BLOG BOARD_B
ติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Email: sale@soccersuck.com
ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1, 2
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออนไลน์
นักบอลถ้วย ข.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 1158
ที่อยู่: Hat yai สภาทนายความภาค9
โพสเมื่อ: Sat Aug 10, 2024 18:50
Top 10 เอลฟ์ในประวัติศาสตร์Middle-earth Part 2
หลังจากที่กระทู้ก่อนผมได้เอาบทความเก่าที่เคยเขียนไว้ในบอร์ดเมื่อนานมาแล้วกลับมารีเมคอีกทั้ง เพราะบทความเก่าเก่ารูปภาพต่างๆไฟล์มันหมดอายุไปหมดแล้ว ผมจึงหยิบมาเขียนอีกรอบโดยเพิ่มเนื้อหาและจัดเรียงคำกับภาพให้ดียิ่งขึ้น ส่วนนี่คือลิ้งค์ของพาร์ทแรกนะครับ

https://www.soccersuck.com/boards/topic/2462830

ตามธรรมเนียมเพื่อเพิ่มความอินเปิด sound นี้ฟังไปด้วยจะได้อรรถรสยิ่งขึ้น



ประวัติเอลฟ์แบบสรุป

Spoil

เอลฟ์ถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากการสร้างขององค์เอรูหรือ อิลูวาทาร์(พระเจ้า)ได้สร้างขึ้น โดยที่เอลฟ์กลุ่มแรกนั้นได้ตื่นขึ้นมาที่ทะเลสาปคุยวิเอเนน มี 3 คู่ 6 คน ซึ่งต่อมาพวกเขาแต่ละคู่ก็ไปจัดตั้งกลุ่มของตนเอง กลุ่มแรกคือ เอลฟ์วันยาร์มีน้อยสุดแค่ 14 กลุ่มที่ 2 คือ เอลฟ์โนลดอร์ มี 56 คน กลุ่มที่ 3 คือชาวเทเลริเป็นกลุ่มสุดท้ายมีมากสุดคือ 74 คน ภายหลังเทพต้องการให้เอลฟ์ย้ายไปอยู่ใกล้เทพ เพื่อเลี่ยงถูกเมลเคอร์จับไปทรมาน จึงได้เชิญผู้นำแต่ละกลุ่มไปคือ อิงเว ฟินเว เอลเวให้ไปได้เห็นก่อนจากนั้นจึงมาชวนพวกที่เหลือให้เดินทางไป ซึ่งการเดินทางนี่แหละเป็นอีกหนึ่งการแบ่งแยกเอลฟ์ คือพวกที่เลือกเดินทางคือพวกเอลดาร์ส่วนที่ไม่ไปคือพวกอวาริ หรือเอลฟ์ซิลวัน ซึ่งพวกวันยาร์และโนลดอร์ทั้งหมดนั้นได้เดินทางไปถึงวาลินอร์(ดินแดนเทพ) ส่วนพวกเทเลรินั้นแบ่งเป็น3กลุ่มหลักๆ กลุ่มแรกคือเลือกที่จะปฏิเสธการเดินทางตั้งแต่แรกจะถูกเรียกว่าอวาริ หรือซิลวัล กลุ่มต่อมาคือกลุ่มที่ตามหาผู้นำของตนอย่างเอลเวหรือธิงโกล ที่พลัดหลงระหว่างการเดินทาง(กลุ่มนี้ต่อมาคือพวกซินดาร์) กลุ่มต่อมาคือกลุ่มที่เดินทางไปจนถึงวาลินอร์(กลุ่มนี้ให้โอลเวน้องชายของเอลเวขึ้นมาเป็นผู้นำชาวเทเลริแทน) พวกเอลฟ์ที่ไปถึงวาลินอร์นั้นล้วนเป็นไฮฟ์เอลฟ์ที่ทรงภูมิปัญญาเหนือกว่าพวกที่ไม่ได้ไปในทุกๆด้านเพราะรับแสงแห่งทวิพฤกษา ส่วนพวกซินดาร์นั้นแม้ไม่ได้ไปแต่สติปัญญาและการต่อสู้เหนือกว่าพวกอื่นเพราะได้เห็นแสงต้นทวิพฤกษาผ่านเทพีเมลิอัน(เป็นเทพไมอาร์ที่ทรงอำนาจ)บวกกับที่ราชาของตนอย่างเอลเวก็ได้เคยไปถึงวาลินอร์มาแล้ว ต่อมาก็เกิดเหตุการต่างๆมากมาย เมลคอร์หนึ่งในเทพวาลาร์ก่อกบฎขโมยดวงแก้วซิลมาริลมายังมิดเดิ้ลเอิร์ธ จนพวกโนลดอร์ต้องกลับมามิดเดิ้ลเอิร์ธอีกครั้งนึงเพื่อจัดการเมลคอร์  


