BLOG BOARD_B
ติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Email: sale@soccersuck.com
ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออฟไลน์
กลุ่มสมาชิกหัวรุนแรง
Status: อุธัจ
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 13 Mar 2025
ตอบ: 48
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sun Apr 20, 2025 19:34
วิจารณ์เรื่องสั้นการเมืองญี่ปุ่นให้หน่อยครับ (ขบวนการนักศึกษายุค 50's)
กด Spoil เพื่ออ่านได้เลยครับ

Spoil



ผมยังจำหมวกผ้าบุนวมอันแสนจะไร้ค่าที่เราสวมไว้ป้องกันการโจมตีทางอากาศได้
เราล้วนเคยเป็นเด็กน้อยที่อาจหายตัวไปในกองเพลิง
ขณะวิ่งหนีออกมาจากม่านควันหนาทึบอย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง

ตอนเจ็ดขวบผมเคยตื่นขึ้นมารับรู้รสชาติของการตกนรกทั้งเป็น
ปวดแสบปวดร้อนเหมือนถูกโยนลงน้ำมันเดือด
เวลาคุณป้าคอยคีบเศษผ้าที่ยังติดอยู่กับเนื้อผมที่มีแผลพุพองหนองแตก
ผิวหนังบางส่วนของผมจะหลุดลอกออกมาด้วย
ถึงจะปวดแสบราวกับถูกมีดกรีด ผมก็กัดฟันอดทนอย่างไม่ยอมถอยหนี

เคราะห์กรรมเช่นนี้กลายเป็นเรื่องที่พบได้ในชีวิตประจำวันจนเราชาชินกับมัน
ทว่าในปัจจุบันความโกลาหลในโลกการเมืองกำลังชักนำให้อดีตหวนกลับมาหลอกหลอนเราอีกครั้ง

จากระเบียงหอพัก ผมมองลงไปเห็นกลุ่มผู้ประท้วงเดินขบวนมุ่งตรงไปยังหัวหาดรัฐสภา
เมื่อเรามองจากมุมสูงคล้ายดูฝูงลูกเป็ดเดินตามแม่ในสารคดีชีวิตสัตว์โลก
ศีรษะประดิษฐ์เป็นโครงหน้าของนายกถูกเสียบประจานไปตามท้องถนน
คุณจะไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดคนทั้งประเทศถึงสาปแช่งนายกอย่างโกรธแค้น
หากรู้ว่านายกที่ดำรงตำแหน่งในเวลานี้เป็นอดีตอาชญากรสงครามโลก
ซึ่งเคยถูกคุมขังในคุกซูงะโมะร่วมกับนายพลโตโจ







นายกคิชิสั่งสมอำนาจในระบบพรรคได้อย่างไร
ผมคงตอบได้แค่ว่าสิ้นสุดการยึดครองของอเมริกา
ก็เปิดโอกาสให้เหล่านักการเมืองปรับปรุงตัว
ตามดุลยพินิจของอัยการ
ก็มักจะโน้มน้าวให้คนมีประวัติอาชญากรรมรับสารภาพ หากตกเป็นจำเลย
แต่ในกรณีนี้ คิชิเป็นนักการเมืองที่ฉอเลาะพวกมะกันเก่งยิ่งกว่าสาวคาบาเรต์
พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อคงไว้ซึ่งอำนาจดุจพวกเผด็จการฟาสซิสต์
จนมุสโสลินียังต้องลุกออกจากโลงมาปรบมือให้

ระหว่างที่แตะราวระเบียงอย่างเซื่องซึม
ผมเผลอก้มมองทางเท้าด้านล่าง
รู้สึกเหมือนถูกดูดให้จมดิ่งลงไป
ความเย็นยะเยือกแล่นแปลบปลาบผ่านฝ่าเท้า
ความตายวูบวาบอยู่ในจิตสำนึก
ภารกิจของผมสำเร็จลุล่วงเกือบปีขวบแล้ว
ผมนึกสงสัยว่าทำทั้งหมดไปเพื่ออะไร
ผมไม่รู้ว่าจะพยายามหาเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไม
ชั่วขณะนั้นผีเสื้อบินลอยอยู่ตรงหน้า
ผมจึงกำราวระเบียงเย็นเฉียบ เขย่งเท้าเอื้อมมือซ้ายไปคว้าจับ จนเผลอยืดตัวไปนอกระเบียง

ทันใดนั้นแขนขวาผมถูกใครบางคนกระชากกลับเข้ามา

“บ้าไปแล้วหรือคะ!”
สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มหอบหายใจด้วยความตื่นกลัว มีนามว่ามัตสึไดระ มิตสึโฮะ
เธอเรียนอยู่คณะรัฐศาสตร์และดำรงตำแหน่งเลขาธิการของกลุ่มคาคุเกียวโด

ชะตาของผมไม่เคยถึงฆาตเลยสักครั้ง
เหมือนมีบางอย่างที่มองไม่เห็นกีดกันไม่ให้ผมตาย

“ทำไมไม่เคาะประตูก่อน”

“หนูเคาะประตูก็แล้ว ตะโกนเรียกก็แล้ว รุ่นพี่ไม่เปิดประตูเองนี่คะ
อีกอย่างทำไมชอบมายืนตรงระเบียงนักล่ะคะ
ชอบทำคนอื่นเขาเป็นห่วงอยู่เรื่อยเลย
ว่าแต่…รุ่นพี่ได้ข่าวหรือยังคะ”

“ข่าวอะไร”

มิตสึโฮะรีบลากผมกลับเข้าห้องแล้วเปิดทีวี
เมื่อผมดูข่าวแรกของวันที่ออกอากาศทุกช่อง
ผมก็ได้เข้าใจว่าเหตุใดถึงไม่มีคำสั่งเรียกตัวผมกลับ

ศีลธรรมของคณะรัฐมนตรีเสื่อมลงด้วยการกระทำมิบังควรที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
รัฐบาลพยายามเปิดประชุมร่วมกับคณะกรรมาธิการชุดพิเศษ
ในสภาไดเอทกำลังมีการลงมติผ่านร่างสนธิสัญญาความมั่นคงร่วมฉบับใหม่
ฝ่ายค้านตอบโต้โดยกักตัวประธานสภาไม่ให้เข้าร่วมประชุม
ไม่ก็นั่งบนพื้นระเบียงปิดกั้นทางเข้าสภาผู้แทนราษฎร

กองกำลังตำรวจนับร้อยทยอยเข้ามาอุ้มฝ่ายค้านไปทีละคนสองคนอย่างทุลักทุเล
แบกหามนักการเมืองราวกับแบกเด็กงอแงอยากได้ของเล่นแต่พ่อไม่ซื้อให้
มีการโรมรันพันตูและยื้อยุดฉุดกระชากลากถูอยู่หลายชั่วโมง
การใช้กำลังของนักการเมืองเป็นภาพที่เราเห็นจนคุ้นชินไม่ต่างกับดูละครภาคบ่าย
ถ้ามีนักการเมืองตายในสภาเราคงไม่แปลกใจ
แต่จะว่าไปนับเป็นภาพที่ดูแล้วน่าอับอายขายขี้หน้าชาวโลก

“ถ้านายกให้สัตยาบันสำเร็จ อีกกี่วันสนธิสัญญาจะมีผลบังคับใช้”

“ตามเกณฑ์ของกฎหมายรัฐสภา หนึ่งเดือนต่อจากนี้ค่ะ
รัฐบาลวางแผนลงมติเห็นชอบสนธิสัญญาความมั่นคงในวันนี้
ก็เพื่อให้ทันการมาเยือนของประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์ในเดือนหน้า”

“เลียแข้งเลียขาจนสะอาดหมดจด”

“เลียแข้งเลียขายังน้อยไปค่ะ แบบนี้เขาเรียกว่าเลียยันพื้นรองเท้า
หนูว่านะคะ ตอนลับตาคน พวกมันอาจคุกเข่าอมนกเขาให้ด้วย"

"สภาประชาชนเคลื่อนไหวหรือยัง"

"พวกเขาจัดประชุมด่วนเตรียมระดมพลไปประท้วงแล้วค่ะ
แล้วเราจะเรียกแกนนำทุกคนมาประชุมเลยดีไหมคะ"

"รอดูท่าทีคณะรัฐมนตรีไปก่อน"

ผมกับมิตสึโฮะนั่งจับจ้องการถ่ายทอดสดอย่างไม่ละสายตา
ล่วงเลยไปถึงบ่ายโมง
ตำรวจก็เปิดทางให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายอนุรักษ์นิยมรีบกรูเข้าไปในสภาได้สำเร็จ

ภายในระยะเวลาเพียงแค่ยี่สิบนาที
นายกย่นย่อให้สัตยาบันท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวาย
โดยที่ฝ่ายค้านและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบางคนยังไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วยซ้ำ

ฝ่ายสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรคเสรีประชาธิปไตย
พากันอุ้มประธานสภาผู้ชราภาพมานั่งบนเก้าอี้
โดยประคองรักแร้เหมือนอุ้มลิงชิมแปนซีกลับเข้ากรงในสวนสัตว์
สองมืออันสั่นงันงกของประธานสภาผู้ชราภาพตะปบไมค์เหมือนตะปบกล้วยมาประกาศว่าสนธิสัญญาความมั่นคงผ่านมติเห็นชอบ

...ห่าเหวอะไรวะเนี่ย...



