‘ไม่หยุดหย่อน’ มลพิษทางเสียงคุกคามการกลับมาของปลาวาฬในนอร์เวย์อย่างไร
วาฬนำร่องเป็นหนึ่งในสายพันธุ์มากมายที่มาเยือนบริเวณอาร์กติกเซอร์เคิลของนอร์เวย์ - Cr. Heike Vester/Ocean Sounds
มลพิษทางเสียงในมหาสมุทรกำลังเป็นภัยคุกคามต่อการกลับมาของวาฬในน่านน้ำนอร์เวย์ กิจกรรมมนุษย์ เช่น การสำรวจน้ำมันและก๊าซ การเดินเรือ และการท่องเที่ยวทางทะเล
สร้างเสียงดังที่รบกวนการสื่อสาร การหาอาหาร และการนำทางของวาฬ เสียงจากเครื่องยนต์เรือและการใช้ปืนลมในกิจกรรมสำรวจใต้ทะเล ส่งผลให้วาฬไม่สามารถหาอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เวสเตอร์บันทึกเสียงจากทะเลในเวสต์ฟยอร์ดมาหลายร้อยครั้งในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา - Cr. Marthe Mølstre/Guardian
ดร.ไฮเกอ เวสเตอร์ นักชีววิทยา ได้บันทึกเสียงใต้น้ำที่แสดงให้เห็นถึงความถี่และความดังของเสียงที่เกิดจากกิจกรรมมนุษย์ เสียงเหล่านี้รบกวนการสื่อสารของวาฬ และอาจส่งผลให้พวกมันต้องย้ายถิ่นฐานหรือประสบปัญหาในการหาอาหาร
นอกจากนี้
มลพิษทางเสียงยังส่งผลกระทบต่อแพลงก์ตอนสัตว์ ซึ่งเป็นอาหารหลักของวาฬสีน้ำเงิน
การใช้ปืนลมในการสำรวจน้ำมันและก๊าซสามารถฆ่าแพลงก์ตอนสัตว์ได้ในระยะทางไกล ส่งผลต่อห่วงโซ่อาหารในระบบนิเวศ
เวสเตอร์ดูแลการผ่าตัดโลมาในท่าเรือโดยนักศึกษาฝึกงานสามคน - Cr. Sveinung และ Cecilie Hoset
การลดมลพิษจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อปกป้องวาฬและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในระบบนิเวศทางทะเล การควบคุมกิจกรรมมนุษย์ที่สร้างเสียงดัง และการพัฒนามาตรการลดเสียงใต้น้ำ จะช่วยให้วาฬสามารถดำรงชีวิตและกลับมาสู่พื้นที่เดิมได้อย่างปลอดภัย การตระหนักถึงปัญหามลพิษทางเสียงและผลกระทบต่อวาฬในนอร์เวย์ เป็นก้าวสำคัญในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเล ความร่วมมือระหว่างนักวิทยาศาสตร์ รัฐบาล และชุมชนท้องถิ่น จะช่วยสร้างแนวทางที่ยั่งยืนในการปกป้องทะเล
ที่มา: https://www.theguardian.com/environment/2024/dec/03/its-nonstop-how-noise-pollution-threatens-the-return-of-norways-whales
#################################################################
พบกวางลึกลับสวมเสื้อสะท้อนแสงในแคนาดา 'ใครรับผิดชอบ?'