สามตระกูลหลักของเอลฟ์



5.เลดี้กาลาเดรียล



สำหรับเลดี้ กาลาเดรียลถือได้ว่าเป็นเอลฟ์ที่มีพลังอำนาจมากที่สุดในยุคที่2และ3 โดยโทลได้อธิบายเรื่องนี้ใน
The Unfinised Tales
"the mightiest and fairest of all the Elves that remained in Middle-earth"
ผู้ที่ยิ่งใหญ่และงดงามที่สุดในบรรดาเอล์ฟที่ยังเหลืออยู่ในมิดเดิ้ลเอิร์ธ
"Galadriel was the greatest of the Noldor, except Feanor maybe, though she was wiser than he, and her wisdom increased with the long years"
กาลาเดรียลผู้เป็นเลิศที่สุดในหมู่โนลดอร์ อาจเว้นเพียงเฟอานอร์ ด้วยนางมีปัญญามากกว่าเขานัก และมันเพิ่มพูนขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป





กาลาเดรียลนั้น ถือกำเนิดในวาลินอร์แดนศักดิ์สิทธิ์ก่อนเริ่มยุคที่หนึ่งเป็นบุตรของ ราชาฟิร์นาฟินกับเออาเวน
โดยที่นางนั้นได้สืบเชื้อสายของ3ตระกูลหลังทั้ง วันยาร์จากย่า เทเลริจากฝั่งแม่ และโนลดอร์ทางฝั่งพ่อและปู่จุดนี้ทำให้นางเป็นราชนิกุลของไฮย์เอล์ฟชาวโนลดอร์ที่ ซึ่งทำให้นางมีพลังอำนาจ ความงามและสติปัญญาเหนือกว่าเอล์ฟในมิดเดิ้ลเอิร์ธ โดยที่นางมีพี่น้องอีกสามคนหนึ่งในนั้นคือฟินร็อด โอโรเดร็ธ อังก์รอด
อายก์นอร์ และนางถือเป็นหนึ่งในเอลฟ์ที่ร่วมเดินทางออกจากวาลินอร์ เพื่อมายังมิดเดิ้ลเอิร์ธ



โดยที่สามีของนางคือลอร์ดเคเลบอร์นซึ่ง มีศักดิ์เป็นหลายของราชาเอลเวและโอลเว ข้อมูลของทั้งคู่นั้นมีส่วนขัดแย้งกันว่าเจอกันตอนไหน อย่างแรกว่าเจอกันใน อัควาลอนเดอาณาจักรของเอลฟ์เทเลริในวาลินอร์
ส่วนอีกทางบอกว่าทั้งคู่เจอกันที่ นครโดริอัธ ซึ่งไม่ว่าทางไหนทั้งคู่ก็ได้เจอกันและเคียงคู่กันตลอดสิ้นสุดยุค3 ต่อมาทั้งคู่ก็ให้กำเนิดธิดาคือ เคเลเบรียล(แม่อาร์เวนเมียเอลรอลด์)และในนครโดริอัธนี่แหละ เลดี้กาลาเดรียลเรียกได้ว่ารับความรู้ต่างๆมากมายมาจากเทพีเมลิอันอีกด้วย แต่กาลาเดรียลกับเคเลบอร์นไม่ค่อยมีบทบาทมากในยุคที่1 ภายหลังจบสงครามในยุคแรก แผ่นดินเบเลริอันด์ล่มสลาย นางจึงได้ย้ายมาอยู่ที่ลินดอนภายใต้ การนำของราชากิลกาลัดราชาโนลดอร์องค์สุดท้าย



