งานวิจัยชี้ โลกเคยมีวงแหวนคล้ายดาวเสาร์
งานวิจัยใหม่ชี้ การแตกตัวของดาวเคราะห์น้อย ทำให้โลกเคยมีวงแหวนคล้ายดาวเสาร์
“การศึกษาครั้งสำคัญนี้ เผยให้เห็นสมมุติฐานที่น่าสนใจว่า 466 ล้านปีที่แล้ว
โลกอาจมีระบบวงแหวนอันน่าทึ่งเป็นของตัวเอง”
โลกเคยมีรูปร่างคล้ายดาวเสาร์หรือไม่ นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่าคำตอบของคำถามนี้ คือใช่! ในการศึกษาครั้งสำคัญนี้ นักวิจัยในออสเตรเลียเสนอว่าโลกอาจมีระบบวงแหวนอันน่าทึ่งเป็นของตัวเอง
จากการค้นพบที่ท้าทายความเข้าใจของเราเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และดาราศาสตร์ นักวิจัยได้พบหลักฐานชิ้นใหม่ ที่ชี้ให้เห็นว่าโลกอาจเคยมีระบบวงแหวน ซึ่งก่อตัวขึ้นเมื่อประมาณ 466 ล้านปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่อุกาบาตพุ่งเข้าชนโลกอย่างรุนแรงหลายครั้ง ในยุคออร์โดวิเชียน
หลักฐานที่ทำให้เชื่อว่าโลกมีวงแหวน
สมมติฐานที่น่าประหลาดใจนี้ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Earth and Planetary Science Letters โดยวิเคราะห์จากที่มาของการสร้างแผ่นเปลือกโลกใหม่ในยุคออร์โดวิเชียน ด้วยการระบุตำแหน่งของหลุมอุกกาบาตที่ดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนทั้ง 21 แห่ง ซึ่งหลุมอุกกาบาตทั้งหมดนี้ ตั้งอยู่ในระยะ 30 องศาจากเส้นศูนย์สูตร ซึ่งเป็นความผิดปกติที่ทฤษฎีทั่วไปไม่สามารถอธิบายได้
ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ นักวิจัยยังพบแหล่งหินปูนทั่วทั้งยุโรป รัสเซีย และจีน ซึ่งมีเศษซากอุกกาบาตชนิดหนึ่งในปริมาณสูงมาก เศษซากอุกกาบาตในหินตะกอนเหล่านี้ เป็นตัวพิสูจน์ว่าอุกาบาตที่ชนโลกตอนนั้น ได้รับรังสีจากอวกาศน้อยกว่าที่เราเห็นในอุกกาบาตที่ตกลงมาในปัจจุบันมาก
ทีมวิจัยเชื่อว่ารูปแบบการตกกระทบที่เกิดขึ้นเฉพาะจุดดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากที่ดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่โคจรมาใกล้โลก เมื่อดาวเคราะห์น้อยโคจรมาใกล้โลกภายในขีดจำกัดโรช (Roche limit) ดาวเคราะห์น้อยก็แตกออกจากกัน เนื่องจากแรงไทดัล (tidal force) ทำให้เกิดวงแหวนเศษซากรอบ ๆ โลก ซึ่งคล้ายกับวงแหวนที่พบเห็นรอบ ๆ ดาวเสาร์และดาวเคราะห์ก๊าซยักษ์ดวงอื่น ๆ ในปัจจุบัน
ศาสตราจารย์แอนดี้ ทอมกินส์ หัวหน้าคณะผู้วิจัยจาก คณะธรณี ชั้นบรรยากาศ และสิ่งแวดล้อมมหาวิทยาลัยมอนแอชกล่าวว่า “เมื่อเวลาผ่านไปหลายล้านปี วัสดุจากวงแหวนนี้จะค่อย ๆ ตกลงสู่พื้นโลก ส่งผลให้เกิดการพุ่งชนของอุกกาบาตเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจตามบันทึกทางธรณีวิทยา นอกจากนี้ เรายังพบอีกว่าชั้นหินตะกอนจากช่วงเวลาดังกล่าวประกอบด้วยเศษอุกกาบาตในปริมาณมหาศาล”
วงแหวนเป็นร่มกันแดดขนาดยักษ์
นักวิจัยคาดเดาว่าวงแหวนดังกล่าวอาจจะทำให้เกิดเงาบนโลก จนบดบังแสงอาทิตย์ และมีส่วนทำให้เกิดปรากฏการณ์โลกเย็นลงอย่างรุนแรง ซึ่งรู้จักกันในชื่อยุคน้ำแข็ง Hirnantian
ช่วงเวลาดังกล่าวซึ่งเกิดขึ้นใกล้ปลายยุคออร์โดวิเชียน ได้รับการยอมรับว่าเป็นช่วงเวลาที่หนาวเย็นที่สุดช่วงหนึ่งในช่วง 500 ล้านปีที่ผ่านมาของประวัติศาสตร์โลก
“แนวคิดที่ว่าระบบวงแหวนอาจมีอิทธิพลต่ออุณหภูมิโลกทำให้ความเข้าใจของเราเกี่ยวกับเหตุการณ์นอกโลกอาจส่งผลต่อสภาพภูมิอากาศของโลกมีความซับซ้อนมากขึ้น” ศาสตราจารย์ทอมกินส์กล่าว
