BLOG BOARD_B
ติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Email: sale@soccersuck.com
ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออนไลน์
ดาวเตะลา ลีกา
Status: ชีวิต..ติดแกลบ
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 16 May 2020
ตอบ: 7305
ที่อยู่: ดาวโลก
โพสเมื่อ: Sat Dec 07, 2024 16:09
ร้อนจัด ทำคนหนุ่มสาวเสี่ยงเสียชีวิตมากกว่าผู้สูงอายุ
ความร้อนจัดส่งผลกระทบต่อการเสียชีวิตของคนหนุ่มสาวมากกว่าผู้สูงอายุ


คนงานในฟาร์มทางตอนเหนือของเม็กซิโกกำลังเก็บเกี่ยวผักกาดหอม อัตราการเสียชีวิตจากความร้อนในหมู่ผู้ใหญ่วัยหนุ่มสาวทั่วประเทศนั้นสูง อาจเป็นเพราะพวกเขาเป็นพวกที่มักจะใช้แรงงานมากที่สุด - Cr. Charles O'Rear/U.S. National Archives

การศึกษาใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science Advances พบว่าอุณหภูมิสูงส่งผลกระทบต่ออัตราการเสียชีวิตของคนหนุ่มสาวมากกว่าผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในเม็กซิโก พบว่า 75% ของการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับความร้อนเกิดขึ้นในกลุ่มคนอายุต่ำกว่า 35 ปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 35 ปี

ผลการวิจัยนี้ขัดแย้งกับความเชื่อเดิมที่ว่าผู้สูงอายุมีความเสี่ยงสูงสุดต่อความร้อนจัด นักวิจัยเสนอว่าปัจจัยที่อาจเป็นสาเหตุรวมถึงการที่คนหนุ่มสาวมักทำงานกลางแจ้ง เช่น การเกษตรและก่อสร้าง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการขาดน้ำและโรคลมแดด นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมในกิจกรรมกีฬากลางแจ้งที่ต้องใช้แรงมากก็อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงเช่นกัน


โรคท้องร่วงเฉียบพลัน ในเด็กเพิ่มขึ้นจากผลกระทบของโลกร้อน อุณหภูมิและความชื้นที่สูงขึ้นช่วยให้เชื้อโรคในน้ำและอาหารเติบโต น้ำท่วมจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังทำให้แหล่งน้ำปนเปื้อน การเฝ้าระวังและยึดหลัก "สุก ร้อน สะอาด" ช่วยลดความเสี่ยงของโรค การปรับตัวต่อโลกร้อนเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันปัญหานี้ในอนาคต - Cr. YuriArcurs Peopleimages / ddc.moph.go.th

การศึกษายังพบว่าเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยเฉพาะทารก มีความเสี่ยงสูงต่อความร้อนจัด เนื่องจากร่างกายของพวกเขาดูดซับความร้อนได้เร็ว ความสามารถในการขับเหงื่อยังพัฒนาไม่เต็มที่ และระบบภูมิคุ้มกันยังไม่สมบูรณ์ ซึ่งทำให้พวกเขาเสี่ยงต่อโรคที่เกี่ยวข้องกับความร้อนและความชื้น เช่น โรคที่มาจากแมลงและโรคท้องร่วง

จากข้อมูลนี้ นักวิจัยคาดการณ์ว่า เมื่อสภาพภูมิอากาศร้อนขึ้น การเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับความร้อนจะเพิ่มขึ้น และกลุ่มคนหนุ่มสาวจะได้รับผลกระทบมากที่สุด ดังนั้น การพัฒนามาตรการป้องกันและการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงของความร้อนจัดในกลุ่มคนหนุ่มสาวจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ที่มา: https://phys.org/news/2024-12-high-preferentially-young.html

##################################################################

ผึ้งบอกอะไรเราได้บ้างเกี่ยวกับมลพิษในบริเวณใกล้เคียง คำตอบอยู่ที่น้ำผึ้ง


บทคัดย่อเชิงกราฟิก - Cr. Environmental Pollution (2024). DOI: 10.1016/j.envpol.2024.125221