"ดูสิคะ พวกมันกัดเซาะระบบนิติรัฐแล้วยังมีหน้ามาปรบมือกันหน้าด้าน ๆ"

โลกการเมืองอันฟอนเฟะส่งกลิ่นเหม็นโฉ่ฉุนจมูก
ผมนึกอยากปรับสมดุลของกระบวนการยุติธรรม
แต่มือซ้ายผมไม่ได้ถือตาชั่งไว้พิพากษาจำเลย
มือขวาผมไม่ได้กำดาบไว้ประหัตนักโทษประหาร
ภายใต้สภาวะจิตใจบิดเบี้ยวของสัตว์สังคม
ต่างถูกครอบงำด้วยอุดมการณ์เลวทรามต่ำช้า
เหล่าเสรีชนต่างแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางการเมือง
ข้าราชการในหน่วยงานตุลาการเอย
ตำรวจเอย
คนเหล่านี้ที่ควรทำหน้าที่อย่างเป็นกลางและปราศจากอคติ
ล้วนเลือกข้างรัฐบาลทั้งนั้น
ต่อให้ผมเอาผ้ามาปิดตามันจะไปมีความหมายอะไร
เพราะหากเราเป็นกลางนั่นหมายความว่าเราได้เลือกข้างรัฐบาลที่กดขี่ข่มเหงนักศึกษา
ดูหมิ่นเจตนารมณ์ของประชาชน ดูถูกอุดมคติของประชาสังคม จนระบอบประชาธิปไตยต้องมัวหมอง

ประเด็นหมกเม็ดทางการเมืองสร้างความเดือดดาลแก่ปัญญาชนมาตลอดหลายปี
โดยเฉพาะผลตกค้างจากการตีความรัฐธรรมนูญมาตราที่เก้าที่อาจโน้มนำไปสู่สารตั้งต้นของอำนาจทางการทหาร
สาระสำคัญในสนธิสัญญาความมั่นคงได้กลายเป็นสาเหตุของปรากฏการณ์ประชาสังคมต่อต้านอำนาจรัฐ

ที่แย่ที่สุดเห็นจะเป็นรัฐบาลที่เพิกเฉยต่อพลังนักศึกษาวัยหนุ่มสาว
หลังจากเซ็งงะคุเร็งไปยื่นเรื่องกดดันรัฐบาลให้ยกเลิกสนธิสัญญาความมั่นคงหน้ารัฐสภาปีก่อน
รัฐบาลกลับทำเป็นหูหนวกตาบอด
นั่นยิ่งสร้างความขุ่นเคืองให้นักศึกษาจนนำไปสู่การเดินขบวนประท้วงกว่าสิบครั้งและนัดหยุดงาน

การประท้วงต่อต้านสนธิสัญญาความมั่นคงของเซ็งงะคุเร็งต้องมีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
อีกไม่นานเลือดของนักศึกษาอาจต้องหลั่งนอง
จนมีผู้เสียชีวิตระหว่างประท้วงเหมือนหน้าลานพระราชวังเมื่อแปดปีก่อน

ผมภาวนาไม่ให้เป็นซาโยะ
เพราะเธอเป็นหนึ่งในแกนนำกลุ่มบันด์
เป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านขยายฐานทัพของอเมริกา
ไม่ว่าใครก็เรียกเธอว่าเทพีซูนากาวะ
ซาโยะกับประธานเซ็งงะคุเร็งเป็นตัวตั้งตัวตีไปยึดอาคารในสนามบินฮาเนดะ
ขัดขวางไม่ให้นายกไปร่วมลงนามสนธิสัญญาแต่ไม่สำเร็จ
นักศึกษาแพทย์ปี่สี่คนนี้ไม่มีท่าทีเข็ดขยาดเลยสักนิด
สามปีที่ผ่านมาซาโยะเข้าออกคุกถึงหกครั้ง
ความมุทะลุทำให้ซาโยะเสื่อมเสียชื่อเสียงไปไม่น้อย

ทว่าซาโยะไม่สนใจเสียงวิจารณ์
ผมเองก็นับถือเธอที่ยึดมั่นในอุดมการณ์
ภาระของซาโยะหนักหนาสาหัสหลังตามหาแม่กับพี่สาวพบ
เธอใจสลายเมื่อรู้ว่าพวกท่านเองก็เคยตากฝนดำในวันที่ความวินาศสันตะโรจารึกไว้ถึงสาเหตุที่ทำให้สงครามยุติลง
เราทุกคนทราบดีว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองที่มีแม่น้ำเจ็ดสายไหลผ่าน
และเมืองที่มีเขาคอนปิระตั้งตระหง่าน
ผมไม่อยากเป็นตัวถ่วงหรือเพิ่มภาระให้แก่ซาโยะ จึงปลีกตัวออกมาแต่โดยดี
พี่สาวผมเองก็ดูเหมือนจะสนิทกับซาโยะ ผมเลยไม่จำเป็นต้องห่วงอะไร

"รุ่นพี่คะ นี่เป็นโอกาสให้เราเรียกคะแนนเสียงจากนักศึกษา
ทวงคืนอำนาจมาจากกลุ่มบันด์
รุ่นพี่ต้องแสดงตัวร่วมเดินขบวนจะได้ลงชิงตำแหน่งประธานรอบหน้า”

ผมแค่นยิ้มให้มิตสึโฮะแล้วเขกศีรษะเธอเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู
“เด็กโง่ ในเกมการเมืองเราไม่จำเป็นต้องอยู่บนเวทีเสมอไป”

“ผิดแล้วค่ะ โครงสร้างทางการเมืองแต่ละองค์กรไม่เหมือนกันค่ะ
อำนาจในสภานิสิตแห่งชาติผันผวนตามสถานการณ์การเมือง
หนูเข้าใจค่ะว่ามันไม่สำคัญว่าประธานจะเป็นใคร
แต่ในบรรดาสมาชิกสภานิสิตแห่งชาติ
เราจำเป็นต้องมีแกนนำคอยขับเคี่ยวกับเทพีซูนากาวะในที่ประชุม”

“เลิกหวังเถอะ ดูสภาพง่อนแง่นของกลุ่มคาคุเกียวโดสิ
แตกแยกภายใน แบ่งฝักแบ่งฝ่าย
ไม่สมัครสมานสามัคคีเหมือนกลุ่มบันด์ที่มีแนวทางการต่อต้านสนธิสัญญาอย่างชัดเจนตั้งแต่ก่อตั้งกลุ่ม
อำนาจในกลุ่มคาคุเกียวโดกระจัดกระจายไปสู่ตัวแกนนำมากจนเกินไป”

“หนูถึงต้องการให้คนที่มีคุณสมบัติผู้นำอย่างรุ่นพี่มารวมศูนย์อำนาจในกลุ่มคาคุเกียวโดของเรายังไงล่ะคะ”

“ขอบาย”

“สี่ปี…” น้ำเสียงของมิตสึโฮะสั่นเครือ “รุ่นพี่ผัดผ่อนมานานสี่ปีแล้วนะคะ
เอาแต่ให้คำแนะนำหนูอยู่หลังฉาก เอาแต่บอกว่ายังไม่ถึงเวลา
ครั้งก่อนเทพีซูนากาวะเล่นแกนนำของเรา หน้าเจื่อนกันเป็นแถบ
สองปีก่อนสมาชิกสภานิสิตก็โหวตไม่ไว้วางใจประธานของเรา จนต้องลงจากตำแหน่ง
ไหนจะซวยซ้ำซวยซ้อนแพ้การเลือกตั้งประธานให้กลุ่มบันด์ปีที่แล้ว
เชื่อหนูเถอะนะคะ แค่รุ่นพี่ยอมลงถนนไปปลุกระดม ปีนี้เราต้องชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนท่วมท้นแน่”

“ไม่ เราไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย"
ผมโกหกมิตสึโฮะ
"สนธิสัญญามีผลบังคับใช้เมื่อไร
เราก็มีโอกาสชนะการเลือกตั้งครั้งหน้า
ประธานอย่างเคนทาโร่ถูกจับเข้าคุกและงดเว้นการประกันตัว
ตอนนี้เราก็แค่รอดูการล่มสลายของกลุ่มบันด์อย่างเป็นทางการ
คุณคุโรดะเองก็คงคิดเหมือนเราถึงสั่งไม่ให้แกนนำเคลื่อนไหว
ระหว่างนี้เราควรเอาเวลาไปคิดนโยบาย
เขียนคำปราศรัยหาเสียงดีกว่าร่วมเดินขบวนประท้วง
ส่วนการประณามความล้มเหลวจากการใช้ความรุนแรง
เราไม่จำเป็นต้องทำ เพราะสื่อจะทำแทนเราเอง”




“ลืมอะไรไปหรือเปล่าคะ ผู้นำกลุ่มบันด์ตัวจริงเสียงจริงไม่ใช่รุ่นพี่เคนทาโร่
แต่เป็นเทพีซูนากาวะที่มีสภาประชาชนและคนใหญ่คนโตคอยหนุนหลัง
เธอถึงเข้าออกคุกได้อย่างกับแวะไปเที่ยวสวนสัตว์
รุ่นพี่ไม่สงสัยบ้างหรือคะว่าทำไมเดือนก่อน
เธอถึงไม่โดดขึ้นรถหุ้มเกราะกับรุ่นพี่เคนทาโร่
เพราะเธอรอโอกาสนี้อยู่ยังไงล่ะคะ
รุ่นพี่เคนทาโร่จุดประกายการประท้วง
แล้วยกหน้าที่ให้เธอราดน้ำมันลงบนกองไฟ
ตอนนี้ทุกคนเข้าใจแล้วว่า ทำไมเธอถึงต่อต้านสนธิสัญญา
แบบสุดโต่งกับรัฐบาลมาตั้งแต่แรกเริ่ม
การกระทำของรัฐบาลกำลังเพิ่มความนิยมให้เทพีซูนากาวะ
ครั้งหน้าเธอต้องลงชิงตำแหน่งประธานเซ็งงะคุเร็งอย่างแน่นอน
หนูถึงอยากให้รุ่นพี่ร่วมเดินขบวน
จากนั้นก็เสนอชื่อรุ่นพี่ลงชิงตำแหน่งประธาน”