โดยปกติแล้ว ดาวเคราะห์น้อยจะพุ่งชนโลกในตำแหน่งสุ่ม ดังนั้น เราจึงเห็นหลุมอุกกาบาตกระจายตัวเท่า ๆ กันบนดวงจันทร์และดาวอังคาร เพื่อตรวจสอบว่าหลุมอุกกาบาตในยุคออร์โดวิเชียนกระจายตัวแบบไม่สุ่มและอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรมากขึ้นหรือไม่ นักวิจัยจึงคำนวณพื้นที่ผิวทวีปที่สามารถรักษาหลุมอุกกาบาตจากช่วงเวลาดังกล่าวไว้ได้
พวกเขาเน้นที่หลุมอุกกาบาตที่มีเสถียรภาพและไม่ได้รับการรบกวน ซึ่งมีหิน ที่มีอายุมากกว่าช่วงกลางยุคออร์โดวิเชียน โดยไม่รวมพื้นที่ที่ถูกฝังอยู่ใต้ตะกอนหรือน้ำแข็ง พื้นที่ที่ถูกกัดเซาะ และพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากกิจกรรมทางธรณีวิทยา พวกเขาใช้แนวทาง GIS (ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์) เพื่อระบุพื้นที่ที่เหมาะสมทางธรณีวิทยาในทวีปต่าง ๆ พื้นที่เช่น ออสเตรเลียตะวันตก แอฟริกา หลุมอุกกาบาตในอเมริกาเหนือ และพื้นที่เล็ก ๆ ของยุโรป ถือว่าเหมาะสมสำหรับการอนุรักษ์หลุมอุกกาบาตดังกล่าว พื้นที่ดินที่เหมาะสมเพียงร้อยละ 30 เท่านั้นที่ระบุว่าอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร แต่หลุมอุกกาบาตทั้งหมดจากช่วงเวลาดังกล่าวกลับพบในภูมิภาคนี้ โอกาสที่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นนั้นเปรียบเสมือนการโยนเหรียญสามด้าน (ถ้ามีสิ่งดังกล่าวอยู่จริง) แล้วออกก้อย 21 ครั้ง
ถ้าโลกเคยมีวงแหวนจริงจะเป็นอย่างไร
ผลกระทบจากการค้นพบครั้งนี้ขยายออกไปไกลเกินกว่าขอบเขตทางธรณีวิทยา ทำให้เหล่านักวิทยาศาสตร์ต้องพิจารณาผลกระทบที่กว้างขึ้นของปรากฏการณ์บนท้องฟ้าต่อประวัติศาสตร์วิวัฒนาการของโลกอีกครั้ง นอกจากนี้ยังทำให้เกิดคำถามใหม่ ๆ เกี่ยวกับศักยภาพของระบบวงแหวนโบราณอื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อการพัฒนาของสิ่งมีชีวิตบนโลกอีกด้วย
“วงแหวนลักษณะเดียวกันนี้เคยเกิดขึ้นในช่วงเวลาอื่น ๆ ในประวัติศาสตร์ของโลกเราหรือไม่” คำถามนี้ ส่งผลกระทบต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่สภาพอากาศไปจนถึงการกระจายตัวของสิ่งมีชีวิต การวิจัยครั้งนี้เปิดขอบเขตใหม่ในการศึกษาอดีตของโลก โดยให้ข้อมูลเชิงลึกใหม่ ๆ เกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์แบบไดนามิกระหว่างโลกของเรากับจักรวาลอันกว้างใหญ่
##################################################
ที่มา
https://ngthai.com/science/74199/ancient-earth-ring/
https://www.space.com
https://www.monash.edu
https://www.sciencealert.com
##################################################
เหตุอุกกาบาตยักษ์พุ่งชนให้กำเนิดทวีปบนโลก
ภาพจำลองเหตุอุกกาบาตยักษ์พุ่งชนโลกจากฝีมือศิลปิน
สมมติฐานหนึ่งในวงการธรณีวิทยาที่มีมานานหลายสิบปี เชื่อว่าเปลือกโลกผืนเดียวในยุคดึกดำบรรพ์ได้แยกออกเป็นส่วน ๆ และขยายตัวกลายเป็น “ทวีป” (continents) หลังจากถูกอุกกาบาตยักษ์พุ่งชนเมื่อหลายพันล้านปีก่อน
ล่าสุดข้อสันนิษฐานนี้ได้รับการพิสูจน์ยืนยันว่าเป็นความจริง โดยทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเคอร์ทินของออสเตรเลียเผยว่า พวกเขาได้พบหลักฐานที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมชิ้นแรกซึ่งยืนยันความถูกต้องของแนวคิดดังกล่าว ในอัญมณีเพทายหรือผลึกคริสตัลของแร่เซอร์คอน (Zircon) ที่ได้จากรัฐออสเตรเลียตะวันตก
