ร้อนจัด ทำคนหนุ่มสาวเสี่ยงเสียชีวิตมากกว่าผู้สูงอายุ
ความร้อนจัดส่งผลกระทบต่อการเสียชีวิตของคนหนุ่มสาวมากกว่าผู้สูงอายุ
คนงานในฟาร์มทางตอนเหนือของเม็กซิโกกำลังเก็บเกี่ยวผักกาดหอม อัตราการเสียชีวิตจากความร้อนในหมู่ผู้ใหญ่วัยหนุ่มสาวทั่วประเทศนั้นสูง อาจเป็นเพราะพวกเขาเป็นพวกที่มักจะใช้แรงงานมากที่สุด - Cr. Charles O'Rear/U.S. National Archives
การศึกษาใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร
Science Advances พบว่าอุณหภูมิสูงส่งผลกระทบต่ออัตราการเสียชีวิตของคนหนุ่มสาวมากกว่าผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในเม็กซิโก พบว่า 75% ของการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับความร้อนเกิดขึ้นในกลุ่มคนอายุต่ำกว่า 35 ปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 35 ปี
ผลการวิจัยนี้ขัดแย้งกับความเชื่อเดิมที่ว่าผู้สูงอายุมีความเสี่ยงสูงสุดต่อความร้อนจัด นักวิจัยเสนอว่าปัจจัยที่อาจเป็นสาเหตุรวมถึงการที่คนหนุ่มสาวมักทำงานกลางแจ้ง เช่น การเกษตรและก่อสร้าง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการขาดน้ำและโรคลมแดด นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมในกิจกรรมกีฬากลางแจ้งที่ต้องใช้แรงมากก็อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงเช่นกัน
โรคท้องร่วงเฉียบพลัน ในเด็กเพิ่มขึ้นจากผลกระทบของโลกร้อน อุณหภูมิและความชื้นที่สูงขึ้นช่วยให้เชื้อโรคในน้ำและอาหารเติบโต น้ำท่วมจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังทำให้แหล่งน้ำปนเปื้อน การเฝ้าระวังและยึดหลัก "สุก ร้อน สะอาด" ช่วยลดความเสี่ยงของโรค การปรับตัวต่อโลกร้อนเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันปัญหานี้ในอนาคต - Cr. YuriArcurs Peopleimages / ddc.moph.go.th
การศึกษายังพบว่าเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยเฉพาะทารก มีความเสี่ยงสูงต่อความร้อนจัด เนื่องจากร่างกายของพวกเขาดูดซับความร้อนได้เร็ว ความสามารถในการขับเหงื่อยังพัฒนาไม่เต็มที่ และระบบภูมิคุ้มกันยังไม่สมบูรณ์ ซึ่งทำให้พวกเขาเสี่ยงต่อโรคที่เกี่ยวข้องกับความร้อนและความชื้น เช่น โรคที่มาจากแมลงและโรคท้องร่วง
จากข้อมูลนี้ นักวิจัยคาดการณ์ว่า
เมื่อสภาพภูมิอากาศร้อนขึ้น การเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับความร้อนจะเพิ่มขึ้น และกลุ่มคนหนุ่มสาวจะได้รับผลกระทบมากที่สุด ดังนั้น
การพัฒนามาตรการป้องกันและการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงของความร้อนจัดในกลุ่มคนหนุ่มสาวจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ที่มา: https://phys.org/news/2024-12-high-preferentially-young.html
##################################################################
ผึ้งบอกอะไรเราได้บ้างเกี่ยวกับมลพิษในบริเวณใกล้เคียง คำตอบอยู่ที่น้ำผึ้ง
บทคัดย่อเชิงกราฟิก - Cr. Environmental Pollution (2024). DOI: 10.1016/j.envpol.2024.125221
การศึกษาล่าสุดเผยว่า
น้ำผึ้งจากผึ้งเมืองสามารถใช้เป็นตัวบ่งชี้มลพิษในสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผึ้งงานที่หาอาหารในระยะทางไกลจะสัมผัสกับสารมลพิษต่าง ๆ และนำสารเหล่านั้นกลับมาสะสมในรังและน้ำผึ้ง ทำให้น้ำผึ้งกลายเป็นแหล่งข้อมูลที่มีค่าสำหรับการตรวจสอบมลพิษในพื้นที่
การวิจัยพบว่า
ความเข้มข้นของธาตุที่เกี่ยวข้องกับมลพิษในน้ำผึ้งจะเพิ่มขึ้นเมื่อรังผึ้งอยู่ใกล้กับพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่น ความหนาแน่นของเมืองสูง และท่าเรือ