ต่อมานางได้ย้ายเข้ามาอยู่ในนครเอเรกิออนของเคเลบริมบอร์ ระหว่างนี้นางก็ได้ติดต่อกับเอลฟ์นันดอร์(เอลฟ์ที่เลือกไม่เดินทางไปแดนเทพ)และนางเป็นหนึ่งในคนที่ห้ามเคเลบริมบอร์ไม่ให้ต้อนรับอันนาทาร์ แต่เคเลบริมบอร์ไม่ฟัง นางจึงได้ออกไปอยู่ที่ ลอริเอน ภายหลังกษัตริย์อัมรอธตายลง กาลาเดรียลและเคเลบอร์นจึงเป็นผู้นำแทน



โดยที่ทั้งคู่นั้นปกครองลอธลอริเอนในฐานะลอร์ดและเลดี้ และก่อนที่เซารอนจะบุกเอเรกิออนนั้น เขาได้มอบแหวนเอลฟ์ให้แก่นางหนึ่งวง คือแหวนเนนยาแหวนแห่งน้ำ แต่ในช่วงที่เซารอนที่ครองแหวนแห่งประมุขนางไม่คิดจะสวมใส่มันเลย แต่หลังจากสงครามพันธมิตรครั้งสุดท้ายที่ อิซิลดูร์ตัดแหวนแหวนของเซารอนได้ นางจึงใช้อำนาจของแหวนเนนยาเพื่อปกป้องอาณาจักร์ของนางไว้ (ถ้าเซารอนไม่มาบุกด้วยตนเองก็ไม่มีใครเข้ามาได้)



ระหว่างนั้นนางได้ก่อตั้งสภาขาวที่รวมเหล่าผู้มีอำนาจในมิดเดิ้ลเอิร์ธขึ้นมา เพื่อที่จะรับมือกับภัยร้ายต่างๆ
และสมาชิกหลักก็จะมี กาลาเดรียล เอลรอลด์ แกรนดาร์ฟและซารูมาน จากนั้นก็มีภัยมืดก่อตัวขึ้นที่ป้อม
โดลกุลดูร์ แกรนดาร์ฟอาสาจะไปตรวจสอบดูว่าที่นั่น พ่อมดเนโครมันเซอร์คือใครกันแน่
ภายหลังจากการเข้าไปสืบทำให้รู้ว่าเนโครมันเซอร์คือใคร เลยใชให้พ่อมดน้ำตาล ราดากัสต์ไปแจ้งยังเลดี้กาลาเดรียล





และจากการที่แกรนดาร์ฟบุกเข้าไปทำให้รู้ว่าเนโครมันเซอร์คือเซารอน แม้ว่าจะเป็นเทพไมอาร์เหมือนกัน
แต่พ่อมดนั้นโดนกดพลังไว้ต่างกับเซารอนที่แม้จะยังไม่ฟื้นฟูเต็มที่แต่ก็สามารถจัดการพ่อมดเทาลงได้
พอได้รับข่าวเลดี้กาลาเดรียลก็ได้บุกมายังโดลกุลดูร์เพื่อที่จะมาช่วยแกรนดาร์ฟ




โดยที่ตอนแรกนั้นนางใช้พลังไปในการจัดการออร์คและรักษาแกรนดาร์ฟ ทำให้เหล่านาซกูลโผล่มาและคิดจะลงมือกับนาง แต่ทว่านางไม่ได้มาคนเดียว เพราะทั้งลอร์ดเอลรอลด์และซารูมานก็มาด้วย











จากนั้นเซารอนจึงเผยตัวออกมา นางจึงใช้พลังของนางบวกกับไอเท็มอย่างแสงแห่งเออาเรนดิลและแหวนเนนยา
จัดการทำให้เซารอนต้องล่าถอยกลับไปยังมอร์ดอ และสิ่งนี้เป็นเพียงแค่ไล่ไปได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น

"You have no power here , servant of Morgoth" " You are nameless faceless formless" "Go back to the void from whence you came!!!"
"เจ้าไม่มีอำนาจอันใดที่นี้ เจ้าทาสรับใช้มอร์กอธ ไอ้เจ้าอสุรกายเลวชาติขลาดเขลาไม่กล้าเผยแม้รูปร่างหน้าตากระทั่งชื่อ แกจงกลับไปยังดินแดนแห่งความโมฆะที่ที่เจ้าจากมา!!!"