ผลการค้นพบข้างต้นตีพิมพ์ลงในวารสาร Nature ซึ่งอาจจะช่วยไขปริศนาที่ว่า เหตุใดโลกจึงเป็นดาวเคราะห์ดวงเดียวในระบบสุริยะที่มีทวีปต่าง ๆ
มีการวิเคราะห์องค์ประกอบของไอโซโทปออกซิเจนชนิดต่าง ๆ ในอัญมณีเพทาย ที่ได้จากแหล่งวิจัยทางธรณีวิทยา Pilbara Craton สถานที่แห่งนี้มีการก่อตัวของภูมิประเทศเป็นชั้นหิน ตรงบริเวณเปลือกโลกโบราณอายุเก่าแก่กว่า 4,000 ล้านปี โดยเชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการก่อตัวของทวีปในอดีต
ดร. ทิม จอห์นสัน ผู้นำทีมวิจัยบอกว่า “ผลวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของเปลือกโลกยุคดึกดำบรรพ์ ที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในผลึกเพทาย เผยให้เห็นกระบวนการก่อตัวของทวีปซึ่งเริ่มจากบนลงล่าง โดยหินที่ผิวเปลือกโลกจะหลอมละลายด้วยความร้อนสูงก่อน และค่อย ๆ หลอมละลายลึกลงไป สอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่ออุกกาบาตยักษ์พุ่งชนโลก”
ภาพจำลองเหตุอุกกาบาตยักษ์พุ่งชนโลกจากฝีมือศิลปิน
อุกกาบาตคือหินอวกาศที่ตกถึงพื้นโลก โดยรอดจากการถูกเผาไหม้จนหมดสิ้นในชั้นบรรยากาศมาได้ อุกกาบาตส่วนใหญ่แยกตัวมาจากดาวเคราะห์น้อยที่มีขนาดใหญ่กว่า เมื่อราว 4,600 ล้านปีก่อน ซึ่งเป็นยุคที่ดาวเคราะห์ต่าง ๆ ในระบบสุริยะกำลังถือกำเนิดขึ้นเช่นกัน ทำให้ดาวบริวารของดวงอาทิตย์ในตอนนั้น มีความเสี่ยงถูกอุกกาบาตยักษ์พุ่งชนในยุคแรกเริ่มของระบบสุริยะมากกว่าในปัจจุบัน
เหตุอุกกาบาตยักษ์พุ่งชนโลกที่ให้กำเนิดทวีปเมื่อหลายพันล้านปีก่อน อาจมีความรุนแรงคล้ายกับเหตุการณ์อุกกาบาตล้างเผ่าพันธุ์ไดโนเสาร์เมื่อ 66 ล้านปีที่แล้ว ซึ่งในครั้งนั้นแรงกระแทกมหาศาลจากการพุ่งชน ทำให้เกิดหลุมอุกกาบาตชิกซูลุบ (Chicxulub) ที่กว้างถึง 10 กิโลเมตร บริเวณนอกชายฝั่งคาบสมุทรยูคาตันของประเทศเม็กซิโก
ความรู้ใหม่ว่าด้วยกระบวนการก่อตัวของทวีปนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากจะช่วยเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องที่ว่า แร่ธาตุและสิ่งมีชีวิตรูปแบบต่าง ๆ กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลกในแบบที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ได้อย่างไร
“การสะสมตัวของแร่ธาตุในแหล่งต่าง ๆ เป็นผลพวงมาจากกระบวนการสร้างความแตกต่างในเปลือกโลก ซึ่งเริ่มจากการก่อตัวของผืนแผ่นดินอายุเก่าแก่ที่สุด และ Pilbara Craton ก็เป็นหนึ่งในสถานที่เหล่านั้น” ดร. จอห์นสันกล่าว
ทีมผู้วิจัยมีแผนจะทำการศึกษาต่อไป เพื่อดูว่าบริเวณที่เป็นเปลือกโลกอายุเก่าแก่ในประเทศอื่น ๆ มีข้อมูลองค์ประกอบทางเคมีที่บ่งชี้ถึงลักษณะการก่อตัวเหมือนกับในออสเตรเลียหรือไม่ โดยเบื้องต้นทราบว่ามีแหล่งวิจัยทางธรณีวิทยาหลายแห่งที่มีข้อมูลตรงกัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของแนวคิดกำเนิดทวีปจากอุกกาบาตยักษ์ชนโลกให้สูงขึ้น
##################################################
ที่มา
https://www.bbc.com/thai/articles/cp4xlx9l1kno
##################################################[/u]