มิตสึโฮะเป็นเด็กฉลาดหลักแหลม
เธอคาดการณ์ได้ถูกต้องแม่นยำเสมอ
ภารกิจต่อไปของผมเดาได้ไม่ยาก
ถ้าหากไม่เป็นไปตามที่มิตสึโฮะคาดการณ์
ภารกิจต่อไปของผม อาจเป็นการหยุดยั้งซาโยะ
เพราะเธอเป็นผู้ที่เหมาะสมกับตำแหน่งแกนนำของมวลชน
ในการต่อต้านสนธิสัญญาความมั่นคงที่กำลังแผ่ขยายไปทั่วทุกหัวระแหง

“เราพอจะมีหนทางชนะบ้างไหม”

“การให้สัตยาบันจะเป็นโมฆะก็ต่อเมื่อนายกประกาศยุบสภาก่อนสนธิสัญญามีผลบังคับใช้ค่ะ”

“เป็นไปไม่ได้
อย่างมากหุ่นเชิดหัวเถิกก็แค่แสดงความรักผิดชอบโดยการลาออก
การประท้วงที่ไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเสียเลือดเสียเนื้อโดยใช่เหตุ”

“รุ่นพี่เคยบอกหนูว่าถึงมันจะริบหรี่แต่อย่างน้อยก็มีความหวัง
หากรัฐบาลคิดจะข้ามหัวประชาชนก็ต้องข้ามศพเราก่อน”

ทุกถ้อยคำกลกลอนที่ผมร่ายออกมา เด็กคนนี้จำได้ขึ้นใจ ช่างน่าพิศวงโดยแท้

“รุ่นพี่มัวแต่เห็นแก่อดีตจนไม่อยากแข่งขันกับเทพีซูนากาวะใช่ไหมล่ะคะ”

ผมถลกชายเสื้อให้เธอดูแผลเป็นจากคมมีดนับสิบบนหน้าท้องผม
“คิดให้ดีก่อนแล้วค่อยพูดมันออกมา”

“ขอโทษค่ะ”
มิตสึโฮะก้มหน้าสำนึกผิดที่คาดคั้นผมมากเกินไป
“หนูปากไวใจเร็วไปหน่อย”

หลายปีที่ผ่านมา
รัฐบาลหาทางควบคุมองค์กรที่เริ่มแข็งข้อและสนิทชิดเชื้อกับพรรคการเมืองฝ่ายซ้าย
อย่างสหภาพแรงงานกับเซ็งงะคุเร็ง

พรรคเสรีประชาธิปไตยพยายามส่งนักศึกษาสังกัดตัวเองเข้ามากำหนดทิศทางในเซ็งงะคุเร็ง
กรมตำรวจก็จำกัดการเคลื่อนไหวของนักศึกษาโดยส่งสายเข้ามาทำการล่ารายชื่อเหล่าแกนนำ

ผมเป็นหนึ่งในนั้น...

เป็นเวลากว่าสี่ปีมาแล้วที่ผมได้รับคำสั่งให้แฝงตัวเป็นนักศึกษาในวิทยาลัยเอกชน
หน้าที่ของผมคือสอดแนมกลุ่มคาคุเกียวโดหรือพวกทรอยสกี้
รวมถึงจับตามองแกนนำนักศึกษาที่มีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวทางการเมือง

ด้วยชื่อเสียงในฐานะขบถสายเลือดนายทุนและสิ่งที่ผมต้องประสบในเหตุพยายามฆ่า
ทำให้ผมมีข้ออ้างคอยบงการมิตสึโฮะอยู่หลังม่าน
โดยชักใยให้เธอไต่เต้าเป็นแกนนำนักศึกษา
เพื่อลวงข้อมูลของกลุ่มคาคุเกียวโด

เด็กคนนี้ศรัทธาผมในฐานะขบถสายเลือดนายทุนจนหน้ามืดตามัว
เธอเชื่อว่าผมยังคงยึดมั่นในอุดมการณ์แต่ไม่อยากเผยตัว
ในขณะที่สายตาของคนรอบข้างนั้นมองว่าผมได้ละทิ้งอุดมการณ์ไปแล้ว
กระนั้นครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มิตสึโฮะตั้งแง่กับคำสั่งของผม

“ถามได้ไหมคะว่าทำไมรุ่นพี่ถึงเข้าร่วมกับกลุ่มคาคุเกียวโดแทนที่จะเป็นกลุ่มบันด์ที่มีเทพีซูนากาวะเป็นแกนนำ”

“ความรุนแรงเป็นสาเหตุที่ทำให้เรามีความเห็นไม่ตรงกัน”

“ข่าวลือที่ว่ารุ่นพี่กำลังคบกับเทพีซูนากาวะเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าคะ”

“เราเป็นแค่เพื่อนกัน”
ผมเดินเข้าไปในครัว ไม่อยากให้เธอซักไซ้ไล่เรียงเรื่องส่วนตัว
สี่ปีแล้วที่ผมไม่ได้พบหน้าซาโยะ
ผมใคร่รู้ว่าสาวน้อยผมสั้นหน้าสวยฝีปากจัดจะเปลี่ยนไปไหม
เธอจะไว้ผมยาวหรือเปล่า ผัดแป้งประทินผิวและเขียนคิ้วเป็นหรือยัง
ในแง่ความงามอันเพริศแพร้วของซาโยะเกินกว่าผมจะจินตนาการได้

“คืนนี้หนูขอค้างที่นี่ได้ไหมคะ”

“เป็นสาวเป็นนางค้างคืนห้องผู้ชายแลดูไม่งาม เกิดมีคนนินทาเธอจะเสียชื่อเอา”

“ที่หอน้ำไม่ไหลทำไงได้”

ตอนนั้นผมรู้สึกได้ทันทีว่ามิตสึโฮะทราบแล้วว่าผมเป็นสายในกลุ่มคาคุเกียวโด
อาจเป็นเพราะผมเผยพิรุธออกมาเองจากประโยคที่ว่า ในเกมการเมืองเราไม่จำเป็นต้องอยู่บนเวทีเสมอไป

ผมนึกขึ้นมาได้ว่าในสถานการณ์ฉุกเฉิน
หากมีเหตุการณ์สุ่มเสี่ยงต่อการถูกเปิดโปง
ผู้บังคับบัญชาอนุญาตให้ผมสามารถอุ้มพยานไปนั่งยาง
หรือโบกปูนในถังน้ำมันแล้วถีบลงจากท้ายเรือให้จมลงในอ่าวโตเกียวตามที่ผมเห็นสมควร

นักศึกษาสังกัดกลุ่มคาคุเกียวโดครึ่งหนึ่งกำลังหมดอนาคต
ที่เหลือก็น่าจะถูกไล่ออกจากมหาลัย
…ไม่ก็ฆ่าตัวตายเหมือนนักศึกษารุ่นก่อนที่เป็นโรคโรคุเซนเกียว

ตกดึกผมมอมเหล้ามิตสึโฮะ จนเธอเมาหัวราน้ำ นอนแอ้งแม้งอาบแสงไฟ

“นาย...”
มิตสึโฮะหน้าแดงก่ำ กัดหมัดแน่นแล้วพูดห้วน ๆ กับผมเป็นครั้งแรก
“นายแนะนำให้เราควานหาตัวสายตำรวจแทบพลิกแผ่นดิน
ขับไล่สมาชิกผู้ต้องสงสัยไปหลายสิบคน
แต่ฉันไม่นึกเลยนะว่านายจะเป็นหนอนบ่อนไส้”

ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะแก้ตัวหรือปฏิเสธข้อกล่าวหา

“ไปสารภาพต่อหน้าสมาชิก แล้วฉันจะผ่อนปรนลงโทษแค่พอให้รู้สำนึก”

คำว่าพอให้รู้สำนึกคงไม่ต่างอะไรกับปางตาย

“อำนาจที่เธอมี ฉันเป็นคนดลบันดาลมันขึ้นมาให้
สุนทรพจน์ที่เธออ่าน ฉันเป็นคนเขียนมันขึ้นมาเอง
เธอถูกฉันชักใยจนได้ชื่อเสียงในฐานะแกนนำ
นึกว่าคนอื่นมองไม่ออกหรือว่าเธออยากเป็นจุดศูนย์กลางจักรวาล...”

“หยุดพล่ามสักที!” มิตสึโฮะตะโกนเสียงดังลั่น ภาพลักษณ์คุณหนูป่นปี้

“ยอมรับเถอะว่ามันจบแล้ว คิชิให้สัตยาบันไปแล้ว สิ่งที่เธอทำมาล้วนสูญเปล่า”

“นายนั่นแหละทำให้เราแพ้การเลือกตั้ง”
น้ำตามิตสึโฮะคลอเบ้า
“นายรู้ว่ายัยนั่นโกงบัตรลงคะแนนแต่ไม่ยอมบอกฉัน”

“ใครกันแน่ที่ทำให้องค์กรพ่ายแพ้
จุดเริ่มต้นความแตกแยกเกิดจากอาจารย์คูโรดะที่เธอเทิดทูนบูชาไม่ใช่หรือที่ขายรายนามสหายเราให้ตำรวจ”

“นายไม่ใช่หรือไงที่เป็นคนปล่อยข่าว จนกลุ่มเราแตกเป็นเสี่ยง ๆ
นอกจากดูถูกความพยายามของผู้อื่น
นายยังดูหมิ่นการกระทำของเสรีชน
บังอาจหาญมาตัดสินนักศึกษา
วางแผนสร้างความขัดแย้งในเซ็งงะคุเร็งตามคำสั่งกองความมั่นคง
ทำทั้งหมดไปเพื่ออะไร”

“อำนาจในสายบัญชาการช่วยขยายขอบเขตการสืบสวนในคดีขบถสายเลือดนายทุน
เบื้องบนรับปากว่าจะเลื่อนขั้นให้หลังอายุราชการครบสามปี”

