มีลูกค้าเดินมาขอตรวจ “ไวรัสตับอักเสบซี” เราจึงสอบถามว่ามีความเสี่ยงมานานแค่ไหน ทำไมถึงต้องการตรวจ
ลูกค้าแจ้งว่า เมื่อ 4 ปีที่แล้วเค้าไปบริจาคเลือดที่กาชาดตามปกติ
ผ่านไปประมาณ 1 สัปดาห์
มีจดหมายจากกาชาดแจ้งมาว่าลูกค้า “ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี” เลือดที่บริจาคไปใช้ไม่ได้
และแจ้งให้ลูกค้าไปตรวจซ้ำแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย
.
.
ลูกค้าตกใจกับผลที่ออกมา
เพราะบริจาคเลือดมาหลายครั้งแต่ไม่เคยเจอปัญหานี้
.
ถัดไปอัก 1 สัปดาห์จึงตัดสินใจไปตรวจ “ไวรัสตับอักเสบซี“ ซ้ำแต่ตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพ
.
ผลออกมาว่า Negative คือไม่พบการติดเชื้อ
เป็นการตกใจครั้งที่ 2
เค้าจึงเดินทางไปตรวจไวรัสตับอักเสบซีซ้ำอีกครั้งที่กาชาดตามจดหมายที่แจ้งมา
ต้องตกใจเป็นครั้งที่ 3 เพราะผลออกมาเป็น Negative ไม่พบเชื้อเช่นกันกับที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง แต่ ผลค้านกับสัปดาห์ที่แล้วตอนไปบริจาคเลือด
.
.
เกิดคำถามว่า แล้วผลจากจดหมายฉบับแรกจากกาชาดคืออะไร....
ตกลงเค้าติดเชื้อไวรัสซี หรือ ไม่ติดเชื้อกันแน่
ไม่ได้รับคำอธิบายผลให้เข้าใจ บอกแค่ว่า “คุณไม่ได้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี”
เสียความรู้สึกมากจึงเลิกไปบริจาคเลือด
...จน 4 ปี ผ่านไป...
คิดว่าอยากกลับมาบริจาคเลือดอีกครั้ง
จึงได้เดินทางไปบริจาคเลือด
1 สัปดาห์ผ่านไปมีจดหมายส่งกลับมาอีกครั้งว่า “ตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบซี” ให้ไปตรวจซ้ำอีกครั้งแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย
เหมือนเดิม...
ต้องตกใจอีกครั้ง
ผลมันกลับไปกลับมาได้ด้วยเหรอ มาตรฐาน ความถูกต้องอยู่ตรงไหน ??
นั่นคือสิ่งที่ลูกค้าสงสัย
จึงได้มาขอตรวจไวรัสตับอักเสบซีกับเรา เราจึงให้คำแนะนำไปว่าควรไปตรวจซ้ำที่กาชาด แล้วรอดูผลที่จะออกมาว่าจะเป็นยังไง
ลูกค้ากลับไปด้วยความสบายใจ..ขึ้น เพราะเราได้อธิบายเรื่องการตรวจไวรัสตับซีมีแบบไหนยังบ้างให้ฟัง แล้วสามารถเข้ามาปรึกษาเราได้ถ้ามีคำถามหรือข้อสงสัย
เราได้ติดต่อสอบถามกับทางกาชาด ได้คำตอบกลับมาว่า
ทางกาชาดพยายามที่จะตั้งค่าเครื่องเพื่อให้มีความไวที่ดีที่สุด คัดกรองให้ได้ดีที่สุด เพื่อป้องกันโอกาสที่เลือดที่มีเชื้อไวรัสตับซี จะหลุดลอดไปสู่ผู้รับเลือดได้
ซึ่งเป็นทางที่อาจทำให้มีโอกาสเกิดผลบวกลวง หมายถึง อาจจะไม่ได้ติดเชื้อ แต่ ผลออกมาว่าติดเชื้อ แล้วให้ไปเช็คซ้ำ
ซึ่งเป็นทางที่น่าจะปลอดภัยกับทางผู้รับเลือดมากที่สุด
นั่นเป็นคำตอบว่าทำไมผลตรวจไวรัสตับซีลูกค้ารายนี้ ถึงออกมาว่าเป็นติดเชื้อ แต่จริงๆแล้ว ไม่ได้ติดเชื้อ