Jasคือใคร อย่างไรต่อ มีคำตอบ
พาดหัวกัน 3 ปี 2หมื่นล้าน
แต่จริงๆ มันไม่ใช่
มันมี 3ปี 7พันล้าน กับ6ปี 1หมื่น9พันล้าน
หวังว่าจะมีคนแก้ไข ข่าวนะครับ
(แต่งง ทำไม6ปี แพงจัง 7+7 เป็น 14 เอง
แปลว่า ลิขสิทธิ์พุ่งไปถึง 19 เลย )
ขออนุญาตอ้างอิงจาก เมนแสตน
#MainStand : สรุปลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกในไทยเปลี่ยนมือ ใครได้ ? แพงแค่ไหน ? ดูได้ทางไหน ?
กลายเป็นประเด็นร้อน รับวัน 11.11 เมื่อ บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ทำหนังสือแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า พวกเขาได้เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก และเอฟเอคัพ อังกฤษ รายใหม่
รายละเอียดเป็นอย่างไร ? ทีมงาน Main Stand แกะรายละเอียดจากหนังสือแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์มาให้คุณอ่านแล้ว
JAS คือใคร ?
เจ้าของลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกรายใหม่ คือ บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS เอ่ยชื่อนี้หลายคนอาจไม่คุ้น แต่หากบอกว่าคือ 3BB GIGATV เชื่อว่าหลายคนน่าจะคุ้นบ้างแล้ว จากการเป็นผู้ให้บริการความบันเทิงทางอินเทอร์เน็ตและทีวี โดยปัจจุบัน 3BB GIGATV ได้รับลิขสิทธิ์ของ HBO เครือข่ายช่องภาพยนตร์ ซีรี่ส์ ชื่อดังจากสหรัฐอเมริกา ส่วนสายกีฬา ตอนนี้ (ปี 2024) พวกเขาถือลิขสิทธิ์ของ เอเรดิวิซี่ ลีกสูงสุดของประเทศเนเธอร์แลนด์ อยู่ โดยมีการให้บริการช่องกีฬาโดยเฉพาะ อย่างช่อง 3BB Sports One
ลิขสิทธิ์ครอบคลุมอะไรบ้าง True ยังได้ถ่ายทอดไหม ?
ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกที่ JAS ได้ในครั้งนี้ เป็นลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก และเอฟเอคัพ อังกฤษ บน อินเทอร์เน็ตทีวี (Internet TV) และ ดิจิทัลทีวี (Digital TV) รวมถึง ชุดวิดีโอสั้น (Clips package) โดยได้รับสิทธิแต่เพียงผู้เดียว (Exclusivity right) จาก The Football Association Premier League Limited หรือ FAPL ในประเทศไทย ประเทศลาว และประเทศกัมพูชา
นั่นหมายความว่า ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกในไทย เกิดการเปลี่ยนมืออีกครั้ง จาก TrueVisions สู่ JAS คล้ายกับสมัยที่ CTH เคยถือลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกในไทย ระหว่างฤดูกาล 2013-14 ถึง 2015-16
ได้กี่ปี ?
ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกที่ JAS ได้ในคราวนี้ มี 2 ออปชั่น ระหว่างออปชั่นแรก 3 ฤดูกาล ตั้งแต่ฤดูกาล 2025-26 ถึง 2027-28 ซึ่ง JAS ยืนยันว่าได้แน่นอน และออปชั่นที่สอง 6 ฤดูกาล ตั้งแต่ฤดูกาล 2025-26 ถึง 2030-31 โดยหากเป็นออปชั่น 6 ฤดูกาล ทาง FAPL จะต้องพิจารณาให้สิทธิ์ และแจ้งให้ JAS รับทราบเป็นลายลักษณ์อักษรภายในวันที่ 1 ธันวาคม 2024 นี้
แน่นอนว่า ราคาค่าลิขสิทธิ์ที่ต้องจ่ายนั้นมหาศาล โดยหาก JAS ได้สิทธิ์ 3 ฤดูกาล จะต้องจ่าย 233,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 7,975,426,900 บาท แต่หาก JAS ได้สิทธิ์ 6 ฤดูกาล จะต้องจ่าย 549,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 18,791,885,700 บาท ซึ่งมูลค่ารวม หาก JAS ได้สิทธิ์ 6 ฤดูกาล จะอยู่ที่ 559,980,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 19,167,723,414 บาท โดยยังไม่รวมภาษีหัก ณ ที่จ่าย และส่วนเพิ่ม
ดูได้ทางไหน ?
สำหรับช่องทางการรับชมพรีเมียร์ลีก หลังลิขสิทธิ์ในไทยเปลี่ยนมือสู่ JAS นั้น แน่นอนว่า 3BB GIGATV ที่ JAS เป็นเจ้าของ จะเป็นช่องทางหลักในการรับชม ส่วนจะมีการขยายสู่พันธมิตรอย่าง AIS Play รวมถึงจะมีโอกาสได้รับชมผ่านฟรีทีวีหรือไม่ โปรดติดตามกันต่อไป