มืดบอด…ทั้งผมและเด็กคนนี้ต่างก็มืดบอด

เพลานี้คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอยู่ที่นี่ต่อ
ในขณะที่ผมเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า
มิตสึโฮะเสียสติหยิบมีดขึ้นมาจ่อคอตัวเอง

"ถ้านายไม่ยอมไปสารภาพต่อหน้าทุกคน ฉันจะฆ่าตัวตาย"

ณ วินาทีนั้นผมตระหนักได้ทันทีว่าการเมืองนี่แหละทำให้คนเรากลายเป็นบ้าได้

ถึงแม้มิตสึโฮะจะข่มขู่โดยเอาตัวเองเป็นตัวประกันหรือเรียกคะแนนความสงสาร ผมก็ไม่หลงกลเธอ

“สำหรับเธอชีวิตมีคุณค่าเกินกว่าจะทิ้งขว้าง
ฉันเคยอยู่กับคนป่วยไข้ทางจิตและจมอยู่กับความสิ้นหวัง
ไม่มีใครเข้าใจคนประเภทนี้ดีเท่าฉัน เพียงแค่มองตาก็รู้ ซึ่งเธอไม่ใช่...มิตสึโฮะ
เธอไม่มีวันเอาชีวิตไปทิ้งกับเรื่องไร้สาระอย่างอุดมการณ์อะไรเทือกนั้น
เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะเธอไม่ได้สูญสิ้นทุกสิ่งอย่าง
เธอเป็นคุณหนูที่ไหลไปตามกระแสสังคม ก็แค่กลับไปนั่งจิบชาในคฤหาสน์มันยากนักหรือไง”

ทันใดนั้นมิตสึโฮะกระชับมีด กดเข้าเบา ๆ ตรงคอจนเลือดไหลซิบ
ผมอาจประเมินความบ้าของเธอต่ำไป
หรือไม่เธอก็ประสบกับเรื่องสะเทือนใจมาก่อนหน้าเลยหาเหตุผลมาเป็นข้ออ้างรองรับการฆ่าตัวตาย
คงหวังจะให้ผมรู้สึกผิด คนจำพวกเรียกร้องความสนใจ หากเราไปให้ค่าก็ยิ่งเหลิงได้ใจ

บรรยากาศในห้องตกอยู่ในความเงียบงัน
นาฬิกาลูกตุ่มแกว่งไกวส่งเสียงบอกเวลาเที่ยงคืน
ดวงตามิตสึโฮะเริ่มตกโรย ศีรษะเธอโงนไปเงนมาก่อนจะสลบเหมือดกลางอากาศ
เพราะผมผสมยานอนหลับไปในเหล้าด้วย

ท้ายที่สุดผมตัดสินใจเขียนจดหมายขอขมาลาโทษมิตสึโฮะว่าผมหลอกใช้เธอ
นั่นเพราะผมมีหนี้ติดค้างเธอ
หนี้ที่เธอยอมปิดปากเงียบและไม่เผยสถานะของผมให้ผู้ใดรู้
หลังสะพายเป๋ออกจากห้องแล้วปิดประตู
ผมตรวจตู้จดหมายพบกระดาษระบุคำสั่งต่อไปว่า รหัสแดง

จิตสำนึกของนักการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยมไม่ต่างจากเมื่อสิบปีก่อน
เบื้องบนมีเหตุจูงใจให้ตระเตรียมกำลังสำรองของหน่วยปราบจลาจล
นักเรียนตำรวจรุ่นผมจะถูกกักตัวในศูนย์ฝึกตลอดทั้งภาคเรียน
ทั้งยังงดให้ญาติมาเยี่ยม
มันเป็นรูปแบบหนึ่งของจิตวิทยาในการบ่มเพาะความรุนแรงให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชาของฝ่ายอนุรักษ์นิยม

ในกรณีที่ถูกส่งตัวไปสมทบกับหน่วยปราบจลาจล
อารมณ์รุนแรงที่อดทนอดกลั้นระหว่างรับการฝึกโหด
จะถูกปลดปล่อยผ่านการทุบตีนักศึกษา
ตำรวจกำลังกลายเป็นเนื้อเดียวกับระบบอำนาจของโครงสร้างส่วนบนที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมสร้างมาให้
สองปีก่อนเซ็งงะคุเร็งออกมาประท้วงต่อต้านร่างกฎหมายที่จะเพิ่มอำนาจจับกุมให้แก่ตำรวจ
นั่นยิ่งสร้างความขุ่นเคืองให้แก่นักเรียนตำรวจรุ่นผม
เพราะร่างกฎหมายดังกล่าวไม่ได้นำมาพิจารณาในสภา



ผมแหงนมองท้องฟ้ายามย่ำรุ่งก่อนดวงอาทิตย์ขึ้นสู่ขอบฟ้า
ไม่ได้ตื่นตระหนกกับคำสั่งรหัสแดงแต่อย่างใด
หน้าที่ของผมในกลุ่มคาคุเกียวโดจบลงแล้ว

เนิ่นนานมาแล้วที่ผมโดนเบื้องบนเพ่งเล็ง
ตอนนี้พวกเขาต้องการให้อดีตผู้นำแนวร่วมศิลปินปฏิวัติอย่างผม
ได้พิสูจน์ตัวเองว่ากลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบสีกรมท่า
หรือแค่เสแสร้งแปรพักตร์เพียงเพราะต้องการสืบสวนการตายของอาจารย์

เวลาผมมองผลงานที่ร่วมกันสร้างกับอาจารย์
คล้ายถูกดูดกลืนเข้าไปในภาพวาดกลายเป็นผีเสื้อ
บินวนเวียนหาคู่ในหมู่มวลดอกท้อที่ประดับบนท้องฟ้าสีครามในฤดูใบไม้ร่วง
แต่ไม่ว่าผมจะจ้องนานเท่าไรก็หาผีเสื้ออีกตัวไม่พบ
ผีเสื้อที่อยู่เคียงกายในยามที่ผมสิ้นหวังและฉุดผมขึ้นจากความมืด

การเสียอาจารย์ไปหนักหนาสาหัสกว่าที่ผมคิด
ประหนึ่งว่าผมอาศัยอยู่ในโลกมายาที่สร้างขึ้นมาเพื่อลงโทษตัวเอง
และรับผิดชอบกับการตายของอาจารย์

บางครั้งผมเห็นผีเสื้อบินฉวัดเฉวียนปรากฏอยู่ตรงหน้า
แต่ผมไม่อาจคว้าจับผีเสื้อตัวนั้นได้
มันเป็นเพียงแค่ภาพมายาที่ผมพยายามสร้างขึ้นมาเพื่อเยียวยาตัวเอง
ผีเสื้อตัวนั้นเปรียบเสมือนความหวังในชีวิตผม

สิ่งที่ตามจากผลพวงการสูญเสียหนีไม่พ้นความทุกข์
สิ่งที่สูญหายไปมากเสียยิ่งกว่าครึ่งหนึ่งของจิตวิญญาณ
แสงสว่างที่คอยนำทางดับวูบลงอย่างกะทันหัน
ความโศกเศร้าระคนเจ็บแค้นเปี่ยมปริ่มอยู่ในจิตสำนึก
ทำให้ผมต้องจมอยู่กับปลักแห่งความรู้สึกผิด
ไม่อาจก้าวต่อไปได้
ถ้ากลุ่มฆาตกรนักศึกษาฝ่ายขวาจัดหัวรุนแรงยังไม่ถูกจับกุม

เป้าหมายเดียวในชีวิตของผมคือตามล่าตัวฆาตกร
จากลางสังหรณ์ ผมรู้สึกได้ว่าตำรวจไม่มีวันจับคนร้ายได้
พิสัยมโนคติทางการเมืองของผมจึงหักเหจากทิศตะวันตกมายังทิศตะวันออกอย่างฉับพลัน
ผมเบนเข็มมาเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจ
แต่ในสายตาของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและฝ่ายความมั่นคง
การแปรพักตร์ของผมมีค่าเกินกว่าจะปล่อยให้ผมถูกธำรงวินัยในโรงเรียนตำรวจ
จนเสียหยาดเหงื่อไปอย่างเปลืองเปล่า

พวกเขาจึงส่งผมมาเป็นสายโดยไม่ต้องเข้าอบรมหลักสูตร...แต่บัดนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว...

ตีห้าผมไปรายงานตัวยังกรมตำรวจตามคำสั่ง
สารวัตรแจ้งผมว่ายังไม่ถึงเวลาปฏิบัติหน้าที่จึงสั่งให้ผมไปรอในห้องพักผ่อน
ผมเอนกายลงบนเตียงเพื่องีบเอาแรงสักสองชั่วโมง

ในห้วงนิทรารมณ์ผมหลุดเข้าไปในทุ่งหญ้าแห่งราตรีกาล
ดวงจันทร์ขาวนวลสาดแสงส่องฝูงกระต่ายสีขาวนับร้อยวิ่งหนีแตกตื่น
อย่างสับสนอลหม่านจากการไล่ล่าของฝูงหมาล่าเนื้อ
ตามขนปุกปุยของพวกมันเปรอะด้วยเลือดชุ่มโชก
เมื่อพวกมันเห็นผมก็พากันมารุมล้อมผมจากทุกทิศทาง
กระต่ายสี่ห้าตัวนำทางผมไปหากระต่ายตัวหนึ่งที่นอนแน่นิ่ง
นอกจากคมเขี้ยวของหมาล่าเนื้อ
ตามตัวของมันยังมีหนามแหลมคมสีแดงทิ่มแทง
พอผมอุ้มมันขึ้นมาก็พบว่ามันไม่หายใจแล้ว
ฝูงกระต่ายต่างโศกเศร้าเสียใจไว้อาลัยอยู่หลายคืน
แล้วขอร้องให้ผมก่อกองไฟเพื่อเผาศพกระต่ายตัวนั้นอย่างสมเกียรติ
จากนั้นฝูงกระต่ายก็แซ่ซ้องในห้วงมหรสพให้แก่การเสียสละของกระต่ายตัวนั้น
แล้วร้องรำทำเพลงปลุกความฮึกเหิม
ก่อนจะแยกย้ายกันไปเล็มหญ้าแห้งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น…