การศึกษาล่าสุดเผยว่า น้ำผึ้งจากผึ้งเมืองสามารถใช้เป็นตัวบ่งชี้มลพิษในสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผึ้งงานที่หาอาหารในระยะทางไกลจะสัมผัสกับสารมลพิษต่าง ๆ และนำสารเหล่านั้นกลับมาสะสมในรังและน้ำผึ้ง ทำให้น้ำผึ้งกลายเป็นแหล่งข้อมูลที่มีค่าสำหรับการตรวจสอบมลพิษในพื้นที่

การวิจัยพบว่า ความเข้มข้นของธาตุที่เกี่ยวข้องกับมลพิษในน้ำผึ้งจะเพิ่มขึ้นเมื่อรังผึ้งอยู่ใกล้กับพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่น ความหนาแน่นของเมืองสูง และท่าเรือ

นอกจากนี้ ผึ้งยังสามารถใช้เป็นตัวอย่างที่มีชีวิตสำหรับการตรวจวัดฝุ่นละอองในอากาศ ซึ่งเป็นสารมลพิษที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์

การใช้ผึ้งเป็นตัวบ่งชี้มลพิษมีข้อดีหลายประการ เนื่องจากพวกมันหาอาหารในพื้นที่กว้างและสัมผัสกับสารมลพิษหลากหลายชนิด ทำให้สามารถให้ข้อมูลที่ครอบคลุมเกี่ยวกับสถานะมลพิษในสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ การเก็บตัวอย่างน้ำผึ้งยังเป็นวิธีที่ไม่ทำลายและมีประสิทธิภาพในการตรวจสอบมลพิษ

อย่างไรก็ตาม การใช้ผึ้งเป็นตัวบ่งชี้มลพิษยังต้องการการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจถึงผลกระทบของมลพิษต่อสุขภาพของผึ้งและคุณภาพของน้ำผึ้ง รวมถึงการพัฒนาวิธีการวิเคราะห์ที่แม่นยำและเชื่อถือได้ การศึกษานี้เป็นก้าวสำคัญในการใช้ผึ้งเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบมลพิษในสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมการอนุรักษ์ผึ้งในฐานะผู้ผสมเกสรที่สำคัญ

ที่มา: https://phys.org/news/2024-12-bees-nearby-pollution-honey.html

##################################################################

บทเรียนจากยุคที่ร้อนที่สุดของโลกในช่วง 65 ล้านปีที่ผ่านมา ภาวะโลกร้อนอาจทำให้เขตฝนในเขตร้อนหดตัวลงได้อย่างไร


ก๊าซเรือนกระจกทำให้พื้นที่ชุ่มน้ำในเขตร้อนหดตัวในช่วงต้นยุคอีโอซีน - Cr. Ren Zikun

การศึกษาล่าสุดที่ตีพิมพ์ใน Geophysical Research Letters เผยว่าในช่วงต้นยุคอีโอซีน ซึ่งเป็นช่วงที่โลกร้อนที่สุดในรอบ 65 ล้านปีที่ผ่านมา พบว่า การเคลื่อนที่ตามฤดูกาลของเขตบรรจบกันระหว่างเขตร้อน (Intertropical Convergence Zone หรือ ITCZ) ลดลงอย่างมาก ส่งผลให้พื้นที่ฝนในเขตร้อนหดตัว

ในช่วงต้นยุคอีโอซีน ประมาณ 50 ล้านปีก่อน การปะทุของภูเขาไฟอย่างรุนแรงได้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมากเข้าสู่บรรยากาศ ทำให้ระดับคาร์บอนไดออกไซด์พุ่งสูงกว่า 1,600 ส่วนในล้านส่วน (ppmv) ซึ่งสูงกว่าระดับก่อนยุคอุตสาหกรรมถึงหกเท่า อุณหภูมิโลกในขณะนั้นเพิ่มขึ้น 9–23°C

นักวิจัยจากสถาบันฟิสิกส์บรรยากาศ ใช้การจำลองสภาพภูมิอากาศและการสร้างสภาพภูมิอากาศโบราณขึ้นใหม่ พบว่าอุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้เขตแห้งแล้งในเขตอบอุ่นขยายตัว ขณะที่พื้นที่ฝนในเขตร้อนหดตัว การเคลื่อนที่ตามฤดูกาลของ ITCZ ซึ่งเป็นแถบเมฆและฝนตกหนักที่เคลื่อนที่ไปทางเหนือและใต้ตามฤดูกาล ถูกลดทอนลง