ในส่วนนี้ผมคิดว่าเซารอนตั้งใจจะหนีไปเองด้วย บวกกับตอนนั้นพลังอำนาจยังไม่พอที่จะจัดการพวกสภาขาวได้ เลยหนีกลับไปยังมอดอร์เพื่อฟื้นพลังก่อน (จุดนี้ในหนังสือของปู่โทลคีนไม่ได้เขียนถึงการต่อสู่ละเอียดแบบในหนัง แต่ทางผู้กำกับจงใจใส่ฉากนี้มาเองซึ่งผมมองมาทำออกมาดีพอสมควรเลย)




ต่อมาเมื่อพันธมิตรแห่งแหวนได้เดินทางผ่านเหมืองมอเรียมาและเข้าเขต ลอธลอริเอน นางและสามีได้ออกมาต้อนรับด้วยตนเอง และนางยังใช้พลังของนางเข้าไปอ่านใจทุกคนในคณะเดินทาง อีกทั้งยังทราบถึงการตายของพ่อมดเทาแกรนดาร์ฟอีกด้วย



จากนั้นนางได้เจอกับโฟรโด้และให้ดูอนาคตข้างหน้าล่มสลายหากไม่สามารถทำลายแหวนได้



พอเห็นแบบนั้นโฟรโด้เลยยื่นแหวนเอกให้แก่กาลาเดรียล ปกตินางถือได้ว่าเป็นเอลฟ์ที่มักใหญ่พอสมควร แต่สุดท้ายนางก็ยับยั้งชั่งใจได้ ไม่รับแหวนเอก ซึ่งถ้านางเลือกรับแหวนตอนนั้นไม่แน่ว่า อาจจะร้ายแรงกว่าเซารอนก็เป็นไปได้





จากนั้นนางก็แนะนำโฟรโด้ไปว่า ถ้าจะทำลายแหวนนั้นต้องเดินทางโดยลำพังเท่านั้น



หลังจากที่แวะพักที่ลอธลอริเอนเสร็จแล้ว คณะพันธมิตรแห่งแหวนได้รับมอบสิ่งของบวกกับคำแนะนำของกาลาเดรียลไปคนละอย่าง เช่น ธนูให้เลโกลัส แหวนบาราเฮียร์(ถ้าจำไม่ผิด)ให้อารากอน แสงแห่งเออาเรนดิลให้ โฟรโด้ ที่สำคัญคือเส้นผมของนาง3เส้นแก่กิมลี่






มันสำคัญเพราะว่ากันว่าผมของนางนั้นซึมซับแสงแห่งทวิพฤกษาไว้ เฟอานอร์นั้นออกปากเพื่อขอเส้นผมของนางอยู่หลายครั้ง แต่ไม่เคยได้เพราะกาลาเดรียลอ่านใจคนได้จึงรู้ว่าภายในใจของเฟอานอร์นั้นดำมืด
และนี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เฟอานอร์สร้างซิลมาริลขึ้นมาเพื่อที่จะได้ครอบครองแสงอันงดงามนี้ไว้





ในช่วงสงครามแหวน ที่พวกออร์คบุกกอนดอร์หรือที่อารากอนไปหน้าประตูดำ ทางฝั่งเอลฟ์ของลอธลอริเอนกับของธรันดูอิน ก็รับมืออยู่ทางนี้เช่นกัน และก็สามารถทำลายโดลกุลดูร์จนไม่เหลือซากเพื่อไม่ให้มีแหล่งซ่องสุมของความมืดใดๆเข้ามาได้อีก
หลังจากที่สามารถทำลายแหวนเอกได้แล้วนั้น กาลาเดรียลก็ได้เดินทางกลับไปยังวาลินอร์ ที่จริงนั้นเอลฟ์โนลดอร์ที่ออกจากวิลินอร์มามิดเดิ้ลเอิร์ธนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้กลับไปแดนเทพ แต่จากการที่กาลาเดรียลไม่โดนแหวนล่อลวงและไม่รับมัน ทำให้เทพให้อภัยนาง จึงถือได้ว่านางเป็นเอลฟ์โนลดอร์ที่กำเนิดในวาลินอร์เพียงคนเดียวที่กลับไปยังวาลินอร์ได้