หากเป็นเช่นนี้แล้วกระต่ายตัวนั้นเสียสละไปเพื่ออะไร











พอลืมตาตื่น ดวงไฟกลางห้องสว่างจ้าแสบตา
ในชาดกกระต่ายอาจเต็มใจเสียสละโดดเข้ากองไฟอย่างไม่คิดชีวิต
แต่ผมไม่รู้ว่ากระต่ายตัวนั้นในความฝันเต็มใจเสียสละหรือไม่
ผมพยายามไม่คิดหาคำตอบของคำถาม
ละไว้ในฐานที่เข้าใจที่ว่าไร้ประโยชน์ที่จะนำความฝันมาปะปนกับโลกแห่งความจริง
ทว่าผมอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบกระต่ายเป็นซาโยะ
ผมนึกถึงธงกระต่ายสีขาวพื้นหลังสีแดงฉานที่ผมลงสีให้ซาโยะเองกับมือ
คำพูดของเธอหวนคืนสู่มโนสำนึกของผมอีกครั้ง

เลือดเปื้อนชุดขาวมันเด่นชัด หนังสือพิมพ์ขาวดำก็จริงนะ
แต่เวลาเพิ่งถูกทำร้ายมาหมาด ๆ สีหน้าย่อมขับเน้นความรู้สึกเจ็บปวด
ให้คนอ่านดูออกได้ไม่ยากว่านั่นคือเลือด
เราถึงต้องสวมชุดขาวเวลาปะทะกับหน่วยปราบจลาจลไง
แผนขอความเห็นใจจากสาธารณชนของฉันเจ๋งใช่ไหมล่ะ
เราทุกคนคือบันนี่ เราทุกคนคือเดอะบันด์
ต่อไปนี้ฉันจะเรียกตัวเองว่าบันด์บันนี่


"แม่คุณครับ บันด์บันนี่กะผีสิ มันมีแต่บักส์บันนี่"
ผมเผลอตบมุกตามความเคยชินเวลาอยู่ซาโยะโดยไม่รู้ตัว

สารวัตรเปิดประตูเข้ามาสั่งผมให้ไปรายงานตัวในห้องสรรพาวุธของกรมตำรวจ
อาวุธที่ผู้หมวดแจกจ่ายให้นักเรียนนายร้อยตำรวจมีเพียงกระบองกับซองปืนเปล่า
หน่วยปราบจลาจลหน้าละอ่อนไม่ได้รับอนุญาตให้พกปืน เนื่องจากเหตุน่าสลดในวันแรงงาน



เราสวมหมวกเหล็กใส่ถุงมือสีขาว
ขอบหัวรองเท้าบู๊ตใหม่เอี่ยมทั้งหนาหนักและแข็งขัดมันเงาวับ
เหมาะกับการเตะหน้าแข้งคนอย่างพอเหมาะพอเจาะ
มีแค่หัวหน้าหน่วยเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้พกปืนและแก๊สน้ำตา
มันไม่ยุติธรรมกับกลุ่มผู้ประท้วงที่ไร้อาวุธ
การไล่ยุงเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านซูนากาวะ
ไฉนริอาจขโมยแรงบันดาลใจของผู้อื่น
หน้าไม่อาย ผมรับไม่ได้ มันไม่ใช่เรื่องถูกต้อง
ไม่ใช่ความยุติธรรมที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ยึดเป็นคติสอนใจ

เราทั้งหนึ่งร้อยนายถูกส่งตัวขึ้นรถบรรทุกไปยังรัฐสภา
มวลชนเริ่มเดินขบวนไปปิดล้อมรัฐสภาตั้งแต่แปดโมง
นักข่าวสำนักพิมพ์ตามตึกโปรยเศษกระดาษลงมาทางหน้าต่าง
เป็นสัญลักษณ์สนับสนุนกลุ่มผู้ประท้วง เหมือนจุดพลุกระดาษต้อนรับ



สหพันธ์สตรีจากทุกภูมิภาคก็มาร่วมลงถนน
ขบวนหน้าสุดจะนำโดยนักศึกษาเสมอ
พวกเขาเหมือนแนวหน้าของมวลชนคอยทะลวงหน่วยปราบจลาจล

เราไม่ได้รับอนุญาตให้เจรจากับกลุ่มผู้ประท้วงหรือแม้แต่ควบคุมฝูงชน
วิธีปราบปรามระบุอย่างชัดเจนว่าขับไล่ด้วยกำลังรุนแรงสถานเดียว
ตามหลักสากลเป็นการสลายการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
หลายคนซุบซิบกับเพื่อนว่าผมหน้าคุ้น ๆ บางคนจำผมได้แล้วมาถามซอกแซก แต่ผมเงียบไม่ได้ตอบอะไร

นักเรียนตำรวจรุ่นเดียวกับผมกว่าครึ่งกำลังร้อนวิชา
ควงกระบองด้วยท่าทีกระปรี้กระเปร่าอย่างออกนอกหน้า
นินทานักศึกษาเหมือนแม่ค้าปากตลาด
อวดอ้างว่าจะมอบทัณฑ์ทรมานให้กลุ่มผู้ประท้วงสมใจอยาก
มิหนำซ้ำยังเอ่ยพาดพิงถึงขบวนการนักศึกษาว่าเป็นปรสิตบ่อนทำลายชาติ
คำขวัญที่ว่าความภูมิใจที่ได้รับใช้ประชาชนถูกลืมเลือนไปสิ้น
นี่น่ะหรือผู้มีสำนึกในหน้าที่
ผมอยากจะตีเพื่อนร่วมรุ่นเป็นรายตัวให้พวกมันสำรอกคำขวัญที่เคยท่องออกมาให้หมด
แต่ก็ทำได้เพียงข่มใจไม่ให้ตัวเองเสียสติไปเสียก่อน

ผมเคยเข้าไปพัวพันคลุกคลีทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา
ก็ย่อมทราบดีว่านักศึกษาเองก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
เมื่อขบวนหน้าสุดรับกระบองไม่ไหวเริ่มถอยร่นจนล้มลง
หรือถูกเหยียบอาการสาหัส
แกนนำจะปลุกระดมให้แนวหลังดันเข้าไปแทนด้วยเล่ห์เพทุบาย
อย่างการร่ายคำพูดโป้ปดมดเท็จเพื่อโหมไฟโทสะเช่น มีคนถูกแทง!
เป็นอย่างนี้ไปกระทั่งสลายการชุมนุม
ไร้มนุษยธรรมสิ้นดี
หากสถานการณ์ระหว่างประท้วงเดือดระอุขึ้นมาก็ยากเกินกว่าจะควบคุมฝูงชน

มันจะจบลงได้ก็ต่อเมื่อหน่วยปราบจลาจลถูกเรียกไปสลายการชุมนุม



ข่าวแว่วมาว่านักเลงโตฝ่ายขวาไล่กระทืบกลุ่มนักเรียนที่มาร่วมชุมนุมบริเวณหน้ารัฐสภา
สถานการณ์ทวีความรุนแรง
หากทำได้ผมก็อยากหยุดยั้งการเดินขบวน
แต่ส่วนลึกดำมืดในจิตใจแสยะปากสมเพชตัวเอง
เพราะรู้ว่ามันเปล่าประโยชน์
นับประสาอะไรกับคัดค้านหรือเสนอแนะให้เลิกประท้วง
มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ต่อให้เอาช้างมาฉุดก็หยุดไม่อยู่

แสงทางการเมืองที่ผมกับซาโยะส่องเข้าดวงตานักศึกษาทำให้พวกเขามืดบอด
แรงบันดาลใจที่ผมสร้างให้พวกเขาไม่อาจฉกฉวยคืนมาได้
ผมไม่มีทางห้ามปรามสิ่งที่ซาโยะเสี้ยมสอนรุ่นน้องด้วยการโน้มน้าวเพียงวันเดียว
เมล็ดพันธ์ความคิดมันงอกเงยในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาแล้ว

เหนืออื่นใดเลยปัญญาชนหลงลืมการวิภาษวิธีแนวคิดที่ตนเลื่อมใสศรัทธา
หากพวกเขายอมหันกลับมามองโลกตามความเป็นจริง
จะเห็นได้ว่าพรรคฝ่ายซ้ายแนวหน้าสร้างมายาคติให้กลายเป็นค่านิยมทางสังคมแก่เยาวชน
อุดมการณ์ฝ่ายซ้ายมีแต่บ่มเพาะความรุนแรง
สังคมมหาลัยที่ซึ่งเต็มไปด้วยทิฐิไม่สามารถชุบตัวใครได้
นักศึกษาทำเป็นปฏิปักษ์กับระบบทุนนิยม
แต่พอเรียนจบกลับแห่ไปสมัครเข้าทำงานบริษัทชั้นนำที่มีแต่นายทุนตัวเอ้บริหาร
สุดท้ายอนาคตของนักศึกษาก็ตกเป็นทาสนายทุนอยู่ดี
จุดจบก็เห็นอยู่ทนโท่ เราปฏิรูปประเทศนี้ไม่ได้ ส่วนการปฏิวัติลืมไปได้เลย

ระหว่างทางผมสังเกตได้ว่าโตเกียวเปลี่ยนไปมากภายในระยะเวลาไม่กี่ปี
ตึกรามระฟ้าเริ่มเข้ามาแทนที่เรือนไม้บุโรทั่ง
ประตูไม้โกโรโกโสของบ้านหลังหนึ่งทำให้ผมนึกถึงแหล่งกบดานที่อยู่ท้ายซอยในย่านโคมแดง
ผมกับซาโยะสุมหัวอยู่ที่นั่นเป็นประจำตอนเรียนอยู่มัธยมปลาย
เราเลือกที่นั่นเป็นแหล่งซ่องสุมเพราะตำรวจคาดไม่ถึง
มันคือบ้านหลังที่สองของผม
ผมสุขใจที่ได้อยู่ที่นั่นมากกว่าอยู่ในคฤหาสน์ของตระกูล

การจราจรบนถนนทางหลวงในเขตชิโยดะเป็นอัมพาต
เพราะนักศึกษากลุ่มหนึ่งวิ่งแปรขบวนซิกแซ็กเหมือนงูกีดขวางการสัญจรกลางสี่แยก
ส่อไปในทำนองว่าจงหยุดงานมาร่วมเดินขบวนประท้วง
หัวหาดรัฐสภาละลานตาไปด้วยมวลชน
เอ็ดอึงไปด้วยเสียงตะโกนว่า ต่อต้านสนธิสัญญาความมั่นคง โค่นนายกคิชิ

ผู้คนทุกหมู่เหล่าผนึกแรงกายแรงใจต่อต้านสนธิสัญญาความมั่นคง

ขณะรถติดกลางสี่แยก หมวกสีเหลืองสดใสใบหนึ่งปลิวมาตกข้างรถ
เด็กคนหนึ่งยืนอยู่ริมทางเท้าออกอาการกล้า ๆ กลัว ๆ
ไม่กล้าข้ามถนนมาเก็บหมวก
ผมจึงปีนลงจากท้ายรถบรรทุกไปเก็บหมวก
แล้ววิ่งข้ามถนนเอาไปคืนให้เด็กคนนั้น
ในมือเล็ก ๆ ของแกถือดินสออยู่ด้วย
ใกล้กัน ๆ ในสวนสาธารณะมีหน่วยงานรับเขียนคำร้องคัดค้านสนธิสัญญาความมั่นคง

ผมย่อตัวลงไปนั่งเข่าข้างหนึ่งแล้วสวมหมวกให้เด็กคนนั้น
“เราก็มาเขียนคำร้องด้วยหรือ”

“ครับ ผมว่าอำนาจอธิปไตยควรเป็นของปวงชนครับ”

คำพูดเด็กประถมทำให้ผมรำลึกถึงปณิธานในวัยเด็กของตัวผมเอง
ความทรงจำในฤดูหนาวตอนเจ็ดขวบกระจ่างแจ่มชัด
ตอนนั้นคุณป้าเตือนไม่ให้ผมพูดวลีนี้ต่อหน้าคนอื่น
แต่บัดนี้และเวลานี้ ในที่ ๆ เรามีเสรีภาพในการพูด
โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกจับข้อหากบฏ
ซึ่งแม้แต่เด็ก ๆ ยังเป็นผู้มีสำนึกรู้ในหน้าที่ของปวงชนและลุกขึ้นมาปกป้องประชาธิปไตย

...แล้วผมล่ะ…ผมกำลังทำห่าอะไรอยู่




ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผมยังไม่อยากจากโลกใบนี้ไป
บางอย่างผูกมัดวิญญาณผมไว้กับโลกใบนี้
ไม่ใช่ผีเสื้อจากโลกมายาที่ผมพยายามสร้างขึ้นมา
ไม่ใช่ความแค้นที่ผมต้องการสะสาง
ผมเองก็ไม่รู้ว่าอะไรผูกมัดผมไว้
อาจจะเป็นการสืบทอดเจตนารมณ์ของคุณป้ากับคุณพ่อและคุณลุงของผม
ทั้งสามท่านเป็นผู้บุกเบิกที่ได้รับสมญานามว่าสามสหายแห่งขบวนการรณรงค์เคลื่อนไหวของลัทธิมาร์กซิสม์
หรืออาจเป็นเพราะผมเป็นห่วงเพื่อนสนิทตัวป่วนชวนให้ปวดหมองอย่างซาโยะ

ฉับพลันนั้นภาพของแก๊สน้ำตาก็แวบเข้ามาในห้วงความคิดของผม
ความคิดลักลั่นแสนจะเข้าท่าปรากฏขึ้นในจินตนาการอันลือลั่น
ว่ากันว่าคนวิกลจริตจะไม่ถูกลงโทษทางกฎหมาย
คนปัญญาอ่อนจะถูกลงโทษสถานเบา
ในนามของความยุติธรรมของผู้พิทักษ์สันติราษฎรจอมปลอม
ผมใคร่รู้เหลือเกินว่าไอ้พวกนักการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะทำหน้าหวาดสยองปานใด
หากขบวนการนักศึกษาสามารถยึดรัฐสภาเป็นฐานที่มั่นไว้ต่อรองเพื่อทวงคืนอำนาจอธิปไตยจากรัฐบาลได้สำเร็จ

"ขึ้นรถ!"
ผู้บังคับบัญชาชะโงกหน้าขึงขังออกมานอกหน้าต่างรถ
ดวงอาทิตย์ทอแสงถูกเมฆครึ้มมาบดบัง
ส่วนทางทิศตะวันตกเป็นการแปรขบวนงูของนักศึกษากลุ่มบันด์

วินาทีที่ทางแยกของชีวิตและโชคชะตาปรากฏเบื้องหน้า
ผีเสื้อบินละล่องไปทางท้ายรถบรรทุก
ราวกับกำลังบอกให้ผมกลับขึ้นไป
พอผมตัดสินใจทำตามคำบัญชาของผีเสื้อ
มันก็สลายหายวับไปกับตา...อาจารย์คงต้องการเช่นนี้.

หลังผมกลับขึ้นรถบรรทุกก็ถูกส่งไปสมทบกับหน่วยปราบจลาจลหน้าทางเข้าตึกรัฐสภา
สายของตำรวจย่อมทราบดีว่านักศึกษาบุกเข้ามาทางไหนและเมื่อไร
ผู้บังคับบัญชาเรียกผมไปคุยเป็นการส่วนตัว
มีหรือที่ผมจะไม่รู้จุดประสงค์ที่แฝงอยู่ในคำสั่งของวาระซ่อนเร้นที่ร่ายลงมาเป็นทอด ๆ
ซึ่งแท้จริงแล้วเจาะจงผมเพียงคนเดียว




กว่าสามชั่วโมงที่ผู้บังคับบัญชาร่ายถึงกลยุทธ์ตั้งรับอันสวยหรู
ซึ่งไม่เข้าหูผมเลยสักนิด
เพราะอย่างไรเสียก็ออกปากสั่งผมให้ไปอยู่แถวหน้าสุด
เพื่อสกัดกั้นใครก็ตามที่ริอาจปลุกระดมนักศึกษาให้พังประตูบุกเข้ามาในรัฐสภา
ความสัมพันธ์ของผมกับซาโยะปกปิดไม่มิด
เราสร้างชื่อมาด้วยกันในการประท้วงที่หมู่บ้านซูนากาวะ
ความนัยที่แฝงอยู่ในคำสั่งผมทราบดี
มันคือบทพิสูจน์ที่ผู้บังคับบัญชามอบให้ผมโดยเฉพาะ

หน้ารัฐสภามีรถบรรทุกมาจอดเป็นแนวกำแพงแน่นขนัด
มีแผ่นไม้ตีอัดท้ายและบังโคลนรถบรรทุกเพื่อปิดกั้นไม่ให้ผู้ประท้วงเล็ดลอดเข้ามาได้
เบ็ดเสร็จแล้วหน่วยปราบจลาจลตั้งรับอยู่ด้านหน้าประตูทางเข้ารัฐสภาสี่พันนาย

อากาศร้อนชื้นขับเหงื่อไคลให้ไหลท่วมตัว
ละอองละเอียดของเม็ดฝนโปรยลงมาท่ามกลางแดดแผดจ้าของฤดูร้อน
เป็นอีกครั้งที่ผมต้องยืนแนวหน้า
ทว่าครั้งนี้ผมประจันหน้ากับนักศึกษา
หลังพวกเขาเห็นหน้าผม ก็เริ่มสาปส่งผมทันที

“พวกแปรพักตร์สารเลว!”

“ไอ้ลูกนายทุนหน้าเลือด!”

“แกก็ไม่ต่างอะไรกับพ่อแก!”

ผมถูกส่งมาเพื่อเบนจุดสนใจและเป็นเป้าระบายอารมณ์ให้กลุ่มผู้ประท้วง
หน่วยปราบจลาจลนายอื่น ๆ จะได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างสะดวกโยธิน
ผมเหมือนนกพิราบที่ขี้ข้าของปุโรหิต
นำมาเชือดบนแท่นตามบทเลวีนิติของคัมภีร์ไบเบิล
ทว่ามันไม่ใช่การล้างบาป
รัฐบาลไม่เคยคิดจะล้างบาป
หากแต่เป็นการบูชายัญเหยื่อทางการเมืองอย่างผม
ให้ตากแดดตากฝนในฤดูร้อนอันอบอ้าว
อย่างไม่รู้สึกรู้สมกับการแบกรับความเกลียดชัง



สำหรับผมการแปรพักตร์อีกหนไม่ได้ยากเลย
เพียงแค่หันกลับไปเผชิญหน้ากับหน่วยปราบจลาจล
เหมือนที่ผมเคยทำในหมู่บ้านซูนากาวะ

ไม่นานนักนักศึกษาต่างแหวกทางให้ผู้ชักธงกระต่ายเคลื่อนมาปะหน้ากับผม
หน่วยปราบจลาจลทุกนายมีท่าทีแข็งกร้าวขึ้น
เมื่อเห็นธงกระต่ายขาวพื้นหลังสีแดง
บางนายที่คุมรถบรรทุกน้ำก็เปิดวาล์วเตรียมตัวฉีดไล่นักศึกษา

ผมยังคงจดจำแววตาที่ลุกโชนไปด้วยปณิธานแห่งค้อนเคียวอันแรงกล้าของซาโยะได้ไม่เคยลืม
ความงามอันเด่นล้ำของซาโยะเหนือจินตนาการของผมไปมาก
สาวน้อยผมสั้นหน้าสวยไว้ผมยาวสลวยแล้ว
เธอผัดแป้งประทินผิวและเขียนคิ้วได้สมกับเป็นผู้หญิงรักสวยรักงาม
ชุดขาวล้วนช่วยเสริมให้เนื้อนวลเธอเปล่งปลั่ง
รัศมีความสง่างามของซาโยะราวกับเทพธิดา
เปล่งประกายอย่างที่ครั้งหนึ่งผมอยากให้เธอเป็น
สองแก้มเธอแดงระเรื่อด้วยเหงื่อระอุของฤดูร้อน
ปนกับหยาดฝนเกาะพราวบนดวงหน้า

ซาโยะจะไม่หยุดจนกว่านายกจะสั่งยุบสภา
แม้จะต้องเอาชีวิตเข้าแลกก็ตาม
แต่เมื่อซาโยะเห็นหน้าผม
ริมฝีปากเธอกระตุกร่น
ก่อนจะแค่นยิ้มให้ผมด้วยความขมขื่น
ซาโยะอาจสาปแช่งโชคชะตา
แต่ผมกลับโล่งใจ
เพราะการประจันหน้ากันเป็นทางเดียวที่ผมจะปกป้องเธอได้

“หลบไป”
ซาโยะพูดออกมาแบบไม่เปล่งเสียง
ขณะรับโทรโข่งจากรุ่นน้องร่างบึกบึนที่คุกเข่าให้เธอนั่งบ่าขี่คอ
แล้วแบกเธอขึ้นเพื่อตรึงสายตาทุกคนให้ยลความงามของเธอก่อนจะได้รับรู้ถึงความร้ายกาจ

“จากประสบการณ์โดยตรงจากแสงสว่างวาบ
ทำให้พี่ตระหนักได้ถึงการตกเป็นเหยื่อของสงคราม
ลูกเรือประมงไดโกะฟุคุริวมารุกลายเป็นเหยื่อจากการทดสอบอาวุธของอเมริกา
อาการพวกเขาไม่ต่างอะไรกับโรคปรมาณูที่พี่เคยเห็นมากับตาตัวเอง
เมื่อมีการทดสอบอาวุธครั้งแรกก็ต้องมีครั้งที่สองตามมา
ขึ้นอยู่กับว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น”

ข้อเท็จจริงแต่ประการนี้จากปากของซาโยะ
เปรียบดั่งเครื่องเตือนใจถึงความทรงจำอันเจ็บปวดของทุกคนในทีนี่ที่เคยประสบภัยสงคราม

“ไม่นานมานี้ ทหารอเมริกันระดับสูงหลายคนผูกขาดที่ดิน
แอบอ้างเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เพื่อใช้เป็นบ้านพักส่วนตัว
บางตำบลในต่างจังหวัดยังคงเป็นเขตฝึกทหาร
ไม่ก็โรงเก็บพัสดุพีเอ็กซ์
ต้นตอของปัญหาเหล่านี้ล้วนเกิดจากสนธิสัญญาความมั่นคง
ขึ้นชื่อว่ากองทัพไม่ว่ารูปแบบใดก็สั่งสมอำนาจทางการทหารจนนำพาประเทศไปสู่สงคราม”

“เราไม่เอาสงคราม!”

ซาโยะล่อหลอกให้พวกเขาตระหนักถึงวิกฤตในระบอบประชาธิปไตย
รวมถึงความตึงเครียดของสถานการณ์ระหว่างประเทศ
ในสงครามเย็นที่เพิ่มความรู้สึกรังเกียจสงครามมากยิ่งขึ้นไปอีก

“สาระสำคัญในสนธิสัญญาความมั่นคง
ผูกมัดให้ประเทศเราเป็นพันธมิตรของอเมริกาในสงครามเย็นอย่างเป็นทางการ
ทบวงกองกำลังป้องกันตนเองกำลังกลายเป็นกระทรวงกลาโหมคอยดูดภาษีคนหาเช้ากินค่ำ
รัฐบาลกำลังซ่องสุมกำลังพลเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางการทหาร”

“ต่อต้านการขยายจักรวรรดินิยมของอเมริกา!”

“เราเคยอยู่ภายใต้การปกครองของลัทธิทหารนิยมจากคนชาติเดียวกัน
มันไม่ควรเกิดขึ้นซ้ำสองด้วยฝีมือคนนอกหรือใครก็ตาม
ประเทศเราไม่ควรเข้าร่วมสงครามอีก
พวกอเมริกันไม่ยี่หระเลยว่าเป็นกลุ่มคนนอกที่ทำผิดรัฐธรรมนูญมาตราที่เก้า
ทั้งที่เขียนขึ้นมาเพื่อกดให้เราอยู่ใต้อำนาจ
และมันจะเป็นอย่างนี้ต่อไปจนกว่าจะมีการปฏิวัติ
แล้วอีกกี่ร้อยกี่ปี เราถึงจะหลุดพ้นจากความผิดในอดีตที่คนรุ่นพ่อเราก่อขึ้น
แต่อนุชนคนรุ่นหลังกลับต้องมารับเคราะห์แทน”

“ปลดแอกโอกินาวะ!”

“พี่ยังจำความรู้สึกตอนปะทะกับหน่วยปราบจลาจลครั้งแรกได้เป็นอย่างดี
กลับบ้านไปด้วยสภาพสะบักสะบอม เนื้อตัวปวดระบม
ความเจ็บปวดทางกายไม่ได้ทำให้พี่เข็ดหลาบ
แต่กลับกระตุ้นส่วนลึกในจิตวิญญาณให้ลุกขึ้นมาประกาศก้องถึงข้อเรียกร้องร่วมกับชาวบ้านตาดำ ๆ
ครั้งก่อนเราเคยทำสำเร็จมาแล้วในหมู่บ้านซูนากาวะ
แต่การต่อต้านสนธิสัญญาความมั่นคงต่างออกไป
เพราะสิ่งที่อยู่เหนือกลไกประชาธิปไตยคือรัฐบาลหุ่นเชิดไร้เสถียรภาพที่มันนั่งแดกภาษีอยู่ข้างในสภา!”

“บุกเลยครับ!”

“สามปีที่ผ่านมาเราคอยขับเคี่ยวกับภัยคุกคามภายในสังคม
ที่เกิดขึ้นจากความอ่อนเชิงทางด้านการทูตของนักการเมือง
เมื่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองถูกล้อมกรอบด้วยกฎหมายต่อต้านการบ่อนทำลาย
เราถูกผลักไสให้พ้นจากขอบเขตของการแสดงออกทางความคิด
จึงเปลี่ยนกลยุทธ์การประท้วงครั้งแล้วครั้งเล่า เราขัดขวางทุกวิถีทางเท่าที่เราพอจะทำได้
แต่จนแล้วจนรอดไอ้หัวเถิกก็ใช้อำนาจในทางมิชอบรวบรัดให้สัตยาบัน!”

ทันใดนั้นเหล่านักศึกษาก็ปรบมือเป็นจังหวะ “โค่นนายกคิชิ…โค่นนายกคิชิ”

มวลชนเริ่มประสานเสียงกันดังกึกก้อง
เมื่อทุกคนคล้อยตามก็เปิดโอกาสให้ซาโยะ
จุดไฟแห่งอุดมการณ์ให้ลุกโพลงในใจผู้ประท้วงนับหมื่นคน
เธอสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วเปล่งเสียงดังกังวานใสออกมาว่า

“อย่ามัวแต่นอนถอนใจเหมือนนักโทษในคุกของระบบทุนนิยม!
หนึ่งเดือนต่อจากนี้จะชี้ชะตาอนาคตของประเทศเรา
หนนี้จะไม่ใช่เพียงร่างกายของพวกเราที่ถูกย้อมเป็นสีแดงฉานไปด้วยเลือด
แต่หน่วยปราบจลาจลเองก็เช่นเดียวกัน
ประชาธิปไตยไม่ได้มีไว้สนองพวกฝักใฝ่อำนาจนิยมอย่างรัฐบาล
ที่ไม่ยอมฟังเสียงของเยาวชนอย่างพวกเรา
สองเท้าเราที่จะก้าวผ่านประตูรัฐสภาเปรียบดั่งพลวัต
คอยหมุนกงล้อแห่งการต่อต้านสนธิสัญญาความมั่นคง
จงแสดงเจตจำนงให้ทุกคนเห็นว่าเราจะไม่ยอมให้อธิปไตยถูกไอ้หุ่นเชิดหัวเถิกหงำเหงอะย่ำยี”
ซาโยะแผดเสียงปลุกระดมดังสะท้านก้อนว่า “โค่นนายกคิชิ!”

“ต่อต้านสนธิสัญญาความมั่นคง!”

“โค่นนายกคิชิ!”

“ต่อต้านสนธิสัญญาความมั่นคง!”

“โค่นนายกคิชิ!!!”

“ต่อต้านสนธิสัญญาความมั่นคง!!!”

ชั่วแวบหนึ่งดวงตาซาโยะฉายแววหวาดกลัวเหมือนคืนนั้น
ลึก ๆ เธอกลัวว่าตัวเองอาจแสดงความอ่อนแอออกมาให้ทุกคนเห็น
ซาโยะกลบเกลื่อนโดยชูกำปั้นขึ้นฟ้า
เสียงเฮจากนักศึกษาดังกระหึ่ม
ทั้งรากฐานอันแกร่งของเซ็งงะคุเร็งที่ซาโยะสร้างมาตลอดหลายปีประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
สังกัดยุวปัญญาชนแตกกิ่งก้านสาขาทั่วทุกแห่งในโรงเรียนและมหาลัย
เธอจัดระเบียบของกลุ่มนักศึกษาแตกแถวให้สามัคคีได้เป็นบึกแผ่น
แต่การเป็นปัญญาชนไม่ได้หมายความว่าเราเป็นวิญญูชนผู้มีสำนึกรู้ผิดชอบชั่วดีด้วยตนเอง

รอยยิ้มบนริมฝีปากซาโยะหยดขึ้นรูปอย่างงดงาม
แต่บ่มด้วยอารมณ์อันหลากหลาย
ทั้งความสะใจอยู่เนือง ๆ
ทั้งสมเพชเวทนาตัวเอง
เพราะรู้ว่าแรงกายแรงใจที่ทุ่มให้การต่อต้านสนธิสัญญาความมั่นคงอาจสูญเปล่า

ผมเลือกที่จะไม่ขุดคุ้ยความผิดที่ซ่อนเร้นในก้นบึ้งจิตสำนึกของซาโยะไปมากกว่านี้
ไม่ว่าซาโยะจะทำอะไรในสายตาผมนั้นเธอไม่ผิด
แผลใจจากสงครามและสภาพการเมืองต่างหากที่หล่อหลอมให้เรากลายเป็นคนไม่ดีอย่างที่เราไม่เคยคิดจะเป็น

ทั้งหมดเป็นเพราะผม…
เป็นเพราะผมเองที่ทำให้ซาโยะตกอยู่ในสภาพนี้
ผมใช้อำนาจของตระกูลบงการนักข่าวให้ปั้นซาโยะเป็นเด็กสาวผู้โด่งดังด้วยฉายาเทพีซูนากาวะ
แต่มันกลับทำให้เธอต้องแบกรับความหวังของนักศึกษาเอาไว้บนบ่าทั้งสองข้างที่กว้างไม่ถึงช่วงแขนผมด้วยซ้ำ
ผมไม่แม้แต่จะอยู่เคียงข้างซาโยะหรือกอดคอร่วมก้าวไปกับเธอ
ภาระอันหนักอึ้งและความกดดันที่ไม่มีใครอยากจะแบกรับมันไว้
ถูกสายตาที่เปี่ยมด้วยความคาดหวังจับจ้องตลอดเวลา
แต่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างซาโยะกลับทนได้นานถึงสี่ปี
…มันนานเกินไปด้วยซ้ำ แต่ผมกลับมองไม่เห็นในจุดนี้

นัยน์ตาซาโยะกลายเป็นสีเทาหม่นไร้ชีวิตชีวา
แขนขาวผ่องของซาโยะเมื่อเพ่งมองใกล้ ๆ มีรอยจ้ำเลือด
ลางร้ายปรากฎขึ้นอย่างชัดเจนนับแต่ผมเห็นสมุดปกม่วงอ่อนในคืนนั้นที่เราอยู่ด้วยกัน
ทว่าช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น ผมกลับมองข้ามอย่างไม่ระแคะระคายเหมือนคนตาบอด
ดวงตาผมไม่ได้รู้แจ้งในโลกแห่งความเป็นจริง

ในเวลานั้นผมรู้ดีว่าควรทำอะไร
ผมจะไม่ปล่อยให้ซาโยะใช้ชีวิตอย่างทนทุกข์แต่เพียงลำพัง
สาวเท้าฝ่าก้อนหินและไข่ดิบที่ปาใส่หน้าผม
ไปสวมกอดซาโยะแนบแน่นเหมือนที่พี่คิโยโกะเคยกอดผมไว้
“กลับบ้านเราเถอะ…”

ผมค่อย ๆ รัดรึงร่างซาโยะด้วยวงแขน
หวังดูดให้เธอจมดิ่งหายไปในอ้อมกอดของผม
เพื่อหลีกลี้หนีจากโลกที่สร้างความผิดหวัง
ปลดปล่อยตัวเองจากพันธะชะตากรรม
จนหลุดพ้นจากกับดักของอุดมการณ์ที่นำมาซึ่งความสิ้นหวัง
ผมต้องช่วยให้ซาโยะเอาชนะความกลัวและความอ่อนแอของตัวเอง “กลับบ้านเรากัน…”

ร่างซาโยะสั่นเทิ้มในอ้อมแขนผม
เธอจิกเล็บฝั่งลงแผ่นหลังผมเพื่อเป็นการลงโทษ
ซาโยะไม่กล้าเอื้อนเอ่ยออกมา
เพราะไม่อยากทิ้งผลพวงแห่งความทุกข์จากการสูญเสียให้ผมทรมานใจ
แต่ผมอยากให้ซาโยะเห็นแก่ตัว
เพราะผมรักที่เธอเป็นเธอ
มิฉะนั้นซาโยะไม่มีวันให้ผมตามไปด้วย

“พูดสิ…ซาโยะ…พูดมันออกมา…”

ความสุขที่ไม่ยืดยาวแผ้วพานให้หัวใจเราจวนจะสลาย

ร่างกายเนื้อตัวซาโยะไร้สิ้นเรี่ยวแรง
เธอข่มกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว
ไหลพรั่งพรูเต็มอกเสื้อของผม
สองมือเธอไล้คว้านไปทั่วแผ่นหลังของผม
ก่อนจะสะอึกสะอื้นเปล่งเสียงแหบพร่าจากความปรารถนาในก้นบึ้งของจิตใจว่า “…ฉันยังไม่อยากตาย…”

เป็นผมเองที่เผลอชี้ทางให้ซาโยะเดินไปในเส้นทางที่เธอไม่เคยคิดที่จะเลือกเดิน

นับแต่นี้ไปอีกหนึ่งเดือน ผมพาซาโยะหนีจากผู้คนที่ตราหน้าว่าเราเป็นต้นเหตุของความตาย
เราหลบเลี่ยงทุกอย่างที่สร้างความร้าวรานใจ
เราหนีจากทุกอย่างได้ ยกเว้นความจริงที่เราหนีไม่พ้น

...เราให้อภัยผู้อื่นได้...แต่เราไม่เคยให้อภัยตัวเอง...

Blind Casting , Lost in the moonlight

อุทิศแด่ คันบะ มิชิโกะ , คาโรอุจิ เคนทาโร่ , มัตสึโมโตะ ชุนสุเกะ , โยชิโมโตะ ทาคาอากิ

วันที่ 15 มิถุนายน 1960 จุดสุดยอดของการประท้วง นักศึกษาบุกเข้าไปทางประตูทิศใต้ของตึกรัฐสภา











































 


*** สมุดตรวจสุขภาพของผู้รอดชีวิตจากระเบิดปรมาณู



*** นิยายของผมมีสามเล่มด้วยกัน เนื้อเรื่องจะตัดสลับระหว่างอดีตกับปัจจุบััน ดังนั้นการรู้อดีตก่อนไม่ได้ทำให้เสียอรรถรสครับ (เรื่องสั้นจะอยู่คนละไทม์ไลน์กับเนื้อเรื่องหลัก)
แก้ไขล่าสุดโดย Karouji เมื่อ Wed Apr 23, 2025 06:27, ทั้งหมด 2 ครั้ง
7
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ
ออฟไลน์
แข้งบุนเดสลีกา
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 23 Aug 2009
ตอบ: 567
ที่อยู่: ถ้ำของเพลโต
โพสเมื่อ: Sun Apr 20, 2025 19:49
[RE: วิจารณ์เรื่องสั้นการเมืองญี่ปุ่นให้หน่อยครับ (ขบวนการนักศึกษายุค 50's)]
ผมมี 3 คำถามครับ
1.หนังสือสามเล่มเต็มหาซื้อได้ทางไหนครับ
2.ถ้าให้เอาหนังสือติดตัวไปตลอดชีวิตได้เพียง 3 เล่มคุณจะพกเล่มใดบ้าง
3.คุณคิดว่านักสนุ๊กเกอร์ถือเป็นนักฟิสิกส์ไหม

เป็นกำลังใจให้ครับ
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
กลุ่มสมาชิกหัวรุนแรง
Status: อุธัจ
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 13 Mar 2025
ตอบ: 48
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sun Apr 20, 2025 20:06
[RE: วิจารณ์เรื่องสั้นการเมืองญี่ปุ่นให้หน่อยครับ (ขบวนการนักศึกษายุค 50's)]
memorandum พิมพ์ว่า:
ผมมี 3 คำถามครับ
1.หนังสือสามเล่มเต็มหาซื้อได้ทางไหนครับ
2.ถ้าให้เอาหนังสือติดตัวไปตลอดชีวิตได้เพียง 3 เล่มคุณจะพกเล่มใดบ้าง
3.คุณคิดว่านักสนุ๊กเกอร์ถือเป็นนักฟิสิกส์ไหม

เป็นกำลังใจให้ครับ  


1.หนังสือสามเล่มเต็มหาซื้อได้ทางไหนครับ
- จัดหน้าและพิสูจน์อักษรอยู่ครับ

2.ถ้าให้เอาหนังสือติดตัวไปตลอดชีวิตได้เพียง 3 เล่มคุณจะพกเล่มใดบ้าง
- The Magic Mountain (Thomas Mann)
- Crime And Punishment (Fyodor Dostoyevsky)
- Ningen Shikkaku (Osamu Dazai)

3.คุณคิดว่านักสนุ๊กเกอร์ถือเป็นนักฟิสิกส์ไหม
- นักกีฬาครับ
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออนไลน์
นักบอลถ้วย ข.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 16 Jan 2020
ตอบ: 6620
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sun Apr 20, 2025 20:10
วิจารณ์เรื่องสั้นการเมืองญี่ปุ่นให้หน่อยครับ (ขบวนการนักศึกษายุค 50's)
ยังไม่มีเวลาอ่าน แผล่บให้ก่อนครับ
โพสต์บนแอป Soccersuck บน Android
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน

ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel