เหตุใดความคิดเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวมาเยือนโลกกำลังกลายเป็นสิ่งอันตรายและมีอิทธิพลต่อการเมือง
ความเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาวมาเยือนโลกอาจจะกลายเป็นปัญหาในวงกว้าง เนื่องจากไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นรูปธรรมยืนยันในเรื่องนี้
ในปัจจุบัน ความคิดที่ว่ามนุษย์ต่างดาวอาจมาเยือนโลกกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในการสำรวจความคิดเห็นพลเมืองชาวอังกฤษพบว่า ประมาณ 1 ใน 5 เชื่อว่า สิ่งมีชีวิตที่ถูกอ้างถึงเหล่านี้ได้มาเยือนโลกแล้ว ขณะที่ประมาณ 7% เชื่อว่า พวกเขาเคยเห็นยูเอฟโอ ตัวเลขดังกล่าวยังถือว่าสูงกว่าในสหรัฐอเมริกา และกำลังเพิ่มขึ้นอีกด้วย
จำนวนผู้ที่เชื่อว่า การพบเห็นยูเอฟโอเป็นข้อพิสูจน์ที่เป็นไปได้ว่า มีสิ่งมีชีวิตนอกโลกเพิ่มขึ้นจาก 20% ในปี 1996 เป็น 34% ในปี 2022 ในขณะที่ชาวอเมริกันประมาณ 24% กล่าวว่า พวกเขาเคยพบเห็นยูเอฟโอ
ความเชื่อนี้มีความขัดแย้งกันเพียงเล็กน้อย เนื่องจากเราไม่มีหลักฐานว่า มนุษย์ต่างดาวมีอยู่จริง ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพิจารณาถึงระยะห่างอันกว้างใหญ่ระหว่างระบบดาวเคราะห์ต่าง ๆ จึงดูเหมือนว่าออกจะแปลก ๆ ไปหน่อยที่เราเรียนรู้เกี่ยวกับพวกเขาผ่านการเยือนเท่านั้น เพราะหลักฐานการมีอยู่ของมนุษย์ต่างดาวมีแนวโน้มที่จะมาจากสัญญาณจากดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างไกลมากกว่า
ในบทความที่ผู้เขียนเขียน ซึ่งได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์ในวารสาร Proceedings of the International Astronomical Union (หรือ รายงานการประชุมสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล) ผู้เขียนได้โต้แย้งว่า ความเชื่อในเรื่องผู้มาเยือนจากนอกโลกไม่ใช่เรื่องหายากอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นปัญหาสังคมที่แพร่หลาย ความเชื่อนี้กำลังขยายขอบเขตไปจนถึงจุดที่นักการเมืองต่าง ๆ อย่างน้อยก็ในสหรัฐอเมริการู้สึกว่า พวกเขาต้องตอบสนองต่อเรื่องนี้
การเปิดเผยข้อมูลของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือ เพนตากอนเกี่ยวกับ ปรากฏการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้ (Unidentified Anomalous Phenomena --UAP แทนที่จะเป็นยูเอฟโอ ได้รับความสนใจจากกลุ่มทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างมากในประเทศ
เมื่อพิจารณาถึงระยะห่างมหาศาลระหว่างระบบดวงดาวต่าง ๆ จึงทำให้มีเหตุผลมากกว่า หากมีการสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตนอกโลก โดยพวกมันจะส่งสัญญาณจากดาวเคราะห์ที่อยู่ไกลออกไป ไม่ใช่การเดินทางมาเยือนโลก
คนส่วนใหญ่ที่เชื่อเรื่องนี้ทั้งสองฝ่าย มักอาศัยความคุ้นเคยการอุปมาอุปไมยในเชิงต่อต้านชนชั้นสูงมาใช้เป็นคำอธิบาย เช่น แนวคิดที่ว่ากองทัพและกลุ่มพันธมิตรลับที่มีผลประโยชน์ทางธุรกิจส่วนตัวกำลังปกปิดความจริงอันลึกซึ้งเกี่ยวกับการเยี่ยมเยือนของมนุษย์ต่างดาว ความจริงดังกล่าวเชื่อกันว่าเกี่ยวข้องกับการพบเห็น การลักพาตัว และเทคโนโลยีเอเลียนเพื่องานด้านวิศวกรรมย้อนกลับ
แนวคิดว่าด้วยการปกปิด
ความเชื่อในการปกปิดนั้นยิ่งใหญ่กว่าความเชื่อเรื่องการมาเยือนของเอเลียนเสียอีก ในปี 2019 การสำรวจความคิดเห็นของบริษัทวิจัยแกลลับ (Gallop) พบว่า 68% ของชาวอเมริกันเชื่อว่า “รัฐบาลสหรัฐฯ รู้เรื่องเกี่ยวกับยูเอฟโอมากกว่าที่จะเปิดเผยว่ามีจริง”
แนวโน้มเกี่ยวกับประเด็นนี้มีมานานหลายทศวรรษแล้ว
นายจิมมี คาร์เตอร์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ สัญญาว่า จะเปิดเผยเอกสารระหว่างการหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 1976 หลายปีหลังจากที่เขาอ้างว่า เขาได้เห็นยูเอฟโอ กรณีนี้ก็เป็นเช่นเดียวกับการพบเห็นอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ตามมาด้วยคำอธิบายที่ง่ายที่สุดที่ว่า เขาเห็นดาวศุกร์ (ซึ่งเกิดขึ้นค่อนข้างบ่อย)
นางฮิลลารี คลินตัน ยังเคยบอกว่า เธอต้องการ “เปิดไฟล์ของ [เพนตากอน] ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” ระหว่างการหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเพื่อต่อต้านโดนัลด์ ทรัมป์ ในขณะที่ทรัมป์บอกว่า เขาจะต้อง “คิด” ว่า มีความเป็นไปได้ที่จะแยกประเภทเอกสารที่ระบุถึง เหตุการณ์รอสเวลล์หรือไม่ (เอกสารดังกล่าวเกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาเรื่องยูเอฟโอตกและการเก็บกู้ศพมนุษย์ต่างดาว)
ร่างกฎหมายหลายฉบับถูกนำเข้าไปเสนอในรัฐสภาคองเกรสของสหรัฐฯ เพื่อกำหนดให้กระทรวงกลาโหมเปิดเผยข้อมูลที่ถูกกล่าวหาซึ่งเกี่ยวข้องกับ “ปรากฏการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้”
อดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน เคยอ้างว่า เขาได้ส่งนายจอห์น โพเดสตา หัวหน้าคณะทำงานของประธานาธิบดี ไปยังพื้นที่ 51 ซึ่งเป็นสถานที่ลับระดับสูงของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ในกรณีที่ข่าวลือเกี่ยวกับเทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาวนั้นเป็นเรื่องจริง เป็นที่น่าสังเกตว่า นายโพเดสตาเป็นผู้ชื่นชอบทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับยูเอฟโอมายาวนานอยู่แล้ว
ผู้เสนอการเปิดเผยเอกสารที่โดดเด่นที่สุดในปัจจุบันคือ ชัค ชูเมอร์ ผู้นำพรรคเดโมแครตในวุฒิสภา ซึ่งร่างกฎหมายว่าด้วยการเปิดเผยปรากฏการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้ (UAP) ปี 2023 ของเขาได้รับการสนับสนุนจากวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน 3 คน
ในที่สุดการเปิดเผยข้อมูลของกระทรวงกลาโหมก็เริ่มขึ้นในช่วงแรกของวาระการดำรงตำแหน่งของโจ ไบเดน แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลใดเลย รวมทั้งไม่มีรายงานว่าด้วยการเผชิญหน้ากัน [ระหว่างมนุษย์และสิ่งมีชีวิตนอกโลก] ไม่มีอะไรใกล้เคียง แต่เสียงดังจากเบื้องหลังยังคงไม่จางหายไป
เรื่องมนุษย์ต่างดาวกลายเป็นปัญหาสังคมอย่างไร
ทั้งหมดนี้กระตุ้นให้เกิดทฤษฎีสมคบคิดในท้ายที่สุด ซึ่งอาจบ่อนทำลายความไว้วางใจในสถาบันทางประชาธิปไตย มีเสียงเรียกร้องอย่างตลกขบขันให้โจมตีแอเรีย 51 (Area 51) และยิ่งเป็นช่วงหลังจากการบุกโจมตีอาคารรัฐสภาสหรัฐในปี 2021 เสียงเรียกร้องเช่นนี้ก็ดูเหมือนมีความเป็นไปได้ในทางอันตราย
เสียงเรียกร้องที่ดังเกี่ยวกับยูเอฟโอและปรากฏการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้ (UAP) ที่อยู่เบื้องหลังมากเกินไป อาจรบกวนการสื่อสารที่อยู่บนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้อง และถูกกฎหมายเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลกขนาดเล็กได้
ชีวดาราศาสตร์ ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ที่อธิบายเกี่ยวข้องกับประเด็นเหล่านั้น กลับมีกระบวนการสร้างความเข้าใจต่อสาธารณะที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่า การศึกษาเกี่ยวกับยูเอฟโอ หรือ ufology อยู่มาก ยกตัวอย่างเช่น ช่อง History ทางยูทิวบ์ของดิสนีย์ มักนำเสนอรายการเกี่ยวกับ “เอเลี่ยนโบราณ” ขณะนี้รายการอยู่ในซีซันที่ 20 และช่องนี้มีสมาชิก 13.8 ล้านคน
แอเรีย 51 เป็นเขตหวงห้ามขั้นสูงในรัฐเนวาดา ควบคุมโดยกองทัพสหรัฐฯ ความลับรอบ ๆ ฐานนี้ได้ก่อให้เกิดเรื่องราวนิยายวิทยาศาสตร์และทฤษฎีสมคบคิดมากมาย
ช่องที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิดาราศาสตร์วิทยาของนาซา มีสมาชิกที่หามาอย่างยากลำบาก ซึ่งมีเพียง 20,000 ราย ความเป็นจริงคือ วิทยาศาสตร์ที่แท้จริงถูกแซงหน้าโดยช่องบันเทิง
ภัยคุกคามต่อชนเผ่าพื้นเมือง
เรื่องเล่าเกี่ยวกับการเยี่ยมเยียนมนุษย์ต่างดาว ยังได้พยายามบิดเบือนและเขียนทับประวัติศาสตร์และตำนานของชนเผ่าพื้นเมืองซ้ำแล้วซ้ำอีก ขั้นตอนแรกในทิศทางนี้ เริ่มต้นด้วยการย้อนกลับไปที่เรื่องราวนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง “Explosion: The Story of a Hypothesis” (แปลเป็นภาษาไทยว่า การระเบิด: เรื่องราวแห่งสมมติฐาน) ที่เขียนโดยอเล็กซานเดอร์ คาซันท์เซฟ ในปี 1946
บทความนี้นำเสนอเหตุการณ์อุกกาบาตระเบิดกลางอากาศที่ตุงกุสคาทางตอนเหนือของไซบีเรียของรัสเซียในปี 1908 ว่าเป็นการระเบิดคล้ายนางาซากิจากเครื่องยนต์ของยานอวกาศเอเลียน ในนิทานของคาซันท์เชฟ ผู้รอดชีวิตผิวดำตัวใหญ่ถูกทอดทิ้ง มีพลังพิเศษในการรักษาตัวเอง จึงทำให้ชนเผ่าพื้นเมืองเอเวนคี (Evenki) รับเลี้ยงเธอเป็นหมอผี
ขณะที่องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติหรือ นาซา และชุมชนวิทยาศาสตร์อวกาศสนับสนุนโครงการริเริ่มต่างๆ เช่น Native Skywatchers ที่สร้างขึ้นโดยชุมชนพื้นเมืองโอจิบวา (Ojibwa) และ ลาโคตา (Lakota) เพื่อให้แน่ใจว่า เรื่องราวเกี่ยวกับดวงดาวจะยังคงอยู่ มีเครือข่ายการศึกษาเกี่ยวกับชนพื้นเมืองที่มีอยู่จริงและกว้างขวางในหัวข้อเหล่านี้ แต่บรรดานักสืบยูเอฟโอ (ufologists) มักจะรวบรวมเรื่องราวชีวิตที่แท้จริงของชนพื้นเมืองที่มาจากท้องฟ้าเข้ากับเรื่องราวสมมติเกี่ยวกับยูเอฟโอ โดยรวมกันเป็นประวัติศาสตร์ที่ต้องห้าม
ทว่าการเล่าเรื่องแนวสมัยใหม่เกี่ยวกับการเยี่ยมเยียนมนุษย์ต่างดาวไม่ได้เกิดขึ้นจากชุมชนพื้นเมือง แต่ค่อนข้างตรงกันข้ามไปจากนั้น มันเกิดขึ้นโดยเป็นส่วนหนึ่งของช่องทางสำหรับนักทฤษฎีสมคบคิดในยุโรปที่มีแนวความคิดเหยียดเชื้อชาติ ซึ่งใช้อธิบายเกี่ยวกับอารยธรรมในเมืองที่มีความซับซ้อนดำรงอยู่ในสถานที่ต่าง ๆ เช่น อเมริกาใต้ ก่อนการล่าอาณานิคมของยุโรปเป็นอย่างไร
เมื่อกรองผ่านวัฒนธรรมต่อต้านยุคใหม่ในช่วงทศวรรษ 1960 การเล่าเรื่องก็กลับกันเพื่อแสดงความเคารพต่อชนเผ่าพื้นเมืองในฐานะผู้ครอบครองเทคโนโลยีขั้นสูง ตามมุมมองนี้ มีครั้งหนึ่งที่อารยธรรมของชนพื้นเมืองทุกแห่งคือ วากันดา ซึ่งเป็นประเทศสมมติที่ปรากฏในหนังสือการ์ตูนอเมริกันที่ตีพิมพ์โดยมาร์เวล หากทั้งหมดนี้จัดอยู่ในหมวดหมู่ของตัวเอง เช่น นิยายบันเทิง อะไร ๆ ก็คงดี แต่พวกเขาไม่ได้คิดเช่นนั้น
ทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับการมาเยือนของมนุษย์ต่างดาว ยังได้พยายามเขียนเรื่องราวพื้นเมืองเกี่ยวกับต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิตบนโลกขึ้นมาใหม่
เรื่องเล่าเกี่ยวกับการมาเยือนมักจะเขียนทับเรื่องราวพื้นเมืองเกี่ยวกับสวรรค์และโลก
นี่เป็นปัญหาสำหรับทุกคน ไม่ใช่แค่ชนเผ่าพื้นเมืองเท่านั้นที่ดิ้นรนเพื่อสืบสานประเพณีที่แท้จริง มันคุกคามความเข้าใจของเราในอดีต เมื่อพูดถึงการรู้จักบรรพบุรุษที่อยู่ห่างไกลของเรา การเล่าเรื่องยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่เหลืออยู่นั้นมีน้อยและมีค่า เช่นเดียวกับการเล่าเรื่องดวงดาวของชนพื้นเมือง
ยกตัวอย่างนิทานของกลุ่มดาวลูกไก่ ซึ่งในรูปแบบมาตรฐานมีอายุย้อนกลับไปอย่างน้อย 50,000 ปี
บางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลว่า ทำไมนิทานเหล่านี้จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากผู้ชื่นชอบการเยี่ยมเยือนนอกโลก ซึ่งบางคนถึงกับอ้างว่าเป็น “ชาวกลุ่มดาวลูกไก่” ไม่น่าแปลกใจเลยที่กลุ่มดาวลูกไก่ไม่ได้มีลักษณะคล้ายกับลาโกตาหรือโอจิบวา แต่เป็นคนนอร์ดิก ผมบลอนด์ ตาสีฟ้าที่โดดเด่น
นี่เป็นสิ่งที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าความเชื่อในการมาเยือนนอกโลกไม่ได้เป็นเพียงการคาดเดาที่สนุกสนานอีกต่อไป แต่ยังเป็นสิ่งที่มีผลกระทบที่แท้จริงและยังเป็นอันตรายอีกด้วย
ที่มา: https://www.bbc.com/thai/articles/cy4dxdy8wrxo
##########################################################
7 สิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้เกี่ยวกับ “เอเลียน”
มนุษย์ยังไม่พบหลักฐานที่ยืนยันว่าสิ่งมีชีวิตต่างดาวมีอยู่จริง
เมื่อพูดถึงสิ่งมีชีวิตต่างดาวที่นิยมเรียกกันติดปากว่า “เอเลียน” ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตในจินตนาการ ซึ่งมีรูปร่างคล้ายมนุษย์ที่ทรงภูมิปัญญาและเป็นมิตรอย่างในภาพยนตร์ “อีที” หรือสัตว์ประหลาดดุร้ายกระหายเลือด อย่างในภาพยนตร์มหากาพย์เอเลียนภาคล่าสุด “รอมิวลุส” (Romulus) จินตนาการเหล่านี้ล้วนดึงดูดความสนใจผู้คนนับล้าน เพราะมันเกี่ยวข้องกับปริศนาลึกลับไร้คำตอบที่ว่า โลกคือดาวดวงเดียวในจักรวาลที่บังเกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นจริงหรือไม่
แม้ปัจจุบันมนุษย์ยังไม่พบหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ยืนยันว่าสิ่งมีชีวิตต่างดาวมีอยู่จริง แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ได้ทำการศึกษาค้นคว้ามานาน จนสามารถพิสูจน์ถึงข้อเท็จจริงบางประการที่มีความเป็นไปได้สูงเกี่ยวกับ “เอเลียน” ซึ่งบีบีซีรวบรวมมาได้ดังต่อไปนี้
ชาวโลกดวงแข็งที่ยังไม่ติดเชื้อร้ายจากห้วงอวกาศ
แม้ทุกวันนี้จะเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า ดวงจันทร์คือสถานที่ไร้ชีวิต ชนิดที่ไม่มีแม้แต่จุลินทรีย์สักตัวอาศัยอยู่ แต่ในยุคก่อนที่นักบินอวกาศในภารกิจอะพอลโล 11 จะก้าวลงเหยียบพื้นดวงจันทร์เป็นครั้งแรกนั้น นักวิทยาศาสตร์คาดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่นักบินอวกาศผู้สร้างประวัติศาสตร์ทั้งสามคน อาจนำเอาจุลินทรีย์ที่เป็นเชื้อร้ายจากนอกโลกติดตัวกลับมาด้วย
ดังนั้นเมื่อยานอะพอลโล 11 ดิ่งลงในมหาสมุทร หลังกลับคืนสู่โลกเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจึงเริ่มดำเนินการตามข้อปฏิบัติที่กำหนดไว้แล้ว เพื่อขจัดสิ่งปนเปื้อนที่ติดมากับยานและนักบินอวกาศในทันที ซึ่งเท่ากับเป็นการสกัดกั้นไม่ให้สิ่งมีชีวิตต่างดาวหรือ “เอเลียน” ในทุกรูปแบบ เข้ามาแพร่กระจายขยายพันธุ์บนโลกของเราได้
ในทางทฤษฎีแล้ว นักบินอวกาศจะไม่สามารถออกมาจากตัวยานได้ในทันที จนกว่าอุปกรณ์เพื่อการกักตัวป้องกันเชื้อแพร่กระจายจะเตรียมพร้อม แต่การที่ต้องทนอยู่ในที่ร้อนจัดและแคบขณะที่ประตูยานยังปิดล็อกสนิท รวมทั้งถูกคลื่นทะเลซัดจนตัวยานเหวี่ยงส่ายไปมาน่าเวียนหัว ทำให้ในเวลาปฏิบัติการจริง ผู้ควบคุมจะอนุญาตให้นักบินอวกาศเปิดประตูยานเพื่อรับอากาศจากภายนอกก่อนได้
หากมีเชื้อร้ายจากต่างดาวเกาะติดมากับยานลำดังกล่าว มันอาจจะอาศัยโอกาสนี้ลงไปอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกแล้ว และหากมันเป็นเชื้อที่สามารถก่อโรคร้ายแรงจนทำลายสิ่งมีชีวิตบนโลกได้ มนุษยชาติอาจจะไม่ได้อยู่ดูโลกมาจนถึงทุกวันนี้ จึงนับว่าสัตว์โลกนั้นยังเคราะห์ดี ที่ไม่ต้องเผชิญภัยจากเอเลียนตัวจิ๋วหรือจุลินทรีย์จากต่างดาวนั่นเอง
มหาสมุทรบนดวงจันทร์ต่าง ๆ คือแหล่งค้นหาเอเลียนที่ดีที่สุด
เชื่อกันว่าดวงจันทร์ของดาวเคราะห์บริวารหลายดวงในระบบสุริยะ มีมหาสมุทรที่เหมือนกับท้องทะเลบนโลกอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นน้ำที่เค็มจัดและพื้นล่างที่อบอุ่นด้วยปล่องน้ำร้อนก้นสมุทร (hydrothermal vent) ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันลงความเห็นว่า มหาสมุทรบนดวงจันทร์เหล่านี้คือแหล่งที่เหมาะสมที่สุด สำหรับการค้นหาสิ่งมีชีวิตต่างดาว
ตัวอย่างเช่นดวงจันทร์ยูโรปาของดาวพฤหัสบดีนั้น นักวิทยาศาสตร์คาดว่ามีปริมาณน้ำที่เป็นของเหลวอยู่สูงกว่ามหาสมุทรทุกแห่งบนโลกรวมกัน ส่วนดวงจันทร์เอนเซลาดัสของดาวเสาร์ก็พ่นไอน้ำร้อนขนาดยักษ์ พวยพุ่งออกมาจากใต้พื้นน้ำแข็งของดาว ซึ่งแสดงว่าน่าจะมีปล่องน้ำร้อนที่ทรงพลังอยู่ตรงก้นมหาสมุทรใต้พื้นน้ำแข็งนั้น
หากสามารถพิสูจน์ต่อไปได้ว่า ปล่องน้ำร้อนก้นสมุทรบนดาวเหล่านี้ มีคุณสมบัติไม่แตกต่างจากปล่องน้ำร้อนก้นสมุทรบนโลก มันจะเป็นการค้นพบครั้งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะปล่องน้ำร้อนก้นสมุทรนั้นเป็นหนึ่งในสถานที่ซึ่งมีความเป็นไปได้มากที่สุดว่า อาจเป็นแหล่งต้นกำเนิดของสรรพชีวิตบนโลก
ส่วนดวงจันทร์ในระบบสุริยะดวงอื่น ๆ ที่อาจมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ได้แก่ดวงจันทร์คัลลิสโตและแกนีมีดของดาวพฤหัสบดี และดวงจันทร์ไททันของดาวเสาร์ ซึ่งองค์การอวกาศหลายแห่งมีแผนจะทำภารกิจสำรวจในช่วงทศวรรษหน้า เพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิตต่างดาวที่อาศัยอยู่ในห้วงน้ำอันไกลโพ้น แต่ก็ยังน่าสงสัยว่า “เอเลียน” สายพันธุ์นี้ จะมีหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่
ยานแคสสินีจับภาพไอน้ำพุร้อนที่พวยพุ่งขึ้นจากผิวที่เป็นน้ำแข็งของดวงจันทร์เอนเซลาดัส
มนุษย์ยังไม่พร้อมกับการติดต่อเผชิญหน้าเอเลียนครั้งแรก
ทุกวันนี้มนุษย์ยังค้นหาสิ่งมีชีวิตต่างดาวไม่พบ แต่ถ้าจู่ ๆ เอเลียนเกิดปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเรา หรือติดต่อสื่อสารเข้ามาที่เราโดยตรงเป็นครั้งแรก มนุษย์จะสามารถรับมือกับการเผชิญหน้าดังกล่าว และปฏิบัติต่อผู้มาเยือนได้อย่างเหมาะสมหรือไม่ ?
ดูเหมือนว่าในจินตนาการของมนุษย์ที่ปรากฏตามนิยายวิทยาศาสตร์หรือในภาพยนตร์เรื่องต่าง ๆ ไม่ได้ให้ความหวังกับเรามากนัก เพราะบ่อยครั้งที่ผู้คนเชื่อกันว่า เอเลียนนั้นเป็นสัตว์ร้ายที่มีสติปัญญาหรือคุณธรรมต่ำกว่ามนุษย์ และในความเป็นจริงแล้ว แม้แต่มนุษย์ด้วยกันเองก็ยังปฏิบัติต่อคนต่างเผ่าพันธุ์อย่างไร้มนุษยธรรม โดยไม่คำนึงถึงสิทธิมนุษยชนด้วยซ้ำไป
อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์และนักจริยศาสตร์ในปัจจุบันได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว และได้เริ่มเตรียมความพร้อมโดยศึกษาความเป็นไปได้ว่า อะไรจะเกิดขึ้นหากเราต้องพบปะหรือติดต่อสื่อสารกับเอเลียนเข้าจริง ๆ ซึ่งขั้นตอนแรกที่สำคัญมากก็คือ การประเมินระดับสติปัญญาและความสามารถในการมีจิตสำนึกตระหนักรู้ของเอเลียน ส่วนการพิจารณาตัดสินถึงเจตนาที่แท้จริงในการมาเยือนของเอเลียนว่าดีหรือร้ายนั้น ถือเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่มีความสำคัญรองลงไป
อย่างไรก็ตาม หากเอเลียนนั้นมีความรู้ความสามารถและเทคโนโลยีที่สามารถจะลงจอดและออกสำรวจพื้นโลกได้ การวิเคราะห์เพื่อตัดสินใจว่าเอเลียนจะปฏิบัติต่อเราอย่างไร และพวกเขาสามารถจะคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนได้หรือไม่นั้น ถือเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
“สัญญาณเอเลียน” ไม่ได้มาจากนอกโลกทั้งหมด
นักดาราศาสตร์ใช้เวลาหลายพันชั่วโมงต่อปี เฝ้าสังเกตการณ์ท้องฟ้าและความเคลื่อนไหวของสัญญาณวิทยุจากนอกโลก ซึ่งนอกจากจะบ่งบอกได้ถึงข้อมูลของดวงดาวและกาแล็กซีที่อยู่ห่างไกลออกไปแล้ว ยังอาจให้เบาะแสในเรื่องของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากต่างดาวได้อีกด้วย แต่ในบางครั้งสัญญาณลึกลับที่ดูเหมือนว่าจะส่งมาจากเอเลียนเหล่านี้ กลับกลายเป็นคลื่นรบกวนจากสิ่งประดิษฐ์ในชีวิตประจำวันของมนุษย์นั่นเอง
ในปี 1998 นักวิจัยประจำหอสังเกตการณ์ดาราศาสตร์พาร์กส์ ในรัฐนิวเซาท์เวลส์ของออสเตรเลีย พบการปะทุสัญญาณวิทยุประหลาดในช่วงเวลาสั้น ๆ ครั้งละไม่กี่มิลลิวินาที โดยสัญญาณดังกล่าวถูกตรวจพบนานหลายสัปดาห์ติดต่อกัน แต่ก็น่าสงสัยว่า มันจะปรากฏแค่ในช่วงวันและเวลาทำการของหอสังเกตการณ์ดาราศาสตร์เท่านั้น
ต่อมาในปี 2015 นักวิทยาศาสตร์สามารถสืบสาวถึงต้นตอของสัญญาณลึกลับดังกล่าวได้สำเร็จ แต่กลับพบว่ามันมาจากเตาไมโครเวฟของหอสังเกตการณ์ดาราศาสตร์นั่นเอง โดยสัญญาณเอเลียนที่ว่านี้จะปรากฏขึ้น ตรงกับช่วงเวลาที่เหล่านักดาราศาสตร์อุ่นอาหารเพื่อรับประทานร้อน ๆ แต่การเปิดฝาประตูของเตาไมโครเวฟออกก่อนจะครบเวลาอุ่นอาหารที่ตั้งไว้ สามารถปลดปล่อยคลื่นวิทยุความถี่ 2.4 กิกะเฮิร์ตซ์ ให้เสาอากาศของกล้องโทรทรรศน์วิทยุตรวจจับได้
ยาน MSL ของนาซา ผ่านการทำความสะอาดอย่างล้ำลึกก่อนส่งขึ้นสู่ห้วงอวกาศ เพื่อป้องกันจุลินทรีย์ปนเปื้อน
ดาวอังคารอาจปนเปื้อนด้วยจุลินทรีย์จากโลกแล้ว
ก่อนที่ยานสำรวจจะถูกส่งขึ้นสู่ห้วงอวกาศ จะมีการทำความสะอาดอย่างล้ำลึกทุกซอกมุม เพื่อป้องกันการปนเปื้อนจาก จุลินทรีย์ชนิดต่าง ๆ ที่อาจถูกนำออกนอกโลกไปยังห้วงอวกาศหรือต่างดาวได้ โดยบรรดาดาวเทียมโคจรสำรวจ ยานลงจอด และหุ่นยนต์ตระเวนสำรวจต่าง ๆ จะถูกนำมาเก็บรักษาไว้ในห้องปลอดเชื้อ หลังผ่านกระบวนการป้องกันการปนเปื้อนที่เข้มงวดแล้ว โดยจะมีการฆ่าเชื้อชิ้นส่วนของอุปกรณ์ทุกชิ้นก่อนนำมาประกอบเข้าด้วยกัน
แต่นั่นก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่ผิวนอกของยานอวกาศจะปลอดเชื้อ 100% อย่างแท้จริง ในทางปฏิบัติแล้ว เจ้าหน้าที่จะพยายามขจัดสิ่งปนเปื้อนออกให้หลงเหลืออยู่น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ และหวังว่าสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายไม่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีพในห้วงอวกาศ จะทำลายจุลินทรีย์ที่หลงเหลืออยู่ไปเอง
ถึงกระนั้นก็ตาม นักวิทยาศาสตร์พบว่าจุลินทรีย์บางชนิดยังคงมีชีวิตรอดได้ แม้จะผ่านกระบวนการทำความสะอาดและได้ออกไปท่องอวกาศที่เต็มไปด้วยรังสีอันตรายมาแล้ว โดยพวกเขาค้นพบดีเอ็นเอของจุลินทรีย์บางชนิดที่ทนทานต่อรังสีคอสมิก รวมทั้งอุณหภูมิต่ำติดลบหลายร้อยองศาเซลเซียสในอวกาศ และการอบแห้งขจัดความชื้นในห้องปลอดเชื้อมาแล้ว ซึ่งจุลินทรีย์ที่ทนทายาดนี้ อยู่ในห้องที่ใช้ประกอบหุ่นยนต์ตระเวนสำรวจดาวอังคารหลายตัว ทำให้น่าสงสัยว่ามนุษย์ได้ส่งสิ่งมีชีวิตบนโลกไปเป็นเอเลียนที่ดาวอังคารแล้วหรือไม่ ?
คนเห็นยูเอฟโอกันมากขึ้น เมื่อเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงระดับมหภาค
ระหว่างที่เกิดการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 นักวิทยาศาสตร์ได้พบแนวโน้มที่น่าสนใจว่า ตัวเลขสถิติของการพบเห็นวัตถุบินที่ไม่อาจระบุตัวตนได้หรือยูเอฟโอนั้น เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากทั่วสหรัฐฯ ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าผู้คนที่ถูกกักตัวอยู่กับบ้าน มีเวลาว่างมากขึ้น จนสามารถเฝ้าสังเกตการณ์ท้องฟ้าได้นานขึ้นและละเอียดมากขึ้นตามไปด้วย การที่คนหมู่มากเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตประจำวันอย่างฉับพลันนั้น ยังทำให้มีสายตาหลายคู่คอยจับจ้องสิ่งผิดปกติ ซึ่งอาจหลุดลอดสายตาของนักวิทยาศาสตร์ในยามปกติไปก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มีคำอธิบายที่ต่างออกไปในงานวิจัยชิ้นหนึ่ง ซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการ SSRN เมื่อช่วงเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมองว่าประชาชนจะมุ่งให้ความสนใจต่อข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับสิ่งน่าสงสัยมากขึ้น ระหว่างที่เกิดความเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งใหญ่ และความเปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจในระดับมหภาค
นับตั้งแต่รัฐบาลสหรัฐฯ เผยแพร่รายงานประเมินความเสี่ยงต่อภัยคุกคามจากยูเอฟโอและปรากฏการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้ (ยูเอพี) ในปี 2021 ก็มีผู้รายงานการพบเห็นวัตถุบินลึกลับเพิ่มขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า เฉพาะในปีที่แล้วเพียงปีเดียว มีผู้พบเห็นยูเอฟโอถึง 350 ราย ในขณะที่ช่วงเวลา 17 ปี ก่อนหน้านั้น มีผู้พบเห็นยูเอฟโอรวมกันเพียง 144 ราย บางคนถึงกับขนานนามช่วงเวลาดังกล่าวว่า “ยุคคลั่งยูเอฟโอครั้งใหม่” ซึ่งองค์การนาซาเพิ่งจะเริ่มตรวจสอบรายงานเหล่านี้อย่างจริงจังเป็นครั้งแรก เมื่อไม่นานมานี้เอง
สิ่งมีชีวิตที่เกิดจากไซยาไนด์บนดวงจันทร์ไททัน
ห่างออกไปจากโลกของเรา 1,200 ล้านกิโลเมตร มีดาวที่เป็นหินแข็งซึ่งสิ่งมีชีวิตสามารถอาศัยอยู่ เนื่องจากมีมหาสมุทรกว้างใหญ่บรรจุน้ำและของเหลวชนิดอื่นเอาไว้ และยังมีชั้นบรรยากาศที่หนาพอสมควรห่อหุ้มอีกด้วย
ลึกลงไปใต้มหาสมุทรของดวงจันทร์ไททัน ซึ่งเป็นบริวารขนาดใหญ่ที่สุดของดาวเสาร์ นักวิทยาศาสตร์คาดว่าอาจพบสิ่งมีชีวิตตัวจิ๋วจำนวนมากคืบคลานอยู่ ไม่ต่างจากจุลินทรีย์ในท้องทะเลบนโลก ทว่าสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการดำรงอยู่ของชีวิตที่นี่แตกต่างออกไป เพราะนอกจากจะมีมหาสมุทรที่เป็นห้วงน้ำอยู่ใต้ดินแล้ว ยังมีทะเลบรรจุมีเทนเหลวอยู่บนพื้นผิวอีกด้วย
นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มคาดว่า เราอาจพบ “สิ่งมีชีวิตไวนิล” (vinyl life) ในทะเลมีเทนเหลวแห่งนี้ โดยเป็นไปได้ว่าจะมีเซลล์ที่สร้างขึ้นจากไซยาไนด์ในสถานที่ดังกล่าว หลังตรวจพบไซยาไนด์ในบรรยากาศของดวงจันทร์ไททันเมื่อไม่นานมานี้
นักวิทยาศาสตร์หวังว่าจะได้คำตอบที่ยืนยันหรือปฏิเสธแนวคิดดังกล่าว ภายในไม่กี่สิบปีข้างหน้านี้ หลังจากที่องค์การนาซาเสนอจะส่งยานดำน้ำไปยังดวงจันทร์ไททัน เพื่อสำรวจทะเลมีเทนเหลวตรงบริเวณขั้วเหนือของดาว ซึ่งอาจจะดำเนินการได้ในช่วงฤดูร้อนครั้งถัดไปของดวงจันทร์ไททัน ซึ่งจะมาถึงในปี 2047
ที่มา: https://www.bbc.com/thai/articles/c15gwx314qvo
##########################################################
ภาพตัดขวางของภายในไททันอาจมีลักษณะดังนี้: มีเคมีอินทรีย์ในบรรยากาศและบนพื้นผิว เหนือเปลือกน้ำแข็งที่ห่อหุ้มมหาสมุทรทั่วโลก ซึ่งอาจตั้งอยู่บนชั้นน้ำแข็งอีกชั้นหนึ่งที่ล้อมรอบแก่นหิน
ดาวลูกไก่ (Pleiades) หรือที่เรียกว่า M45 เป็นกระจุกดาวเปิดที่มีดาวฤกษ์หลายดวง ซึ่งดาวฤกษ์หลักๆ ที่เห็นได้ชัดเจนในกลุ่มนี้มีทั้งหมด 7 ดวง โดยมี อัลไซโอนี (Alcyone) เป็นดาวที่สว่างที่สุดในกลุ่ม แต่ที่จริงแล้วดาวลูกไก่ ประกอบด้วยดาวฤกษ์มากกว่า 1,000 ดวง แต่ดวงดาวที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ามีประมาณ 6-7 ดวงในท้องฟ้าที่มืดสนิท โดยมีดาวฤกษ์ที่สว่างหลักๆ อยู่ 7 ดวง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี
กลุ่มดาวลูกไก่เป็นกลุ่มดาวเล็ก ๆ ในกลุ่มดาวราศีพฤษภ Cr.ภาพ Buyenlarge
ภาพจำลองที่แสดงให้เห็นว่าดาว Atlas และ Pleione จะปรากฏต่อสายตามนุษย์ปกติในอดีตและปัจจุบันอย่างไร Cr.ภาพ Ray Norris