กวางสวมแจ็คเก็ตสะท้อนแสงในเมืองแม็คไบรด์ รัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา เมื่อวันอาทิตย์ - Cr. Joe Rich
เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2024 มีรายงานการพบกวางล่อในเมืองแมคไบรด์ รัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา
สวมเสื้อกั๊กสะท้อนแสงสีเหลืองนีออน เหตุการณ์นี้สร้างความประหลาดใจและความสงสัยให้กับชุมชนท้องถิ่น
แอนเดรีย อาร์โนลด์ นักข่าวท้องถิ่นของหนังสือพิมพ์ Rocky Mountain Goat ได้ถ่ายภาพกวางดังกล่าวขณะขับรถผ่านบริเวณชานเมืองที่มีหิมะปกคลุม เธอกล่าวว่า "
ฉันต้องมองซ้ำหลายครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นเป็นจริง" ภาพที่เธอถ่ายแสดงให้เห็นกวางสวมเสื้อกั๊กสะท้อนแสง โดยขาหน้าใส่ผ่านช่องแขนและซิปถูกปิดอย่างเรียบร้อย
ภาพดังกล่าวถูกเผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์และได้รับความสนใจอย่างมาก บางคนเชื่อว่าเสื้อกั๊กสะท้อนแสงอาจช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับกวางเมื่ออยู่ใกล้ถนน แต่ในขณะเดียวกัน เสื้ออาจติดกับสิ่งของหรือทำให้กวางตื่นตระหนกหรือบาดเจ็บได้
จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าใครเป็นผู้สวมเสื้อกั๊กให้กับกวางตัวนี้ และเหตุผลที่ทำเช่นนั้น เจ้าหน้าที่อนุรักษ์ท้องถิ่นกำลังสืบสวนเรื่องนี้ โดยระบุว่า "
กวางไม่ใช่สัตว์ที่มีนิสัยสวมเสื้อผ้า" และคาดว่าอาจเป็นการกระทำของผู้ไม่หวังดี
เหตุการณ์นี้สร้างความสงสัยและความสนใจในชุมชนเมืองแมคไบรด์ ซึ่งมีประชากรน้อยกว่า 1,000 คน และยังคงเป็นปริศนาว่าใครเป็นผู้สวมเสื้อกั๊กสะท้อนแสงให้กับกวางตัวนี้
ที่มา: https://www.theguardian.com/world/2024/nov/27/deer-high-visibility-jacket-british-columbia
#################################################################
จับหมีได้แล้วหลังเผชิญหน้ากับตำรวจญี่ปุ่นในซูเปอร์มาร์เก็ตนาน 3 วัน
หมีกำลังออกจากถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติในญี่ปุ่นเพื่อแสวงหาอาหาร - Cr. Town of Shibecha/AFP/Getty Images
เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2024
เกิดเหตุหมีความสูงประมาณ 1 เมตรบุกเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งในจังหวัดอาคิตะ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น หมีตัวนี้ได้ทำร้ายพนักงานชายวัยประมาณ 40 ปี บริเวณใกล้ห้องเก็บของ ส่งผลให้เขาได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้าและส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย แต่ไม่มีอาการร้ายแรงถึงชีวิต
หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว
เจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานท้องถิ่นได้พยายามจับกุมหมีตัวนี้ โดยวางกับดักที่มีน้ำผึ้ง แอปเปิ้ล และขนมปังเป็นเหยื่อล่อ บริเวณทางเข้าซูเปอร์มาร์เก็ต
ในช่วงเช้าของวันที่ 2 ธันวาคม 2024 กับดักดังกล่าวได้ผล หมีถูกจับได้และถูกทำให้สงบก่อนที่จะถูกกำจัด
ตำรวจปราบจลาจลเรียกตำรวจมาช่วยหลังจากหมีขย้ำพนักงานซูเปอร์มาร์เก็ตในภาคเหนือของญี่ปุ่น - Cr. Akita Broadcasting System
เหตุการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่ทางตอนเหนือของญี่ปุ่น ซึ่งมีการพบหมีออกจากถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติเพื่อหาอาหารมากขึ้น ทางการได้เตือนประชาชนให้เพิ่มความระมัดระวัง แม้ในเขตเมือง เนื่องจากหมีเหล่านี้กำลังเตรียมตัวเข้าสู่ช่วงจำศีล
ในปีนี้ จังหวัดอาคิตะพบการปรากฏตัวของหมีมากขึ้นอย่างผิดปกติ และมีรายงานว่ามีประชาชนถูกหมีทำร้ายจนบาดเจ็บถึง 30 ราย ส่งผลให้ประชาชนต้องระมัดระวังตัวเมื่ออยู่บนท้องถนน แม้กระทั่งในเขตเมือง จนกว่าหมีจะเข้าสู่ช่วงจำศีลในฤดูหนาว
ที่มา: https://www.theguardian.com/world/2024/dec/02/akita-japan-bear-attack-supermarket-captured
#################################################################
"ฉันไม่ยอมรับว่าฉันกลัว" นักชีววิทยา ทีน่า มอร์ริส กล่าวถึงการต่อสู้เพื่อช่วยชีวิตนกอินทรีหัวขาว
จำนวนนกอินทรีหัวโล้นลดลงจาก 400,000 ตัวเหลือเพียง 417 คู่ที่ทำรังในปี 1963 ปัจจุบันมี 100,000 คู่ทั่วสหรัฐอเมริกาและอลาสก้า - Cr. Alamy
ในช่วงทศวรรษ 1960
นกอินทรีหัวขาว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งชาติของสหรัฐอเมริกา
เผชิญกับภาวะใกล้สูญพันธุ์อย่างรุนแรง Tina Morris นักวิจัยสาววัย 26 ปี ได้รับมอบหมายให้ดูแลลูกนกอินทรีหัวขาวสามตัวในพื้นที่ชนบทของรัฐนิวยอร์ก
หน้าที่ของเธอคือการเลี้ยงดูและฝึกฝนลูกนกเหล่านี้ให้เติบโตจนสามารถปล่อยคืนสู่ธรรมชาติได้ อย่างไรก็ตาม
ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่สำหรับ Morris คือการต้องปีนโครงนั่งร้านสูง 35 ฟุตทุกเช้าเพื่อให้อาหารลูกนก แม้ว่าเธอจะกลัวความสูงอย่างมากก็ตาม เธอต้องเอาชนะความกลัวนี้เพื่อปฏิบัติหน้าที่ของเธอ
ทีน่ากับนกอินทรีในช่วงทศวรรษ 1970 เธอใช้ขากางเกงยีนส์ที่ถูกตัดสั้นเพื่อจับนกอินทรีไว้อย่างปลอดภัย - Cr. theguardian
Morris เป็นผู้หญิงคนเดียวในทีมอนุรักษ์ของเธอ เธอตระหนักดีว่าการแสดงความกลัวหรือความไม่มั่นใจอาจทำให้เธอถูกมองว่าไม่เหมาะสมกับงานนี้ เธอกล่าวว่า "
คุณไม่สามารถแสดงความกลัวได้ เพราะจะมีผู้ชายที่พร้อมจะบอกว่า 'ฉันทำได้'" ด้วยความมุ่งมั่นและความกล้าหาญ
Morris สามารถเลี้ยงดูและปล่อยลูกนกอินทรีหัวขาวเหล่านี้คืนสู่ธรรมชาติได้สำเร็จ ความพยายามของเธอมีส่วนสำคัญในการฟื้นฟูประชากรนกอินทรีหัวขาวในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา
ทีน่า มอร์ริส 'ฉันไม่เคยอยู่ใกล้ๆ นกตัวใหญ่ๆ มาก่อนเลย และฉันก็กลัวความสูงมาก' - Cr. Svetlana
ปัจจุบัน นกอินทรีหัวขาวได้กลับมามีจำนวนเพิ่มขึ้นและไม่ถือว่าใกล้สูญพันธุ์อีกต่อไป ความสำเร็จนี้เป็นผลมาจากความทุ่มเทของนักอนุรักษ์เช่น
Morris ที่ไม่ยอมแพ้ต่อความท้าทายและความกลัวของตนเอง เรื่องราวของเธอเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่ทำงานด้านอนุรักษ์ทั่วโลก
นกอินทรีหัวขาว (Haliaeetus leucocephalus) เป็นนกขนาดใหญ่ที่มีขนหัวและหางสีขาว ตัดกับขนลำตัวสีน้ำตาลเข้ม พวกมันเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งและอิสรภาพ และถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ในตราประจำชาติของสหรัฐอเมริกา การฟื้นฟูประชากรของพวกมันเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความสำเร็จในการอนุรักษ์สัตว์ป่า