การเคลื่อนที่ตามฤดูกาลของ ITCZ ถูกควบคุมโดยสมดุลระหว่างรังสีสุริยะและการระเหยของน้ำจากผิวมหาสมุทร ในสภาพภูมิอากาศปัจจุบัน มหาสมุทรที่เย็นกว่าจะทำให้การระเหยไวต่อความเร็วลมน้อยลง แต่ในยุคอีโอซีน มหาสมุทรที่อุ่นกว่าทำให้การระเหยไวต่อความเร็วลมมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความไม่สมดุลกับการให้ความร้อนจากแสงอาทิตย์ และลดการเคลื่อนที่ตามฤดูกาลของ ITCZ


เขตบรรจบระหว่างเขตร้อน (ITCZ) เขตบรรจบระหว่างเขตร้อนเป็นส่วนสำคัญของการหมุนเวียนของบรรยากาศ เป็นเข็มขัดของลมค้าขายที่บรรจบกันและอากาศที่ลอยขึ้นซึ่งโอบล้อมโลกใกล้เส้นศูนย์สูตร - Cr. britannica.com

ประวัติศาสตร์ของโลกให้หลักฐานสำคัญว่าก๊าซเรือนกระจกสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกได้อย่างไร
หากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังคงดำเนินต่อไป ระดับคาร์บอนไดออกไซด์อาจเพิ่มขึ้นถึงระดับที่เคยเกิดขึ้นในยุคอีโอซีน แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงในยุคอีโอซีนจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาหลายพันปี แต่การเปลี่ยนแปลงที่คล้ายกันอาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นการเตือนถึงความจำเป็นในการดำเนินการลดผลกระทบอย่างเร่งด่วน

การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอดีตสามารถให้บทเรียนสำคัญเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการหดตัวของเขตฝนในเขตร้อน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและความมั่นคงทางอาหารของประชากรหลายพันล้านคน

ที่มา: https://phys.org/news/2024-12-lessons-earth-hottest-epoch-million.html

##################################################################

นักวิจัยชี้ ภาวะโลกร้อนพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยสาเหตุหลักมาจากค่าสะท้อนแสงของดาวเคราะห์ที่ลดลง


เมื่อพิจารณาโลกโดยรวมแล้ว เมฆสูงและไม่มีเมฆปกคลุม ส่งผลให้ชั้นบรรยากาศของโลกร้อนขึ้น เนื่องจากพลังงานที่หลุดออกสู่อวกาศมีน้อยกว่าพลังงานที่มาจากดวงอาทิตย์ ส่วนเมฆต่ำกลับเป็นตรงกันข้าม การลดลงของเมฆจึงทำให้โลกร้อนขึ้น - Cr. Alfred-Wegener-Institut / Yves Nowak

การศึกษาล่าสุดโดยสถาบันอัลเฟรด เวเกเนอร์ (Alfred Wegener Institute) ชี้ว่า การลดลงของความสว่างสะท้อนของโลก (albedo) อาจเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปี 2023

แม้ว่าปัจจัยต่าง ๆ เช่น การเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจกและปรากฏการณ์เอลนีโญจะมีบทบาทสำคัญ แต่ยังคงมีช่องว่างประมาณ 0.2 องศาเซลเซียสที่ไม่สามารถอธิบายได้

นักวิจัยพบว่าในปี 2023 ความสว่างสะท้อนของโลกอยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 1940 ซึ่งหมายความว่าโลกสะท้อนพลังงานแสงอาทิตย์กลับสู่อวกาศน้อยลง ทำให้พลังงานความร้อนสะสมในบรรยากาศมากขึ้น สาเหตุหลักมาจากการลดลงของเมฆชั้นต่ำที่ปกคลุมมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือและเขตร้อน เมฆเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการสะท้อนพลังงานแสงอาทิตย์ และการลดลงของพวกมันส่งผลให้โลกดูดซับพลังงานมากขึ้น

การลดลงของเมฆชั้นต่ำอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ทำให้การก่อตัวของเมฆลดลง นอกจากนี้ การลดลงของอนุภาคละอองลอยในบรรยากาศ ซึ่งมีบทบาทในการก่อตัวของเมฆ ก็อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่ง การลดลงของอนุภาคเหล่านี้อาจเกี่ยวข้องกับการลดการปล่อยมลพิษจากการเดินเรือและกิจกรรมอื่น ๆ

การค้นพบนี้เน้นย้ำถึงความซับซ้อนของระบบภูมิอากาศโลก และความจำเป็นในการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิทั่วโลก การลดลงของความสว่างสะท้อนของโลกอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และควรได้รับการพิจารณาในการวางแผนและดำเนินนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศในอนาคต

ที่มา: https://phys.org/news/2024-12-rapid-surge-global-due-planetary.html

##################################################################

ชนกันของดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่ไม่ได้ทำให้สภาพอากาศของโลกเปลี่ยนแปลงในระยะยาว


ภาพกล้องจุลทรรศน์ของหยดซิลิกาหรือไมโครสเฟรูลที่พบในหิน - Cr. Natalie Cheng / Bridget Wade

การศึกษาล่าสุดโดยนักวิจัยจาก University College London (UCL) พบว่า การชนของดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่เมื่อประมาณ 35.65 ล้านปีก่อนไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศของโลกในระยะยาว แม้ว่าการชนเหล่านี้จะสร้างหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่ เช่น หลุมพอพิกาย (Popigai) ในไซบีเรียและหลุมเชซาพีก (Chesapeake) ในสหรัฐอเมริกา

นักวิจัยได้วิเคราะห์ไอโซโทปในฟอสซิลของฟอรามินิเฟอรา (foraminifera) ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่อาศัยอยู่ในทะเล ผลการวิเคราะห์ไม่พบการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนของอุณหภูมิน้ำทะเลในช่วง 150,000 ปีหลังจากการชน ซึ่งบ่งชี้ว่า สภาพภูมิอากาศของโลกยังคงเสถียรในระยะยาวหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว

ศาสตราจารย์บริดเจ็ต เวด (Bridget Wade) จากภาควิชาธรณีศาสตร์ UCL กล่าวว่า "ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งคือไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงหลังจากการชน เราคาดว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของไอโซโทปที่บ่งบอกถึงการอุ่นหรือเย็นลงของน้ำ แต่กลับไม่พบสิ่งนี้" อย่างไรก็ตาม เธอเน้นว่า การศึกษานี้ไม่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาสั้น ๆ ได้ และการชนของดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่ยังคงเป็นภัยคุกคามต่อมนุษยชาติในระยะสั้น

การค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่า แม้การชนของดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่จะสร้างความเสียหายอย่างมากในระยะสั้น แต่สภาพภูมิอากาศของโลกมีความยืดหยุ่นและสามารถฟื้นตัวได้ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การเตรียมความพร้อมและการป้องกันการชนในอนาคตยังคงเป็นสิ่งสำคัญ

ที่มา: https://phys.org/news/2024-12-massive-asteroid-impacts-earth-climate.html

##################################################################

นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าชั้นน้ำแข็งคองเกอร์ของแอนตาร์กติกา อ่อนตัวลงมานานหลายทศวรรษก่อนที่จะพังทลาย


ที่ตั้ง เรขาคณิต การถอยร่น และการลดขนาด CGIS ในสี่ขั้นตอนของการถอยร่น - Cr. Nature Geoscience (2024) DOI: 10.1038/s41561-024-01582-3

การศึกษาล่าสุดที่ตีพิมพ์ใน Nature Geoscience พบว่า ชั้นน้ำแข็งคองเกอร์ในทวีปแอนตาร์กติกาตะวันออกได้อ่อนแอลงเป็นเวลาหลายทศวรรษก่อนที่จะพังทลายในปี 2022 นักวิจัยจากนานาชาติได้วิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมย้อนหลังและพบว่าชั้นน้ำแข็งนี้บางลงเรื่อย ๆ จนสูญเสียความสมบูรณ์และแตกออกจากเกาะโบว์แมน

การพังทลายของชั้นน้ำแข็งคองเกอร์สร้างความกังวลอย่างมาก เนื่องจากแสดงให้เห็นว่าชั้นน้ำแข็งในแอนตาร์กติกาตะวันออกอาจเสี่ยงต่อการละลายมากกว่าที่เคยคาดคิด หากชั้นน้ำแข็งในภูมิภาคนี้ละลาย จะส่งผลให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก


ชั้นน้ำแข็งคองเกอร์ (Conger Ice Shelf) ในทวีปแอนตาร์กติกาตะวันออกเป็นแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่เคยมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของธารน้ำแข็งในภูมิภาคนี้ - Cr. Getty Images

สาเหตุหลักของการพังทลายนี้มาจากการละลายของน้ำแข็งจากด้านล่าง แม้ว่าพื้นผิวด้านบนจะยังคงเย็นพอที่จะป้องกันการละลาย แต่การละลายจากด้านล่างที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ทำให้โครงสร้างของชั้นน้ำแข็งอ่อนแอลง

เหตุการณ์นี้เป็นสัญญาณเตือนถึงความเปราะบางของชั้นน้ำแข็งในแอนตาร์กติกาตะวันออก ซึ่งก่อนหน้านี้เชื่อว่ามีเสถียรภาพ การพังทลายของชั้นน้ำแข็งคองเกอร์เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อภูมิภาคนี้

ที่มา: https://phys.org/news/2024-12-antarctica-conger-ice-shelf-weakening.html

##################################################################

นักวิจัยเตือนว่าการล่าถอยของชายฝั่งในอลาสก้ากำลังเร่งตัวขึ้นเนื่องจากผลกระทบจากสภาพอากาศที่เพิ่มขึ้น


น้ำท่วมจากน้ำทะเลทำให้ดินเยือกแข็งใกล้ Point Lonely ในรัฐอลาสก้าเสื่อมสภาพ เนื่องจากผลกระทบจากสภาพอากาศที่ทวีคูณเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของชายฝั่ง จึงมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนในการมีกลยุทธ์การปรับตัวเพื่อปกป้องชุมชนและโครงสร้างพื้นฐานที่เปราะบาง - Cr. Benjamin M. Jones, Institute of Northern Engineering, University of Alaska Fairbanks

การถอยร่นของชายฝั่งอลาสกา ปัญหาที่กำลังเร่งตัว
การศึกษาล่าสุดชี้ให้เห็นว่าการถอยร่นของชายฝั่งในอลาสกาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผลกระทบที่เกิดร่วมกันจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล การละลายของดินเยือกแข็ง (permafrost) และการกัดเซาะชายฝั่ง ปัจจัยเหล่านี้รวมกันทำให้ชายฝั่งสูญเสียพื้นที่เร็วกว่าที่เคยคาดไว้ ส่งผลกระทบต่อชุมชนท้องถิ่นและระบบนิเวศในพื้นที่

ผลกระทบของการละลายของดินเยือกแข็ง
ดินเยือกแข็งที่ละลายเป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งการถอยร่นของชายฝั่งในอลาสกา เมื่อดินที่มีน้ำแข็งเป็นส่วนประกอบหลักละลาย น้ำแข็งที่เคยช่วยค้ำจุนดินจะหายไป ทำให้ดินสูญเสียความแข็งแรงและเสถียรภาพ ส่งผลให้พื้นที่ชายฝั่งถูกกัดเซาะได้ง่ายขึ้น


น้ำท่วมจากพายุทำให้ถนน Eben Hopson ในเมือง Utqiagvik รัฐอลาสก้า ต้องปิดให้บริการชั่วคราว - Cr. Benjamin M. Jones, Institute of Northern Engineering, University of Alaska Fairbanks

การกัดเซาะชายฝั่งและการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล
การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลจากการละลายน้ำแข็งขั้วโลกและธารน้ำแข็งทั่วโลก เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ชายฝั่งอลาสกาเปราะบางมากขึ้น การที่น้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นทำให้คลื่นสามารถกัดเซาะชายฝั่งได้รุนแรงขึ้น และพื้นที่ชายฝั่งที่เคยถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งก็ไม่มีเกราะป้องกันจากคลื่นอีกต่อไป

ความเสี่ยงต่อชุมชนท้องถิ่น
ชุมชนที่ตั้งอยู่ใกล้ชายฝั่งในอลาสกากำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากการสูญเสียที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนและอาคาร กำลังถูกคุกคามโดยการถอยร่นของชายฝั่ง นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงนี้ยังส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชุมชนพื้นเมืองที่พึ่งพาทรัพยากรจากชายฝั่ง

การวางแผนเพื่อรับมือในอนาคต
นักวิจัยเน้นถึงความสำคัญของการวางแผนรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อย่างเร่งด่วน โดยเสนอให้พัฒนากลยุทธ์การปรับตัว เช่น การย้ายชุมชน การสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ทนทานต่อการกัดเซาะ และการอนุรักษ์พื้นที่ชายฝั่งที่ยังคงเหลืออยู่ การดำเนินการดังกล่าวจะช่วยลดผลกระทบต่อชุมชนและระบบนิเวศในอนาคต

ที่มา: https://phys.org/news/2024-12-coastal-retreat-alaska-compound-climate.html
12
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ
ออฟไลน์
Onion Member
Status: Ola..
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 15 Sep 2005
ตอบ: 13924
ที่อยู่: Ola~
โพสเมื่อ: Sat Dec 07, 2024 17:10
[RE: ร้อนจัด ทำคนหนุ่มสาวเสี่ยงเสียชีวิตมากกว่าผู้สูงอายุ]
อนาคต เส้นศูนย์สูตรเรา อาจจะหนาวแทน ขั้วโลกก็ได้
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
แผล่บๆ เรื้อนๆ ปั้มเรป วู้ !!!
ออนไลน์
(ทัณฑ์บนครั้งที่ 1)

เทพทรู มันนี่
Status: งดงาม อยากได้
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 16 Jul 2024
ตอบ: 1543
ที่อยู่: ร่องนม
โพสเมื่อ: Sat Dec 07, 2024 20:28
[RE: ร้อนจัด ทำคนหนุ่มสาวเสี่ยงเสียชีวิตมากกว่าผู้สูงอายุ]
ร้อนชื้นแบบบ้านเราเมษา 50-55องศาก็กลับดาวกันไม่พักละ

ถึงตอนนั้นอาจจะเปลี่ยนกะไปทำกลางคืนแทน
แก้ไขล่าสุดโดย MHEE&BEER เมื่อ Sat Dec 07, 2024 20:29, ทั้งหมด 1 ครั้ง
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
แค่ได้ใช้ชีวิตแบบที่ตัวเองชอบได้ก็ฟินละ แฮร่ ^^

ชีวิตก็แค่นี้... เกิดขึ้นยิ้มอยู่ละก็เมาหลับไป อิอิ
ออนไลน์
นักบอลถ้วย ข.
Status: จิ้งจกเสพความเหงา
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 18 Feb 2021
ตอบ: 10439
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Dec 07, 2024 20:29
[RE: ร้อนจัด ทำคนหนุ่มสาวเสี่ยงเสียชีวิตมากกว่าผู้สูงอายุ]
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออนไลน์
แขวนสตั๊ด
Status: ^_^
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 01 Dec 2005
ตอบ: 15636
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Dec 09, 2024 15:17
[RE: ร้อนจัด ทำคนหนุ่มสาวเสี่ยงเสียชีวิตมากกว่าผู้สูงอายุ]
Heat stroke มี 2 แบบ

Classical คนแก่นอนติดเตียงเจออากาศร้อนๆ แล้วก็ heat stroke ตุย

Exertional heat stroke คนวัยหนุ่มสาวออกไปทำวานกลางแจ้ง เจออากาศร้อนจัดๆ แล้วก็ heat stroke ตุย

หัวข้อข่าวน่าจะสื่อว่า exertional heat stroke เยอะขึ้น แค่นั้นแหละ

ปล. ในไทย คนที่เจอ heat stroke เยอะสุดคือทหารเกณฑ์
ปล2.ทหารเกณฑ์ที่เป็น heat stroke หมอต้องดูดีๆ มีรอยคอมแบทมั้ย
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
Never argue with an idiot. They will drag you down to their level and beat you with experience
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel