อารมณ์ E-Power+PHEV การขับทุกอย่าง คือ EV น่ำมันเติมเพื่อไปปั่นไฟ คันแรกคือ Deepal S05 และน่าจะตามมาอีกหลายรุ่น
S05

มาอุดช่องโหว่ EV ระยะน้อย

คิดว่าเทคนี้ จะเกิดที่บ้านเรามั้ยครับ

ระยะมันแบ่งยังไงนะครับ ตอนน้ำมันปั่นไฟเข้าแบตใหญ่นี่จะกินจัดจากน้ำหนักไหม

ไอระบบเติมน้ำมันไปปั่นไฟ Nissan มันเริ่มเจ้าแรกไม่ใช่เรอะ e-Power ใน kicks อะ
แค่มันเสียบปลั๊กไม่ได้เฉยๆเลยไม่ใช่ REEV

ผมเชียร์ระบบนี้มากกว่าแต่ไหนแต่ไรละ คือก็เติมน้ำมันเหมือนเดิม แต่ใช้เครื่องขนาดลดลงเพื่อเอาไปปั่นไฟเข้าแบตเฉยๆ มลภาวะมันก็น้อยหน่อยเพราะเครื่องเล็ก แถมบทบาทเป็นตัวสำรอง ใช้กรณีไฟหมดจริงๆเท่านั้นงี้ ผมว่าถ้า Kicks เสียบปลั๊กได้มันก็จบละ

อาจจะน่าหงุดหงิดหน่อยตรงที่มันต้องมาดูแลรถเหมือนรถน้ำมันเพราะยังมีเครื่องอยู่ แต่อาจจะซับซ้อนน้อยลงหน่อย

ไม่ค่อยชอบแฮะ เสียดายน้ำมัน

แทนที่จะเอามาวิ่งได้ ก็เอาไปทำให้เสียประโยชน์โดยการเอาไปปั่นไฟ

เพราะมันต้องมีการสูญเสียอยู่แล้ว เช่น เป็นความร้อนออกมา หรือเป็นเขม่า หรืออื่นๆ

เหมือนเรามีเชื้อเพลงที่ใช้ได้อยู่แล้ว เช่น แก๊สหุงต้มละกัน

แต่เราบอกว่า ไม่เอาแก๊สหุงต้ม เราจะเอาแก๊สหุงต้ม ไปต้มให้เดือด และปั่นเป็นพลังงานไฟฟ้า มาใช้กับเตาไฟฟ้า

มันก็จะแปลกๆหน่อยว่า ทำไมไม่ใช้แก๊สหุงต้ม ต้มเลยวะ



แต่เอาจริงๆผมยังไม่ได้ดูสเปคนะครับว่ายังไง

น้ำมัน 1 ลิตรทำให้ปั่นไฟ แล้ววิ่งได้กี่ กก

สมมุติน้ำมัน 1 ลิตร ถ้าใช้น้ำมันปกติ วิ่งได้ 20 กม/ลิตร

แต่พอเอามาใช่เป็นตัวปั่นไฟ น้ำมัน 1 ลิตร ทำให้ปั่นไฟออกมาได้ แล้ววิ่งได้ 40 กม.

แบบนี้ก็ยังไม่รู้จะโอเคมั้ย ในเมื่อเทียบกันแล้ว

ค่าไฟที่ชาร์จรถ มันประมาณ 0.5 บาท/กม

น้ำมัน 2 บาท/กม

แปลว่าห่างกันอยู่ 4 เท่า

แปลว่าน้ำมัน 1 ลิตรที่จะเติมเพื่อปั่นไฟ ต้องปั่นไฟเพื่อให้วิ่งได้ 80 กม ถึงจะคุ้ม

ถ้าจะบอกว่า แก้ปัญหาให้วิ่งได้ไกลขึ้น

ผมว่าเทคโนโลยีมันเอามาให้ว้าวเฉยๆ ฉาบฉวย สู้เจ้าของแบต หรือหัวชาร์จ ทำให้ชาร์จไวได้ 5 นาทีเต็ม

แบบนี้น่าจะเป็นเทคโนโลยีที่ไปได้ไกลกว่า

เหมือน kicks epower ขยายแบท+เสียบปลั๊กสินะ หรือคิดอีกแบบเหมือน PHEV ที่ล๊อกโหมด ev อย่างเดียวพร้อมสั่งให้เครื่องยนต์เติมไฟตลอด

ผมว่ามันมาอุดจุดอ่อน kicks ได้ ที่แบตเล็ก วิ่งไกลๆเร็วๆมันกินเยอะขึ้นกว่าขับในเมืองเยอะอยู่

เอาจริงๆ มันก็คือ PHEV นั้นแหละถามว่านิยมในไทย

จากที่ดูราคามือสอง ทุกแบรนด์ที่เป็น PHEV ยับทุกแบรนด์

ยิ่งตราดาว ตระกูล e นี้ลองไปดูราคามือสองกันละกัน

มันเหมาะกับคนที่มีที่ชาร์จมากกว่า แล้วนานๆจะใช้น้ำมันมาปั่นไฟเพื่อวิ่งทางไกลถ้าคนที่กะจะเติมน้ำมันอย่างเดียวพวก ehev ดูจะตอบโจทย์กว่าประหยัดกว่าเยอะ

เหมาะกับสายวิ่งเยอะ เกิน600โล++แล้วไม่อยากแวะพัก แต่คนปกติก็แวะพักกันทุก150-300โลอยู่ละ

ส่วนตัวผมชอบนะ ได้อัตราเร่งแบบEV และได้ระยะทางแบบรถน้ำมัน แต่จะลำบากตอนซ่อมนี่แหละ

ซ่อม2ระบบ ผมยังคิดอยู่เลย ว่าจะมีรถ2คัน คันนึงน้ำมันคันนึงไฟฟ้า ไม่เอา REEV แต่ถ้าคนอยากมีรถ

คันเดียว แล้วไม่อยากใช้น้ำมัน REEV ก็ตอบโจทย์

มันเหมือน PHEV ที่ระยะวิ่งมากขึ้นมั้ยอ่าา

มันต่างกันตรงรายละเอียดเล็กน้อย(แต่มีผลมาก)

นิสสัน เสียบปลั๊กชาร์จไม่ได้เหมือน REEV

นิสสันวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนๆได้ไม่กี่กิโล (แบตเล็ก) วิ่งไปเครื่องปั่นแทบจะทำงานตลอดเวลาที่ขับ

REEV วิ่งด้วยแบตได้ 100 กม.++ วิ่งจนกว่าแบตจะเหลือ 20% เครื่องปั่นไฟค่อยทำงานชาร์จไฟเติมแบต

เครื่องยนต์ของ REEV จะทันสมัยกว่าเพราะรถใหม่กว่า ออกแบบมาให้เป็นเครื่องปั่นไฟโดยเฉพาะไมได้เป็นเครื่องดัดแปลงแบบนิสสัน
(ทำงานรอบต่ำ มลพิษต่ำ กินน้ำมันน้อย ความสึกหรอต่ำ)

การดูแลรักษาจะยุ่งยากไหม ผมว่าถ้าเทคชาร์จไวของ BYD ที่โฆษณาล่าสุดแมสได้จริงจะน่าจะเกิดมากกว่า

ชอบอยู่นะเอาไว้จอดนอนเวลาเดินทางไกล

ผมไม่ชอบ เพราะกลายเป็น ต้องดูแล 2 ระบบเลย

ทั้งน้ำมัน (เพราะมีเครื่องยนต์ ถึงจะไม่ได้ลงล้อโดยตรง ) กับ ไฟฟ้า มีแบตกับมอเตอร์

รอรถไฟฟ้าที่ วิ่งยาวๆได้เกิน 500-700 โล ขึ้นไป เป็นมาตรฐานไปเลยดีกว่า

อย่างน้อยสรรพสามิตก็ออกมาบอกแล้วว่าจะมีการปรับลดภาษีในส่วนรถ PHEV ลงแต่เแพาะที่แบตวิ่งได้ 80 กม.ขึ้นไปนะ ก็ถือว่าน่าจะทำให้ตลาดรถแบบนี้ในบ้านเราดีขึ้นรึเปล่า

เพิ่งคุยกับเซลมา เซลยังบอกขับได้ไกลกว่าจริงจากรุ่นเก่า 400+ อันนี้ได้เป็น 1000 แต่ค่าการดูแลนี่ยุบยับมากเพราะทั้งสันดาปและไฟฟ้าด้วยเลยมีแบตอีก เพราะมี 2 ระบบนี่แหละไม่รู้ประกันแพงกว่าด้วยไหม