ในตอนแรกผมลังเลว่าจะให้อยู่ในอันดับ4หรือ5ดี สุดท้ายก็ออกมาเป็นอันดับ5 แต่ยังไงก็แล้วแต่การที่เธอติดอันดับก็ถือว่าไม่น่าเกลียด เพราะอันดับหลังจากนี้วีรกรรมเด่นชัดมากๆในยุคที่1




4.ลูธิเอน



ลูธิเอน นางถือกำเนิดมาจาก เอลเวหรือราชาธิงโกลกับเทพีเมลิอัน
เป็นลูกครึ่งระหว่างเอลฟ์และเทพเพียงคนแรกและคนเดียว เป็นบุตรแห่งอิลูวาทาร์ที่งดงามที่สุด
สำหรับลูธิเอนนั้น นางชอบร้องรำทำเพลงภายในป่่าในโดริอัธ



สำหรับลูธิเอนนั้นตำนานอันยิ่งใหญ่ของเธอเกิดมาจากที่ได้รักใคร่กับมนุษย์คนนึง คือเบเรนบุตรแห่งบาราเฮียร์ ทำให้ทั้งคู่เป็นคู่รักต่างเผ่าพันธุ์คู่แรก ตามที่ผมได้กล่าวไปในลำดับของกษัตริย์ธิงโกลบอกว่าเทพีเมลิอัน ได้ร่ายตาข่ายเวทย์ห้ามผู้ใดเข้ามา แต่จะมีอำนาจที่เหนือกว่าสามารถเข้ามาได้นั่นก็คือ พลังความรักของเบเรนกับลูธิเอน แต่กว่าที่เขาจะมาถึงโดริอัธนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งถูกออร์คบีบแบบจนมุมแถมยังต้องผ่านด่านพวกแมงมุมลูกหลานของนางแมงมุมอุงโกลิอันด์อีกด้วย พอสามารถเข้ามาในโดริอัธได้ เขาได้เห็นลูธิเอนร้องรำทำเพลงที่ลำน้ำเอสกัลดูอินจึงตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบ และทางลูธิเอนก็รักเบเรนเช่นกัน จากนั้นเบเรนก็ได้ตั้งชื่อเล่นให้นางว่า ทินูวิเอล/ทินูเวียล แต่ความรักของทั้งคู่ก็ไม่ได้ราบรื่นเพราะดายรอนคีตกวีแห่งราชสำนักที่หลงรักลูธิเอนไปแจ้งต่อราชาธิงโกลเกี่ยวกับเรื่องนี้




ตรงนี้ผมขอกล่าวถึงที่มาของเบเรนซักนิด เบเรนนั้นเป็นบุตรของ บาราเฮียร์ผู้นำของมนุษย์หนึ่งใน3ตระกูลหลักคือมนุษย์ชาวเบออร์(พวกนี้ต่อมาจะกลายเป็นชาวนูเมนอร์และราชาของกอนดอร์) โดยที่มนุษย์กลุ่มนี้นั้นร่วมมือกับเอลฟ์ในการต่อต้านกับมอร์ก็อธ แถมฟินร็อดยังเคยได้รับการช่วยเหลือจาก บาราเฮียร์อีกด้วย ฟินร็อดเลยมอบแหวนแห่งบาราเฮียร์ให้(แหวนที่อารากอนได้รับ) และให้สัญญาว่าถ้าต้องการให้ช่วยเหลือเขาจะยื่นมือช่วยแน่นอน จากการที่ต่อสู้กับมอร์ก็อธมายาวนาน แต่ทำให้ภายหลังพรรคพวกของเบเรนตกหลุมพรางของเซารอน และโดยสังหารทั้งหมดเหลือแค่เบเรนเพียงคนเดียวเพราะเขาได้ออกไปลาดตระเวนจึงรอดมาได้ ต่อมาเขาได้อาศัยอยู่ที่ ดอร์โธนิออนคอยซุ่มโจมตีพวกออร์คมาโดยตลอดทำให้ค่าหัวของเขาสูงพอๆกับราชาฟิงกอนแห่ง นครกอนโดลินเลย