ที่มา: https://www.theguardian.com/environment/2024/nov/23/i-couldnt-admit-i-was-afraid-biologist-tina-morris-on-her-fight-to-save-the-bald-eagle
#################################################################
นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ หมาป่าเลียนแบบผึ้งเป็นครั้งแรกอย่างน่าเหลือเชื่อ
หมาป่าจะเลียดอกไม้ที่อยู่ต่ำที่สุด และจะรวบรวมละอองเกสรไว้ที่ปากกระบอกปืน - Cr. Adrien Lesaffre
นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบพฤติกรรมที่ไม่เคยพบมาก่อนใน
หมาป่าเอธิโอเปีย (Canis simensis) ซึ่งเป็นสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่ที่ใกล้สูญพันธุ์ พวกมันถูกพบว่ากำลังเลียน้ำหวานจากดอกไม้ของพืชที่เรียกว่า "
Kniphofia foliosa" หรือที่รู้จักในชื่อ "
Red Hot Poker"
พฤติกรรมนี้ชี้ให้เห็นว่าหมาป่าเหล่านี้อาจมีบทบาทในการผสมเกสรดอกไม้
การสังเกตพบว่า หมาป่าเอธิโอเปียจะเลียดอกไม้เพื่อกินน้ำหวาน ซึ่งทำให้ละอองเกสรติดอยู่บนจมูกของพวกมัน เมื่อพวกมันย้ายไปยังดอกไม้อื่น ๆ ละอองเกสรเหล่านี้อาจถูกถ่ายโอนไปยังดอกไม้ใหม่ ส่งผลให้เกิดการผสมเกสร นี่เป็นครั้งแรกที่มีการบันทึกว่าสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่มีบทบาทในการผสมเกสร
หมาป่าเอธิโอเปียกำลังเดินเตร่ไปมาระหว่างดอกไม้ของต้นโป๊กเกอร์สีแดงร้อน - Cr. Adrien Lesaffre
แม้ว่าหมาป่าเอธิโอเปียจะเป็นนักล่าที่มักกินสัตว์ฟันแทะเป็นหลัก แต่การเลียน้ำหวานจากดอกไม้แสดงให้เห็นว่าพวกมันมีพฤติกรรมการหาอาหารที่หลากหลาย
นักวิจัยเชื่อว่าการกินน้ำหวานอาจเป็นการเสริมพลังงานหลังจากการล่า
ทีมงานมีความกระตือรือร้นที่จะยืนยันว่าการผสมเกสรเกิดขึ้นจริงหรือไม่ และสำรวจว่ามีหลักฐานใดๆ ของการวิวัฒนาการร่วมกันระหว่างคู่ที่ผิดปกตินี้หรือไม่ - Cr. Adrien Lesaffre
การค้นพบนี้เน้นย้ำถึงความซับซ้อนของระบบนิเวศและความสัมพันธ์ระหว่างสัตว์กับพืช หมาป่าเอธิโอเปียไม่เพียงมีบทบาทเป็นผู้ล่า แต่ยังอาจเป็นผู้ช่วยผสมเกสร ซึ่งเป็นหน้าที่ที่มักถูกจำกัดให้กับแมลงและนก อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อยืนยันพฤติกรรมของหมาป่าเอธิโอเปียอย่างชัดเจน
ที่มา: https://www.sciencealert.com/scientists-discover-wolves-mimicking-bees-in-an-incredible-new-first, https://edition.cnn.com/2024/12/06/science/wolves-flowers-pollinator-ethiopia/index.html
#################################################################
ปลาแซลมอนกำลัง 'กลับบ้าน' เพื่อวางไข่ในแม่น้ำคลาแมธ หลังจากเขื่อนถูกรื้อออกไป
ปลาแซลมอนว่ายน้ำในสาขาของแม่น้ำคลาแมธในเดือนตุลาคม 2024 - Cr. Swiftwater Films via AP
หลังจากการรื้อถอนเขื่อนสี่แห่งบนแม่น้ำคลาแมท ซึ่งเป็นโครงการรื้อถอนเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา ปลาแซลมอนได้กลับมาวางไข่ในลำธารที่เคยถูกปิดกั้นมานานหลายทศวรรษ วิดีโอที่ถ่ายโดยชนเผ่ายูรอก (Yurok Tribe) แสดงให้เห็นว่ามีปลาแซลมอนหลายร้อยตัวมาถึงลำธารระหว่างพื้นที่ที่เคยเป็นที่ตั้งของเขื่อน Iron Gate และ Copco ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับแม่น้ำที่ได้รับการฟื้นฟูใหม่
การรื้อถอนเขื่อนเหล่านี้เป็นผลมาจากความพยายามอย่างยาวนานของชนเผ่าพื้นเมืองในพื้นที่ ที่ได้ต่อสู้ผ่านการประท้วง การให้การ และการฟ้องร้อง เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเสียหายทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากเขื่อนเหล่านี้ โดยเฉพาะต่อปลาแซลมอนที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณต่อชนเผ่าเหล่านี้
ในภาพนี้ซึ่งถ่ายจากวิดีโอที่จัดทำโดยเผ่า Yurok ปลาแซลมอนว่ายน้ำในสาขาของแม่น้ำ Klamath ในเดือนตุลาคม 2024 - Cr. AP
แม่น้ำคลาแมทไหลจากต้นน้ำในรัฐโอเรกอนตอนใต้ ผ่านป่าภูเขาในแคลิฟอร์เนียตอนเหนือ ก่อนจะถึงมหาสมุทรแปซิฟิก
การรื้อถอนเขื่อนเหล่านี้ไม่เพียงแต่เปิดทางให้ปลาแซลมอนที่เคยถูกปิดกั้น แต่ยังเป็นการฟื้นฟูระบบนิเวศของแม่น้ำทั้งหมด
การกลับมาของปลาแซลมอนในแม่น้ำคลาแมทเป็นสัญญาณที่น่ายินดีสำหรับความพยายามในการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม และเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความสำเร็จที่สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อชุมชนและหน่วยงานต่าง ๆ ร่วมมือกันฟูทรัพยากรธรรมชาติ
ที่มา: https://www.theguardian.com/us-news/2024/nov/19/klamath-river-dam-removal-salmon
#################################################################
สหรัฐฯ เตรียมขึ้นบัญชียีราฟภายใต้กฎหมายคุ้มครองสัตว์ใกล้สูญพันธุ์เป็นครั้งแรก
ยีราฟตัวน้อยกำลังเล่นกับแม่ของมันที่สวนสัตว์เทียร์ปาร์คในเบอร์ลินเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2024 - Cr. Ralf Hirschberger/AFP/Getty Images
ยีราฟ สัตว์ที่สูงที่สุดในโลก กำลังเผชิญกับภาวะประชากรลดลงอย่างน่าตกใจ จากข้อมูลขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ
(IUCN) พบว่าประชากรยีราฟทั่วโลกลดลงกว่า 40% ตั้งแต่ปี 1985 เหลือเพียงประมาณ 69,000 ตัว สาเหตุหลักมาจากการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย การลักลอบล่าสัตว์ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ล่าสุด
องค์การบริหารปลาและสัตว์ป่าแห่งสหรัฐอเมริกา (US Fish and Wildlife Service)
ได้เสนอให้ขึ้นบัญชียีราฟเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ภายใต้กฎหมายคุ้มครองสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ของสหรัฐฯ การดำเนินการนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการลักลอบนำเข้าสินค้าที่ผลิตจากส่วนต่างๆ ของยีราฟ เช่น พรม เครื่องประดับ และเฟอร์นิเจอร์ โดยสหรัฐฯ ถือเป็นตลาดสำคัญสำหรับสินค้าดังกล่าว
มาร์ธา วิลเลียมส์ ผู้อำนวยการ
US Fish and Wildlife Service กล่าวว่า "การคุ้มครองยีราฟในระดับรัฐบาลกลางจะช่วยปกป้องสายพันธุ์ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ สนับสนุนสุขภาพของระบบนิเวศ ปราบปรามการค้าสัตว์ป่า และส่งเสริมแนวทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน"
การขึ้นบัญชียีราฟเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์จะช่วยเพิ่มความพยายามในการอนุรักษ์ยีราฟทั่วโลก และเป็นการส่งสัญญาณถึงความสำคัญของการปกป้องสัตว์ป่าที่กำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากกิจกรรมของมนุษย์
ที่มา: https://www.theguardian.com/environment/2024/nov/21/giraffes-endangered-species
