหายจาก Cpt. Brand กัปตันของเรือ HMS Lyme ผู้ซึ่งจับกุม Howard มาขังไว้ นอกจากนี้เขายังฟ้องร้องเพิ่มเติมเพื่อให้ทางการจ่ายค่าปรับในข้อหาจับกุมโดยมิชอบอีก 500 ปอนด์ด้วย

คณะที่ประชุมของ Spotswood อ้างว่า การกระทำของ Thatch นับว่าเป็นการกระทำผิดภายใต้กฎหมายของพระเจ้า William ที่ 3 ท่านผู้ว่าการจึงได้รับการแต่งตั้งให้พิจารณาคดีของ Howard โดยไม่ต้องมีคณะลูกขุนเข้าร่วมพิจารณาคดี เมื่อการพิจารณาคดีสิ้นสุด Howard ถูกตัดสินว่ามีความผิดจึงถูกสั่งประหารชีวิต แต่ว่าเขาได้รับการไว้ชีวิตด้วยหมายละเว้นโทษจาก London ซึ่งส่งตรงไปยัง Spotswood หมายละเว้นโทษมีใจความว่าให้นิรโทษกรรมแก่เหล่าโจรสลัดทั้งหมดที่มีความประสงค์ขอยอมจำนนก่อนวันที่ 23 กรกฎาคม 1718

ในเวลานั้นผู้ว่าการ Spotswood ได้ล้วงข้อมูลอันมีค่าเกี่ยวกับเรื่องที่อยู่อาศัยของ Thatch มาจาก Howard ท่านผู้ว่าการจึงวางแผนในการจัดส่งกำลังทหารออกไปตามแนวชายแดน North Carolina เพื่อจับกุม Thatch ท่านผู้ว่าการยังได้รับการสนับสนุนให้เอาผิดกับสมาชิกสภาปกครองแห่ง North Carolina ทั้งสองคนได้แก่ Edward Moseley และผู้พัน Maurice Moore นอกจากนี้ท่านผู้ว่าการยังได้เขียนคำร้องไปยังคณะกรรมาธิการการค้าด้วยว่าราชวงศ์อาจได้รับประโยชน์จากการจับกุม Thatch ด้วยเช่นกันเขาเชื่อว่า Thatch น่าจะมีทรัพย์สมบัติอยู่มาก เมื่อเห็นดังนั้นท่านผู้ว่าการจึงได้สั่งการไปยังกัปตันเรือหลวงทั้งสองลำคือ เรือหลวง HMS Pearl บัญชาการโดย Cpt. Gordon และ HMS Lyme บัญชาการโดย Cpt. Brand ให้มุ่งหน้าไปยัง Bath และให้เรือเอก Robert Maynard บัญชาการเรือเพิ่มอีก 2 ลำ เพื่อเข้าร่วมปฏบัติการในการจับกุมครั้งนี้ด้วย

ปฏิบัติการตามล่า Blackbeard

ในวันที่ 17 พฤศจิกายน เรือเอก Maynard ได้ลูกเรือให้มาอยู่ภายใต้บัญชาการเพิ่มเติม 57 นาย 33 นายมาจาก HMS Pearl และ 24 นายมาจาก HMS Lyme เรือเอก Maynard ได้นำกำลังส่วนใหญ่จาก HMS Pearl ไปประจำการบนเรือลำใหญ่กว่าและตั้งชื่อเรือลำใหญ่นั้นว่า Jane และให้ลูกเรือที่เหลือไปประจำการบนเรืออีกลำและตั้งชื่อเรือลำนั้นว่า Ranger โดยเรือลำนี้บัญชาการโดยนายทหารของเขานายหนึ่ง พวกเขาพาเรือล่องไปตามแม่น้ำ James เรือ sloop ทั้งสองลำค่อย ๆ ล่องไปตามแม่น้ำอย่างช้า ๆ เพื่อให้เวลากับเรือของ Cpt. Brand ไปถึง Bath ได้ทันเวลา Cpt. Brand เดินเรือมาถึงที่ North Carolina 6 วันหลังจากนั้นและทอดสมออยู่ห่างจากชายฝั่งของ Bath ประมาณ 3 ไมล์ ในหมู่ลูกเรือของ Cpt. Brand มีลูกเรือท้องถิ่นชาว Carolina อยู่ด้วยนั่นคือ ผู้พัน Moore และ Cpt. Jeremiah Vail เนื่องจากเป็นคนในพื้นที่ทำให้ง่ายต่อการเข้าไปปะปนกับฝูงชนและคอยรายงานความเคลื่อนไหวกลับไปส่วน Cpt. Brand ตรงเข้าไปพูดคุยกับผู้ว่าการ Eden โดยตรงเกี่ยวกับเรื่องนี้ วันต่อมา Cpt. Brand ได้ส่งเรือแคนู 2 ลำล่องไปตามแม่น้ำ Pamlico และออกไปยังอ่าว Ocracoke เพื่อดูว่า Thatch อยู่ที่นั่นหรือไม่ แต่เมื่อไปถึงที่นั่นก็ไม่พบอะไร



อิอิขอค้างไว้เท่านี้ก่อนน่ะคับไว้จะมาต่อเรื่องจบในรอบหน้าจร้าหุหุหุ

Cr:http://krezeegamer.wordpress.com/2013/09/10/edward-blackbeard-thatch-3/
แก้ไขล่าสุดโดย Falcon_pee V 0.1 เมื่อ Fri Nov 01, 2013 20:36, ทั้งหมด 1 ครั้ง
Rain & man Utd


ชมรมคลังความรู้ประวัติศาสตร์ - นิยายทั่วทุกมุมโลก คับผม
http://www.soccersuck.com/clubs/detail/64

[url=https://img.soccersuck.com/image/XuxaK8]
My Locker
ออฟไลน์
นักเตะท้ายซอย
Status:
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 825 (บอร์ดเก่า 193)
ที่อยู่: Old trafford
โพสเมื่อ: Wed Oct 30, 2013 15:04
มาแนวโจรเลยนะคับท่านพีร์ ช่วงนี้



ชมรมคลังความรู้ประวัติศาสตร์ - นิยายทั่วทุกมุมโลก คับผม
http://www.soccersuck.com/clubs/detail/64
My Locker
1, 2, 3 ... 7, 8, 9 ... 13, 14, 15
ไปที่หน้า
GO
ดูทีวีย้อนหลัง
แสดงความเห็น