นอกจากนี้
ผึ้งยังสามารถใช้เป็นตัวอย่างที่มีชีวิตสำหรับการตรวจวัดฝุ่นละอองในอากาศ ซึ่งเป็นสารมลพิษที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์
การใช้ผึ้งเป็นตัวบ่งชี้มลพิษมีข้อดีหลายประการ เนื่องจากพวกมันหาอาหารในพื้นที่กว้างและสัมผัสกับสารมลพิษหลากหลายชนิด ทำให้สามารถให้ข้อมูลที่ครอบคลุมเกี่ยวกับสถานะมลพิษในสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ การเก็บตัวอย่างน้ำผึ้งยังเป็นวิธีที่ไม่ทำลายและมีประสิทธิภาพในการตรวจสอบมลพิษ
อย่างไรก็ตาม การใช้ผึ้งเป็นตัวบ่งชี้มลพิษยังต้องการการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจถึงผลกระทบของมลพิษต่อสุขภาพของผึ้งและคุณภาพของน้ำผึ้ง รวมถึงการพัฒนาวิธีการวิเคราะห์ที่แม่นยำและเชื่อถือได้ การศึกษานี้เป็นก้าวสำคัญในการใช้ผึ้งเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบมลพิษในสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมการอนุรักษ์ผึ้งในฐานะผู้ผสมเกสรที่สำคัญ
ที่มา: https://phys.org/news/2024-12-bees-nearby-pollution-honey.html
##################################################################
บทเรียนจากยุคที่ร้อนที่สุดของโลกในช่วง 65 ล้านปีที่ผ่านมา ภาวะโลกร้อนอาจทำให้เขตฝนในเขตร้อนหดตัวลงได้อย่างไร
ก๊าซเรือนกระจกทำให้พื้นที่ชุ่มน้ำในเขตร้อนหดตัวในช่วงต้นยุคอีโอซีน - Cr. Ren Zikun
การศึกษาล่าสุดที่ตีพิมพ์ใน
Geophysical Research Letters เผยว่าในช่วงต้นยุคอีโอซีน ซึ่งเป็นช่วงที่โลกร้อนที่สุดในรอบ 65 ล้านปีที่ผ่านมา พบว่า
การเคลื่อนที่ตามฤดูกาลของเขตบรรจบกันระหว่างเขตร้อน (Intertropical Convergence Zone หรือ ITCZ) ลดลงอย่างมาก ส่งผลให้พื้นที่ฝนในเขตร้อนหดตัว
ในช่วงต้นยุคอีโอซีน ประมาณ 50 ล้านปีก่อน การปะทุของภูเขาไฟอย่างรุนแรงได้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมากเข้าสู่บรรยากาศ ทำให้ระดับคาร์บอนไดออกไซด์พุ่งสูงกว่า 1,600 ส่วนในล้านส่วน (ppmv) ซึ่งสูงกว่าระดับก่อนยุคอุตสาหกรรมถึงหกเท่า อุณหภูมิโลกในขณะนั้นเพิ่มขึ้น 9–23°C
นักวิจัยจากสถาบันฟิสิกส์บรรยากาศ ใช้การจำลองสภาพภูมิอากาศและการสร้างสภาพภูมิอากาศโบราณขึ้นใหม่ พบว่าอุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้เขตแห้งแล้งในเขตอบอุ่นขยายตัว ขณะที่พื้นที่ฝนในเขตร้อนหดตัว การเคลื่อนที่ตามฤดูกาลของ
ITCZ ซึ่งเป็นแถบเมฆและฝนตกหนักที่เคลื่อนที่ไปทางเหนือและใต้ตามฤดูกาล ถูกลดทอนลง
การเคลื่อนที่ตามฤดูกาลของ ITCZ ถูกควบคุมโดยสมดุลระหว่างรังสีสุริยะและการระเหยของน้ำจากผิวมหาสมุทร ในสภาพภูมิอากาศปัจจุบัน มหาสมุทรที่เย็นกว่าจะทำให้การระเหยไวต่อความเร็วลมน้อยลง แต่ในยุคอีโอซีน มหาสมุทรที่อุ่นกว่าทำให้การระเหยไวต่อความเร็วลมมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความไม่สมดุลกับการให้ความร้อนจากแสงอาทิตย์ และลดการเคลื่อนที่ตามฤดูกาลของ
ITCZ
เขตบรรจบระหว่างเขตร้อน (ITCZ) เขตบรรจบระหว่างเขตร้อนเป็นส่วนสำคัญของการหมุนเวียนของบรรยากาศ เป็นเข็มขัดของลมค้าขายที่บรรจบกันและอากาศที่ลอยขึ้นซึ่งโอบล้อมโลกใกล้เส้นศูนย์สูตร - Cr. britannica.com
ประวัติศาสตร์ของโลกให้หลักฐานสำคัญว่าก๊าซเรือนกระจกสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกได้อย่างไร
หากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังคงดำเนินต่อไป ระดับคาร์บอนไดออกไซด์อาจเพิ่มขึ้นถึงระดับที่เคยเกิดขึ้นในยุคอีโอซีน แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงในยุคอีโอซีนจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาหลายพันปี แต่การเปลี่ยนแปลงที่คล้ายกันอาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นการเตือนถึงความจำเป็นในการดำเนินการลดผลกระทบอย่างเร่งด่วน
การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอดีตสามารถให้บทเรียนสำคัญเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการหดตัวของเขตฝนในเขตร้อน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและความมั่นคงทางอาหารของประชากรหลายพันล้านคน
ที่มา: https://phys.org/news/2024-12-lessons-earth-hottest-epoch-million.html
##################################################################
นักวิจัยชี้ ภาวะโลกร้อนพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยสาเหตุหลักมาจากค่าสะท้อนแสงของดาวเคราะห์ที่ลดลง
เมื่อพิจารณาโลกโดยรวมแล้ว เมฆสูงและไม่มีเมฆปกคลุม ส่งผลให้ชั้นบรรยากาศของโลกร้อนขึ้น เนื่องจากพลังงานที่หลุดออกสู่อวกาศมีน้อยกว่าพลังงานที่มาจากดวงอาทิตย์ ส่วนเมฆต่ำกลับเป็นตรงกันข้าม การลดลงของเมฆจึงทำให้โลกร้อนขึ้น - Cr. Alfred-Wegener-Institut / Yves Nowak
การศึกษาล่าสุดโดยสถาบันอัลเฟรด เวเกเนอร์ (Alfred Wegener Institute) ชี้ว่า
การลดลงของความสว่างสะท้อนของโลก (albedo) อาจเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปี 2023
แม้ว่าปัจจัยต่าง ๆ เช่น การเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจกและปรากฏการณ์เอลนีโญจะมีบทบาทสำคัญ แต่ยังคงมีช่องว่างประมาณ 0.2 องศาเซลเซียสที่ไม่สามารถอธิบายได้
นักวิจัยพบว่าในปี 2023 ความสว่างสะท้อนของโลกอยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 1940 ซึ่งหมายความว่าโลกสะท้อนพลังงานแสงอาทิตย์กลับสู่อวกาศน้อยลง ทำให้พลังงานความร้อนสะสมในบรรยากาศมากขึ้น สาเหตุหลักมาจากการลดลงของเมฆชั้นต่ำที่ปกคลุมมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือและเขตร้อน เมฆเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการสะท้อนพลังงานแสงอาทิตย์ และการลดลงของพวกมันส่งผลให้โลกดูดซับพลังงานมากขึ้น
การลดลงของเมฆชั้นต่ำอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ทำให้การก่อตัวของเมฆลดลง นอกจากนี้ การลดลงของอนุภาคละอองลอยในบรรยากาศ ซึ่งมีบทบาทในการก่อตัวของเมฆ ก็อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่ง
การลดลงของอนุภาคเหล่านี้อาจเกี่ยวข้องกับการลดการปล่อยมลพิษจากการเดินเรือและกิจกรรมอื่น ๆ
การค้นพบนี้เน้นย้ำถึงความซับซ้อนของระบบภูมิอากาศโลก และความจำเป็นในการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิทั่วโลก
การลดลงของความสว่างสะท้อนของโลกอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และควรได้รับการพิจารณาในการวางแผนและดำเนินนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศในอนาคต
ที่มา: https://phys.org/news/2024-12-rapid-surge-global-due-planetary.html
##################################################################
ชนกันของดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่ไม่ได้ทำให้สภาพอากาศของโลกเปลี่ยนแปลงในระยะยาว
ภาพกล้องจุลทรรศน์ของหยดซิลิกาหรือไมโครสเฟรูลที่พบในหิน - Cr. Natalie Cheng / Bridget Wade
การศึกษาล่าสุดโดยนักวิจัยจาก University College London (UCL) พบว่า
การชนของดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่เมื่อประมาณ 35.65 ล้านปีก่อนไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศของโลกในระยะยาว แม้ว่าการชนเหล่านี้จะสร้างหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่ เช่น หลุมพอพิกาย (Popigai) ในไซบีเรียและหลุมเชซาพีก (Chesapeake) ในสหรัฐอเมริกา
นักวิจัยได้วิเคราะห์ไอโซโทปในฟอสซิลของฟอรามินิเฟอรา (foraminifera) ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่อาศัยอยู่ในทะเล ผลการวิเคราะห์ไม่พบการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนของอุณหภูมิน้ำทะเลในช่วง 150,000 ปีหลังจากการชน ซึ่งบ่งชี้ว่า สภาพภูมิอากาศของโลกยังคงเสถียรในระยะยาวหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว
ศาสตราจารย์บริดเจ็ต เวด (Bridget Wade) จากภาควิชาธรณีศาสตร์ UCL กล่าวว่า "
ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งคือไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงหลังจากการชน เราคาดว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของไอโซโทปที่บ่งบอกถึงการอุ่นหรือเย็นลงของน้ำ แต่กลับไม่พบสิ่งนี้" อย่างไรก็ตาม เธอเน้นว่า การศึกษานี้ไม่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาสั้น ๆ ได้ และการชนของดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่ยังคงเป็นภัยคุกคามต่อมนุษยชาติในระยะสั้น
การค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่า
แม้การชนของดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่จะสร้างความเสียหายอย่างมากในระยะสั้น แต่สภาพภูมิอากาศของโลกมีความยืดหยุ่นและสามารถฟื้นตัวได้ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การเตรียมความพร้อมและการป้องกันการชนในอนาคตยังคงเป็นสิ่งสำคัญ
ที่มา: https://phys.org/news/2024-12-massive-asteroid-impacts-earth-climate.html
##################################################################
นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าชั้นน้ำแข็งคองเกอร์ของแอนตาร์กติกา อ่อนตัวลงมานานหลายทศวรรษก่อนที่จะพังทลาย
ที่ตั้ง เรขาคณิต การถอยร่น และการลดขนาด CGIS ในสี่ขั้นตอนของการถอยร่น - Cr. Nature Geoscience (2024) DOI: 10.1038/s41561-024-01582-3
การศึกษาล่าสุดที่ตีพิมพ์ใน
Nature Geoscience พบว่า
ชั้นน้ำแข็งคองเกอร์ในทวีปแอนตาร์กติกาตะวันออกได้อ่อนแอลงเป็นเวลาหลายทศวรรษก่อนที่จะพังทลายในปี 2022 นักวิจัยจากนานาชาติได้วิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมย้อนหลังและพบว่าชั้นน้ำแข็งนี้บางลงเรื่อย ๆ จนสูญเสียความสมบูรณ์และแตกออกจากเกาะโบว์แมน
การพังทลายของชั้นน้ำแข็งคองเกอร์สร้างความกังวลอย่างมาก เนื่องจากแสดงให้เห็นว่าชั้นน้ำแข็งในแอนตาร์กติกาตะวันออกอาจเสี่ยงต่อการละลายมากกว่าที่เคยคาดคิด หากชั้นน้ำแข็งในภูมิภาคนี้ละลาย จะส่งผลให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
ชั้นน้ำแข็งคองเกอร์ (Conger Ice Shelf) ในทวีปแอนตาร์กติกาตะวันออกเป็นแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่เคยมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของธารน้ำแข็งในภูมิภาคนี้ - Cr. Getty Images
สาเหตุหลักของการพังทลายนี้มาจากการละลายของน้ำแข็งจากด้านล่าง แม้ว่าพื้นผิวด้านบนจะยังคงเย็นพอที่จะป้องกันการละลาย แต่การละลายจากด้านล่างที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ทำให้โครงสร้างของชั้นน้ำแข็งอ่อนแอลง
เหตุการณ์นี้เป็นสัญญาณเตือนถึงความเปราะบางของชั้นน้ำแข็งในแอนตาร์กติกาตะวันออก ซึ่งก่อนหน้านี้เชื่อว่ามีเสถียรภาพ การพังทลายของชั้นน้ำแข็งคองเกอร์เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อภูมิภาคนี้
ที่มา: https://phys.org/news/2024-12-antarctica-conger-ice-shelf-weakening.html
##################################################################
นักวิจัยเตือนว่าการล่าถอยของชายฝั่งในอลาสก้ากำลังเร่งตัวขึ้นเนื่องจากผลกระทบจากสภาพอากาศที่เพิ่มขึ้น
น้ำท่วมจากน้ำทะเลทำให้ดินเยือกแข็งใกล้ Point Lonely ในรัฐอลาสก้าเสื่อมสภาพ เนื่องจากผลกระทบจากสภาพอากาศที่ทวีคูณเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของชายฝั่ง จึงมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนในการมีกลยุทธ์การปรับตัวเพื่อปกป้องชุมชนและโครงสร้างพื้นฐานที่เปราะบาง - Cr. Benjamin M. Jones, Institute of Northern Engineering, University of Alaska Fairbanks
การถอยร่นของชายฝั่งอลาสกา ปัญหาที่กำลังเร่งตัว
การศึกษาล่าสุดชี้ให้เห็นว่าการถอยร่นของชายฝั่งในอลาสกาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผลกระทบที่เกิดร่วมกันจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล การละลายของดินเยือกแข็ง (permafrost) และการกัดเซาะชายฝั่ง ปัจจัยเหล่านี้รวมกันทำให้ชายฝั่งสูญเสียพื้นที่เร็วกว่าที่เคยคาดไว้ ส่งผลกระทบต่อชุมชนท้องถิ่นและระบบนิเวศในพื้นที่
ผลกระทบของการละลายของดินเยือกแข็ง
ดินเยือกแข็งที่ละลายเป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งการถอยร่นของชายฝั่งในอลาสกา เมื่อดินที่มีน้ำแข็งเป็นส่วนประกอบหลักละลาย น้ำแข็งที่เคยช่วยค้ำจุนดินจะหายไป ทำให้ดินสูญเสียความแข็งแรงและเสถียรภาพ ส่งผลให้พื้นที่ชายฝั่งถูกกัดเซาะได้ง่ายขึ้น
น้ำท่วมจากพายุทำให้ถนน Eben Hopson ในเมือง Utqiagvik รัฐอลาสก้า ต้องปิดให้บริการชั่วคราว - Cr. Benjamin M. Jones, Institute of Northern Engineering, University of Alaska Fairbanks
การกัดเซาะชายฝั่งและการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล
การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลจากการละลายน้ำแข็งขั้วโลกและธารน้ำแข็งทั่วโลก เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ชายฝั่งอลาสกาเปราะบางมากขึ้น การที่น้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นทำให้คลื่นสามารถกัดเซาะชายฝั่งได้รุนแรงขึ้น และพื้นที่ชายฝั่งที่เคยถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งก็ไม่มีเกราะป้องกันจากคลื่นอีกต่อไป
ความเสี่ยงต่อชุมชนท้องถิ่น
ชุมชนที่ตั้งอยู่ใกล้ชายฝั่งในอลาสกากำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากการสูญเสียที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนและอาคาร กำลังถูกคุกคามโดยการถอยร่นของชายฝั่ง นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงนี้ยังส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชุมชนพื้นเมืองที่พึ่งพาทรัพยากรจากชายฝั่ง
การวางแผนเพื่อรับมือในอนาคต
นักวิจัยเน้นถึงความสำคัญของการวางแผนรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อย่างเร่งด่วน โดยเสนอให้พัฒนากลยุทธ์การปรับตัว เช่น การย้ายชุมชน การสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ทนทานต่อการกัดเซาะ และการอนุรักษ์พื้นที่ชายฝั่งที่ยังคงเหลืออยู่ การดำเนินการดังกล่าวจะช่วยลดผลกระทบต่อชุมชนและระบบนิเวศในอนาคต
ที่มา: https://phys.org/news/2024-12-coastal-retreat-alaska-compound-climate.html