#################################################################
หมาป่าจะสูญเสียสถานะ 'การคุ้มครองอย่างเข้มงวด' ในยุโรป
คณะกรรมการที่ทำหน้าที่ปกป้องสัตว์ป่าได้ลดสถานะการคุ้มครองหมาป่าลงหนึ่งระดับ หลังจากสมาชิกลงมติเห็นชอบข้อเสนอจากสหภาพยุโรปที่ลดมาตรฐานในการยิงหมาป่าลง - Cr. Arnd Wiegmann/REUTERS
เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2024
คณะกรรมการของอนุสัญญาเบิร์นได้อนุมัติข้อเสนอจากสหภาพยุโรป (EU) ให้ปรับลดสถานะการคุ้มครองหมาป่าจาก "
คุ้มครองอย่างเข้มงวด" เป็น "
คุ้มครอง"
การเปลี่ยนแปลงนี้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 7 มีนาคม 2025 หากไม่มีประเทศสมาชิกอย่างน้อยหนึ่งในสามคัดค้าน
การปรับลดสถานะการคุ้มครองนี้เกิดขึ้นเนื่องจากจำนวนประชากรหมาป่าในยุโรปเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันมีประมาณ 20,000 ตัว อย่างไรก็ตาม
การเพิ่มขึ้นของหมาป่าได้นำไปสู่ความขัดแย้งกับชุมชนเกษตรกรรม เนื่องจากมีการโจมตีปศุสัตว์เพิ่มขึ้น สหภาพยุโรปประมาณการว่าหมาป่าฆ่าสัตว์เลี้ยงประมาณ 65,000 ตัวต่อปี
การตัดสินใจนี้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มเกษตรกรและนักล่า แต่ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มอนุรักษ์ มาร์ตา คลิมคีวิช จาก ClientEarth กล่าวว่า "
การตัดสินใจนี้เป็นการเปิดไฟเขียวให้ยิงหมาป่า โดยได้รับการยอมรับจากชุมชนนานาชาติ"
โซฟี รุยส์ชาร์ต จาก BirdLife Europe and Central Asia กล่าวว่าการตัดสินใจนี้อาจ "
ทำลายความก้าวหน้าในการอนุรักษ์ของยุโรปที่ดำเนินมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ"
ในขณะที่หมาป่าถูกล่าจนเกือบสูญพันธุ์ในยุโรปในศตวรรษที่ 19 และ 20 แต่ได้กลับมาเพิ่มจำนวนขึ้นในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากการคุ้มครองถิ่นที่อยู่และการควบคุมการล่า อย่างไรก็ตาม
ความตึงเครียดระหว่างหมาป่ากับชุมชนเกษตรกรรมยังคงเป็นปัญหาที่ต้องการการจัดการอย่างรอบคอบ เพื่อรักษาสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการปกป้องวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่น
ที่มา: https://www.reuters.com/world/europe/wolves-lose-strictly-protected-status-europe-2024-12-03
#################################################################
การศึกษาพบว่าชาวอเมริกันในสมัยโบราณชอบกินสเต็กเนื้อแมมมอธ
ผลงานการสร้างใหม่ของศิลปินเกี่ยวกับชีวิตในโคลวิสเมื่อ 13,000 ปีก่อนแสดงให้เห็นทารกแอนซิกกับแม่ที่กำลังกินเนื้อแมมมอธใกล้เตาผิง - Cr. Eric Carlson
การศึกษาล่าสุดเผยให้เห็นหลักฐานโดยตรงครั้งแรกว่า
ชาวโคลวิส (Clovis) ซึ่งเป็นมนุษย์กลุ่มแรกในอเมริกาเหนือเมื่อประมาณ 12,800 ปีก่อน พึ่งพาเนื้อแมมมอธเป็นอาหารหลัก การวิเคราะห์ไอโซโทปเสถียรในกระดูกของเด็กวัย 18 เดือนที่ถูกฝังในมอนทานา พบว่าอาหารของมารดาของเด็กประกอบด้วยเนื้อแมมมอธถึง 40%
ผลการวิจัยนี้สอดคล้องกับแนวคิดที่ว่าชาวโคลวิสเป็นนักล่าสัตว์ขนาดใหญ่ ซึ่งช่วยให้พวกเขาแพร่กระจายอย่างรวดเร็วทั่วอเมริกาเหนือและใต้ การล่าแมมมอธและสัตว์ขนาดใหญ่อื่น ๆ อาจมีบทบาทสำคัญในการสูญพันธุ์ของสัตว์เหล่านี้ในช่วงปลายยุคน้ำแข็ง
ก่อนหน้านี้ การทำความเข้าใจอาหารของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์อาศัยหลักฐานทางอ้อม เช่น เครื่องมือหินหรือซากสัตว์ที่ถูกล่า การศึกษานี้ใช้การวิเคราะห์ไอโซโทปเสถียรเพื่อสร้างแบบจำลองอาหารของมารดาของเด็กที่ถูกฝัง ซึ่งให้ข้อมูลเชิงลึกที่แม่นยำยิ่งขึ้นเกี่ยวกับอาหารของชาวโคลวิส
แมมมอธโคลัมเบียสูญพันธุ์ไปเมื่อประมาณ 11,700 ปีก่อน สาเหตุของการสูญพันธุ์ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ แต่ปัจจัยที่เป็นไปได้รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการล่าจากมนุษย์ - Cr. Wikipedia
การค้นพบนี้ท้าทายสมมติฐานที่มีมายาวนานเกี่ยวกับอาหารของมนุษย์ยุคแรก และเน้นย้ำถึงความสามารถในการปรับตัวของประชากรพื้นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองโดยการล่าสัตว์ที่น่าเกรงขามที่สุดในประวัติศาสตร์อย่างแมมมอธ
การวิจัยนี้ไม่เพียงแต่ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของมนุษย์ทั่วอเมริกา แต่ยังให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการสูญพันธุ์ของสัตว์ขนาดใหญ่ในยุคน้ำแข็ง การทำความเข้าใจบทบาทของมนุษย์ในเหตุการณ์เหล่านี้มีความสำคัญต่อการอนุรักษ์สัตว์ป่าในปัจจุบัน
ที่มา: https://edition.cnn.com/2024/12/06/science/north-america-mammoths-diet-intl-scli/index.html
#################################################################
ภาพประวัติศาสตร์สุดสยองขวัญที่บันทึกผลกระทบอันร้ายแรงจากฝีมือมนุษย์
ชายคนหนึ่งยืนอยู่บนกองกะโหลกควายขนาดใหญ่ Michigan Carbon Works, Rougeville MI, 1892 - Cr. Burton Historical Collection, Detroit Public Library
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19
การล่าควายไบซันในทวีปอเมริกาเหนือได้เกิดขึ้นอย่างหนักหน่วง ส่งผลให้จำนวนประชากรของพวกมันลดลงอย่างมาก
ภาพถ่ายที่มีชื่อเสียงจากปี 1892 แสดงให้เห็นกองกระโหลกควายไบซันขนาดมหึมา ซึ่งสะท้อนถึงผลกระทบที่มนุษย์มีต่อสิ่งแวดล้อมและสัตว์ป่า
ก่อนการล่าอย่างหนัก คาดว่ามีควายไบซันระหว่าง 30 ถึง 60 ล้านตัวอาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ
แต่ภายในปี 1889 ลดลงเหลือเพียง 1,091 ตัว การลดลงอย่างรวดเร็วนี้เกิดจากการล่าเพื่อการค้าและการขยายตัวของผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยุโรป
ภาพถ่ายดังกล่าวถูกถ่ายที่
Michigan Carbon Works ในเมือง Rougeville รัฐมิชิแกน กองกระโหลกควายไบซันขนาดมหึมาในภาพนี้ถูกนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต
ปุ๋ยและถ่านกระดูก ภาพนี้ไม่เพียงสะท้อนถึง
การสูญเสียอย่างรุนแรงของสัตว์ป่า แต่ยังชี้ให้เห็นถึง
ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม ที่มนุษย์ได้เปลี่ยนแปลงธรรมชาติไปอย่างมาก
การล่าควายไบซันอย่างหนักหน่วงนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ แต่ยังส่งผลต่อวิถีชีวิตของชนพื้นเมืองในพื้นที่ ควายไบซันเป็นส่วนสำคัญในวัฒนธรรมสำหรับชนเผ่าพื้นเมืองหลายเผ่า การลดลงของพวกมันจึงมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อชุมชนเหล่านี้
ที่มา: https://www.sciencealert.com/chilling-historical-photo-captures-the-deadly-impact-of-humans