สรุปความแรง Switch 2 เทียบกับ PS4 / PS4 Pro / Xbox Series S
จากที่ตอนนี้ Switch 2 เปิดตัวพร้อมเผยสเปคส่วนใหญ่ออกมาแล้ว
ผมเลยลองให้ ChatGPT 4o เปรียบเทียบความแรงกับเครื่องเกมที่ผู้คนคาดว่า Switch 2 จะทำได้ใกล้เคียงดูครับ
(น่าเชื่อถือแค่ไหนอันนี้ลองพิจารณากันดูเองครับ)
-----------------------------------------------------------------
CPU
Xbox Series S > Switch 2 >> PS4 Pro > PS4
PS4: ใช้ CPU Jaguar รุ่นเก่า ความเร็วต่ำ เหมาะกับการประมวลผลทั่วไป แต่ไม่ถนัดงานที่ต้องใช้หลายเธรดพร้อมกันมากนัก ทำให้เกมที่มีฉากใหญ่หรือระบบฟิสิกส์ซับซ้อนอาจหน่วงบ้างในบางจังหวะ
PS4 Pro: ยังใช้ CPU เดิมแต่เพิ่มความเร็วขึ้นเล็กน้อย แม้ช่วยให้ประสบการณ์โดยรวมดีขึ้น แต่ยังติดข้อจำกัดด้านโครงสร้างเดิม ทำให้ประสิทธิภาพยังตามหลังเครื่องรุ่นใหม่อย่างชัดเจน
Xbox Series S: กระโดดไปใช้ CPU แบบเดียวกับ PS5 คือ Zen 2 ความเร็วสูง รองรับการประมวลผลหลายเธรดแบบแท้จริง ทำให้สามารถจัดการกับเกมยุคใหม่ที่ซับซ้อนทั้งด้านระบบและการจำลองโลกได้อย่างลื่นไหล
Switch 2: ใช้ชิป Nvidia Tegra T239 ซึ่งออกแบบเฉพาะให้ Nintendo โดยใช้สถาปัตยกรรม ARM รุ่นใหม่ที่เหมาะกับการพกพา ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ Xbox Series S โดยเฉพาะเมื่อเปิด Dock ช่วยให้ตอบสนองไวและรองรับเกมที่ต้องใช้ CPU หนักขึ้นได้ดีกว่ารุ่นเดิมหลายเท่า
GPU
PS4 Pro ≈ Xbox Series S > Switch 2 > PS4
PS4: GPU 1.84 TFLOPs เหมาะกับการประมวลผลภาพพื้นฐาน รองรับเอฟเฟกต์ระดับกลางแต่ไม่เหมาะกับการใช้เทคนิคภาพสมัยใหม่หรือฉากที่ซับซ้อนมาก
PS4 Pro: GPU GPU แรงขึ้นเป็น 4.2 TFLOPs สามารถจัดการกับเอฟเฟกต์ภาพขั้นสูงได้ดีขึ้น เช่น แสงเงาและรายละเอียดของฉาก แต่ยังคงจำกัดอยู่ในกรอบของสถาปัตยกรรมเดิม
Xbox Series S: GPU ประสิทธิภาพใกล้ PS4 Pro (4 TFLOPs) แต่ใช้สถาปัตยกรรมใหม่กว่า (RDNA2) ทำให้จัดการกับเอฟเฟกต์ภาพสมัยใหม่ได้ดีกว่าและให้ภาพที่คมชัดสมจริงมากกว่า
Switch 2: ประมาณ 3.5–4 TFLOPs แม้พลังดิบใกล้เคียง PS4 Pro แต่ใช้ DLSS เข้ามาช่วยประมวลผลภาพ ทำให้สามารถแสดงภาพคุณภาพสูงได้โดยไม่ต้องพึ่งพาพลังกราฟิกเพียวๆ
RAM
Switch 2 ≥ Xbox Series S > PS4 Pro ≈ PS4
PS4 / PS4 Pro: ใช้ RAM 8GB GDDR5 เท่ากัน ความเร็วเพียงพอต่อการประมวลผลเกมในยุคนั้น แต่เมื่อเทียบกับเครื่องรุ่นใหม่จะเริ่มเห็นข้อจำกัด โดยเฉพาะในเกมที่ต้องจัดการฉากหรือข้อมูลจำนวนมากพร้อมกัน
Xbox Series S: ใช้ RAM 10GB GDDR6 ซึ่งเร็วและใหม่กว่า ทำให้จัดการกับข้อมูลกราฟิกและระบบเกมได้คล่องตัวขึ้น แม้จะมีบางส่วนของ RAM ถูกกันไว้ให้ระบบ แต่พื้นที่สำหรับเกมยังเหลือพอใช้งานได้อย่างลื่นไหล
Switch 2: ใช้ RAM 12GB LPDDR5 ความเร็วสูง ออกแบบให้เหมาะกับการพกพาและเชื่อมต่อกับ Dock ได้อย่างยืดหยุ่น จุดเด่นคือ latency ต่ำ ประหยัดพลังงาน และสามารถจัดการข้อมูลเกมขนาดใหญ่ได้ดีแม้ในโหมดพกพา
การแสดงผล
Xbox Series S ≈ Switch 2 ≥ PS4 Pro > PS4
PS4: เล่น 1080p เป็นหลัก ตัวเครื่องออกแบบมาสำหรับการแสดงผลระดับพื้นฐาน ภาพดูโอเคสำหรับจอทั่วไป แต่ขาดความคมชัดและรายละเอียดเมื่อเทียบกับเครื่องรุ่นใหม่ และไม่มีระบบช่วยเพิ่มคุณภาพภาพเพิ่มเติม
PS4 Pro: 1440p – 4K (upscale) ใช้เทคนิคปรับขนาดภาพเพื่อให้ดูชัดขึ้นบนหน้าจอขนาดใหญ่ แม้ไม่ได้เรนเดอร์ภาพที่ความละเอียดสูงจริง แต่ผลลัพธ์ยังดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับ PS4
Xbox Series S: รองรับ 1440p ได้จริง และ upscale 4K ได้ดี จุดเด่นคือใช้เทคโนโลยีภาพรุ่นใหม่ที่ประมวลผลภาพได้คมชัดและมีรายละเอียดมากกว่า PS4 Pro แม้พลังประมวลผลดิบจะใกล้เคียงกัน แต่ประสิทธิภาพต่อหน่วยสูงกว่าอย่างชัดเจน
Switch 2: โหมดพกพาคือ 1080p ส่วนโหมด Dock ใช้ DLSS upscale เป็น 4K ได้อย่างสวยงาม โดยระบบ AI จะช่วยขยายภาพจากความละเอียดต่ำให้ดูคมชัดใกล้เคียงกับภาพจริง ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจแม้เครื่องจะไม่ได้แรงสุดในด้านกราฟิกดิบ
ประสบการณ์โดยรวม
Xbox Series S > Switch 2 > PS4 Pro > PS4
PS4: ดีสำหรับเกมเก่าที่ออกมาในช่วงแรกของเจน เช่น เกมปี 2013–2017 ยังเล่นได้ลื่น แต่เริ่มมีปัญหากับเกมที่ซับซ้อนขึ้น เช่นโหลดช้า เฟรมเรตตก และไม่รองรับฟีเจอร์ภาพสมัยใหม่
PS4 Pro: ดีกว่าเดิมพอสมควร เล่นเกมปลายเจนได้สบายขึ้นทั้งด้านความลื่นไหลและความสวยงามของภาพ แม้จะยังไม่สามารถใช้ฟีเจอร์ยุคใหม่ได้เต็มที่ แต่ถือว่าเป็นรุ่นที่แก้จุดอ่อนของ PS4 ได้พอประมาณ
Xbox Series S: ได้สัมผัสเจนใหม่แบบประหยัด ทั้งโหลดไวจาก SSD ภาพสวยจากเทคโนโลยีใหม่ และรองรับฟีเจอร์ของเครื่องรุ่นใหญ่ เช่น Quick Resume, Ray Tracing บางเกม และระบบประมวลผลที่ลื่นไหลกว่าเครื่องรุ่นก่อนหน้าอย่างชัดเจน
Switch 2: ได้ทั้งเล่นพกพาและต่อทีวี มีความยืดหยุ่นสูง เล่นเกมของ Nintendo ได้เต็มที่ และเกม 3rd party ก็ทำงานได้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก พร้อมได้ภาพคุณภาพสูงด้วยการใช้ DLSS ช่วยเสริม ทำให้เหมาะกับทั้งสาย casual และ core gamer