คาร์ล-ไฮนซ์ รุมเมนิกเก้ ตำนานกองหน้าผู้บริหารใหญ่ บาเยิร์น มิวนิค แสดงทัศนะ เหล่านักเตะและเอเยนต์ในวงการ เรียกร้องรายได้มากขึ้น คือเหตุผลให้จำนวนเกมการแข่งเพิ่มไปด้วย

ต้นซีซั่น โรดรี้ มิดฟิลด์ แมนฯ ซิตี้ ส่งคำเตือน อาจถึงเวลาประท้วงไม่ลงเล่น จากโปรแกรมที่หนักเกิน ซึ่งได้รับเสียงสนุนจาก เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เจ้านาย รวมถึงเพื่อนร่วมวงการหลายคน

อย่างไรก็ตาม โยชัว คิมมิช ดาวเตะ "เสือใต้" มองต่างยืนยัน เขาชอบที่จะลงแข่งมากขึ้น แล้วสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา รุมเมนิกเก้ ในฐานะผู้บริหารระดับสูง พบสื่อแสดงความเห็นบ้าง:

"มันน่าสนใจมากที่ผู้เล่นอังกฤษบ่นถึงเรื่องนี้ พวกเขามีทั้งความอลังการของฟุตบอล ลีก คัพ และฟุตบอลลีกที่มีถึง 20 ทีม"

"ผมเข้าใจการถกเถียงของพวกเขา แต่ความจริงคือเหล่าผู้เล่น และเอเยนต์เป็นคนทำให้ตัวเองติดกับดัก โดยการเรียกร้องรายได้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ"

"รายได้นั้นจะมาจากไหน? คำตอบก็คือจำนวนเกมที่มากขึ้น ดังนั้นผมคิดว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ควรพูดคุยโดยตัดอารมณ์ร่วมออก ถึงวิธีใช้เวลาอย่างสมเหตุสมผลขึ้น โดยเฉพาะในแง่ธุรกิจ"

วันพุธนี้ บาเยิร์น ภายใต้โค้ช แวงซองต์ กอมปานี เตรียนลง แชมป์เปี้ยนส์ ลีก เยือน บาร์เซโลน่า ซึ่ง รุมเมนิเก้ ถูกถามต่อถึงการแข่งรูปแบบใหม่ เพิ่มจำนวนเป็น 36 ทีม เก็บคะแนนคล้ายบอลลีก:

"รอบแบ่งกลุ่มแบบเดิมมันน่าเบื่อ เพราะหลังจากเกมที่ 4 ทุกอย่างก็ถูกตัดสิน" รุมเมนิเก้ ให้คำตอบ

"ตอนนี้การเข้ารอบยากขึ้น แม้แต่คุณจะเป็นทีมที่ดีก็ตาม และแฟนบอลยังมีอารมณ์ร่วมมากขึ้น ผมมั่นใจว่าพวกเขาจะค่อยๆ มองเห็นข้อดีของ แชมป์เปี้ยนส์ ลีก แบบใหม่มากกว่าเดิม"

ผมว่า แบบใหม่ หลังเกมส์ที่ 6 ก็น่าจะรู้ผล แล้วเหมือนกัน อีก 2 นัดสุดท้ายถ้าแต้มขาดจากโซน 24 อันดับแรก ก็อาจมีส่งสำรองลงบ้างแหละผมว่า

เห็นด้วยกับลุง

ผมมองว่าสโมสรไปคุยกันเรื่องการแข่ง พอรายได้มากขึ้น ก็เอาเงินรายได้ที่เพิ่ม มาจ่ายให้นักเตะที่ต้องการมากขึ้น เพื่อจูงใจให้มาร่วมหรืออยู่กับสโมสรต่อมากกว่า

นักเตะเค้าน่าจะมองเรื่องค่าเหนื่อยตัวเองเป็นหลัก อยากจะย้ายไปสโมสรไหนเค้าก็ต้องดูเพดานค่าเหนื่อยทีมนั้นๆ จะไปเรียกร้องซี้ซั้วโดยฝีเท้ายังไม่เท่าตัวเก่าก็คงไม่ได้ ผู้บริหารทีมก็คงไม่ย้ายอนุมัติอยู่ดี

Absolutely Agree!!! เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ ปัจจัยหลักเลยคือค่าจ้างนักเตะที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัญหามันเกิดจากรายได้ตอนนี้โดไม่ทันค่าจ้าง หลังๆเลยเริ่มได้เห็นหลายสโมสรทุ่มน้อยลง เพดานค่าจ้างต่ำลง เน้นไปที่เด็กมากขึ้น

อันนี้ก็จริงค่าเหนื่อยนักเตะมากขึ้นแบบก้าวกระโดดมากๆ สักวันมันคงถึงจุดที่โตแบบที่ควรจะเป็น

ก็เซ็นเอง มีใครบังคับสโมสรจ่าย? บางทีมหารายได้ไม่ทันจะลดค่าจ้างนักเตะมีเหตุผลอะไรจะต้องอยู่ ทำไมทีมอื่นคุมค่าจ้างได้ ที่คุมไม่ได้คืออยากได้ตัวเก่ง หรือคิดว่าเก่งแน่ๆ เอะอะยัดเงินเบิ้ลไป2-3เท่าจากที่เดิม ที่คุมไม่ได้จะมีกี่คนกัน ทุ่มซื้อนอกลีกอย่างแพงหรือหรอยฟรี เปย์ค่าเหนื่อยแพงๆ หรือซื้อตัวแก่ๆอายุใช้งานน้อย จ่ายแพงๆกะเอาสำเร็จวันนี้ ปีหน้าฟอมตกฉิบหายกันหมด ขายยาก ค่าเหนื่อยแพง ติดปัญหาการเงิน

ปัญหาจากนักเตะหรือนโยบายสโมสรกันแน่ เข็มทิศไม่ตรงเดินยังไงก็ผิดทาง

ทีมใหญ่ๆ คงเน้นที่ 8อันดับแรกครับ ถ้าการันตีว่สแพ้ทั้ง 2นัดก็ยังไม่หลุดอันดับ8 ก็น่าจะต้องโรเตชั่นกันหมดครับ

ทีมรองลงมา หรือทีมใหญ่ผิดฟอร์มต้องรอดูว่า 2นัดท้ายเป็นยังไง
ถ้าแพ้รวด ก็ไม่หลุดอันดับ24 และต่อให้ชนะรวด ก็ไม่ขึ้นไปติด 8อันดับแรก ก็คงโรเตชั่นแหละมั้ง

ส่วนพวกที่ไม่มีลุ้นอะไรแล้ว ก็คงใส่เต็มส่งท้าย เพราะตกรอบแลเว ก็ตกเลย

แต่ทีมชาติฟีฟ่ามันเกี่ยวไรด้วย หาเงินอย่างเดียวค่าเหนื่อยกะไม่จ่าย

ทำใจโล่ง ๆ อ่านเอาแต่ Fact. ก็เห็นว่าจริงของลุงแก้มแดงแกนะ

แต่ที่ควรลดน่าจะเป็นโปรแกรมทีมชาติด้วยรึเปล่า อันนั้นไม่ค่อยจำเป็นนัก

ประเด็นของรุมเมนิกเก้ น่าสนใจ เพราะมันเป็นเหตุผลทางธุรกิจที่ตรงไปตรงมา แต่ก็มีข้อสังเกตว่าสัญญาของนักเตะมันไม่ใช่ pay as you play เป็นหลัก (แต่ก็อาจมีการบังคับใช้ข้อสัญญาส่วนนี้ได้)

เพราะการเพิ่มจำนวนเกมการแข่งขัน โดยบอกว่าเพราะค่าจ้างของนักเตะที่สูงขึ้น มันไม่ได้ตอบคำถามว่า ทำไมค่าจ้างของนักเตะจึงสูงขึ้น (ซึ่งผมก็ไม่ทราบ) การเพิ่มจำนวนการแข่งขันมันเหมือนถูกคิดขึ้นมาเพื่ออธิบายในภายหลังมากกว่า เพราะสโมสรจะต้องหาเงินจำนวนมากมาเพื่อจ่ายค่าเหนื่อยพวกนั้นหรอ ถ้าเป็นเรื่องการหาเงิน สโมสรแต่ละแห่งก็มีศักยภาพหาเงินในวิธีการที่แตกต่างกันอยู่แล้ว และถ้ามันสูงเกินไปมันก็จะหันกลับไปสู่การพัฒนานักเตะเยาวชนกัน

ย้อนกลับมาที่การให้สัมภาษณ์ของโรดรี้ (ซึ่งก็น่ารับฟัง - แต่ผมจำเนื้อหาไม่ได้ทั้งหมด) แต่อยากให้ลองกลับไปดู speech ของคันโตน่าเมื้อปี 2019 ด้านล่าง คือแกมาก่อนกาลจริงๆ