กลับมาเข้าเรื่องจากการที่ราชาธิงโกลได้ทราบเรื่องเข้าจึงได้โกรธมาก เพราะไม่เคยมีการแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์มาก่อน จึงได้สั่งภารกิจให้เบเรนไปชิง ดวงแก้วซิลมาริลมาจากมอร์ก็อธ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคย เอลฟ์ มนุษย์ คนแคระหรือสรรพสิ่งต่างๆเคยทำได้มาก่อน เพราะมีไฟลาวาที่รุนแรง ออร์คที่คอยเฝ้า รวมไปถึงพวกสัตว์ร้ายต่างๆ และที่สำคัญยังมีทั้งบัลร็อกที่คอยป้องกันอังบันด์อยู่เช่นกัน แต่ด้วยความรักเบเรนจึงต้องจำยอมรับภารกิจนี้ ทางด้านลูธิเอนนั้นพยายามโน้มนามบิดาอย่างราชาธิงโกลแต่ก็ไม่สำเร็จ แถมยังสั่งห้ามไม่ให้ตามเบเรนไปอีก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ได้ตามเบเรนไปอยู่ดี




ทางด้านเบเรนนั้นระหว่างทางเขาก็ได้เดินทางถึง นาร์โกธรอนด์ของกษัตริย์ ฟินร็อด แต่ที่นั่นก็มีบุตรแห่ง เฟอานอร์ คือ เคเลกรอมกับคูรูฟินอาศัยอยู่ด้วย



ด้วยคำสาบานที่ให้ไว้กับเฟอานอร์ว่ามันผู้ใดจะแย่งชิงซิลมาริลพวกเขาจะจัดการอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงได้ขู่เบเรนไปแต่ก็ไม่เป็นผล ทางด้านฟินร็อดนั้นรู้ว่าภารกิจนี้ยากเย็นขนาด แต่ด้วยที่เคยได้บาราเฮียร์ช่วยชีวิตไว้จึงได้ออกเดินทางไปกับเบเรน พร้อมด้วยเอลฟ์อีกจำนวนนึง และได้มอบมงกุฏให้แก่โอโดเร็ธรักษาการณ์ตำแหน่งกษัตริย์แทนพระองค์




จากนั้นฟินร็อดได้ร่ายมนต์ให้เบเรนและพวกปลอมเป็นออร์คแต่พอถึงป้อมปราการของเซารอน เซารอนสงสัยในตัวตนของพวกเขาเลยสั่งสมุนให้ไปจับตัว ตรงนี้จะได้เห็นการดวลกันระหว่าง ฟินร็อดกับเซารอนซึ่งไม่ใช่การดวลแบบทั่วไปเพราะเป็นการต่อสู้ด้วยดนตรี ถ้าเป็นสมัยนี้คงเป็น rap battle ก็ว่าได้ โดยท้ายที่สุดแล้ว เซารอนก็สามารถเอาชนะไปได้ และจับพวกนี้ไปขังและทรมาน ถึงแม้มนต์จะเสื่อมลงแต่ตัวตนของเขาก็ยังไม่ได้ถูกเปิดเผย ด้วยความสงสัยในตัวตนของเอลฟ์ที่สามารถสู้กับตนได้เซารอนจึงจะให้หมาป่ายักษ์เข้ามาจัดการแต่ฟินร็อดสามารถปลดโซ่ลงและจัดการหมาป่าได้โดยมือเปล่าแต่พระองค์ก็สิ้นใจ ณ โทลอินเการ์ฮ็อธ




ทางฝั่งลูธิเอนนั้นนางได้หนีมาจากโดริอัธและได้พบกับเคเลกรอมและคูรูฟินโดยบังเอิญที่มาตรวจตราพร้อมกับสุนัขเทพฮูอัน เคเลกรอมนั้นตกหลุมรักลูธิเอนตั้งแต่แรกเจอ ซึ่งในตอนแรกลูธิเอนก็ดีใจที่ได้เจอกับเอลฟ์ที่มีความแค้นโดยตรงกับมอร์ก็อธ แต่พอเล่าเรื่องราวของเบเรนให้ฟัง บุตรแห่งเฟอานอร์จึงจับนางกลับไปยังนาร์โกธรอนด์ และคิดจะบังคับให้ราชาธิงโกลยกลูกสาวให้แก่เคเลกรอมอีกด้วย แต่ฮูอันที่เป็นสัตว์เทพนั้นแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้จึงได้ช่วยลูธิเอน ถึงขั้นยอมให้นางขี่หลัง(เป็นถึงสัตว์เทพแต่ยอมเสียเกียรติ) จนในที่สุดก็สามารถไล่ตามมาถึงป้อมของเซารอนจนได้





จากนั้นเซารอนรับรู้ถึงการมาของลูธิเอน จึงได้สั่งให้หมาป่าไปจัดการนางแต่ก็ถูกฮูอันจัดการตัวแล้วตัวเล่า จนในที่สุดก็ได้ส่งหมาป่า เดรากูอิลมาสู้การต่อสู้ยืดเยื้อแต่ในที่ที่สุดฮูอันก็ไล่มันกลับไปหาเซารอน จากคำบอกเล่าของเดรากูอินที่ว่า "มันคือฮูอัน"เซารอนรู้ทันทีว่ามันคือสุนัขล่าเนื้อแห่งว่าลินอร์จึงได้จำแลงร่างเป็นหมาป่าเข้าไปสู้ ซึ่งการต่อสู้นี้ดุเดือดเป็นอย่างมากบวกกับลูธิเอนก็ร่วมในการต่อสู้ด้วย เซารอนจึงต้องจำยอมหนีไป ในที่สุดเบเรนและลูธิเอนก็ได้เจอกันอีกครั้ง ทั้งคู่จัดการฝังศพของฟินร็อดและการตายของฟินร็อดทำให้เคเลกรอมและคูรูฟินโดนขับไล่ออกจากนาร์โกธรอนด์และโอโรเดร็ธได้ขึ้นมาเป็นราชาสืบต่อ



ถึงแม้ทั้งคู่จะได้พบเจอกันอีกครั้ง แต่คำสัตย์ที่ให้ไว้ต่อราชาธิงโกลยังสำเร็จทำให้เบเรนต้องไปชิงซิลมาริลมาให้ได้ แต่แล้วก็ดันมาเจอกับบุตรแห่งเฟอานอร์อย่าง เคเลกรอมและคูรูฟินโดยบังเอิญ(อะไรจะเป๊ะขนาดนั้น )



การต่อสู้จึงบังเกิดขึ้น แม้ว่าคูรูฟินจะแข็งแกร่งมากแต่การต่อสู้นี้เบเรนเหมือนจะเหนือกว่า แต่ก็เกือบโดนการโจมตีแต่ได้ฮูอันช่วยเอาไว้ จากนั้นเบเรนได้คว้าคอของคูรูฟินหมายจะปลิดชีพ แต่ลูธิเอนได้ขอชีวิตเอาไว้
เบเรนจึงยอมปล่อยและเดินทางต่อไป โดยที่คูรูฟินได้สาปแช่งพวกเบเรนก่อนไปเช่นกัน และในที่สุดก็ได้มาถึงฐานที่มั่นของจอมอสูรอย่างอังบันด์จนได้ ตอนที่เน็ด สตาร์ก เอ้ยโบโรเมียร์กล่าวว่าการเข้าไปยังมอร์ดอร์ไม่ง่ายเลยจนเป็นมีมสุดฮิต แต่การเข้าไปยังอังบันด์นั้นยากยิ่งกว่า




ก่อนที่จะถึงอังบันด์ ลูธิเอนได้แปลงร่างเป็นค้างคาวส่วนเบเรนให้เป็นหมาป่า แต่เมื่ออยู่ต่อหน้ามอร์ก็อธมนต์ก็เสื่อมคลาย แต่ด้วยความงดงามของลูธิเอนทำให้มอร์ก็อธหลงไหล จึงให้นางนั้นร้องเพลงและเต้นรำ โอกาสนั้นลูธิเอนจึงได้ร่ายมนต์ทำให้มอร์ก็อธและสมุนหลับลง แต่ลูธิเอนก็ใช้พลังไปทั้งหมดเพื่อที่จะสะกดมอร์ก็อธเลยก็ว่าได้ จากนั้นเบเรนได้ไปเอาซิลมาริลมาจากมงกุฏของมอร์ก็อธ แต่แทนที่เขาจะเอาแค่อันเดียว ดันคิดจะเอาเพิ่มอีกจนพลาดท่าทำให้มีดโดนใบมีดใส่เจ้าแห่งความมืด ทำให้เขาและสมุนตื่นขึ้นมา ทางเบเรนและลูธิเอนจึงได้หลบหนี แต่ดันไปเจอกับหมาป่ายักษ์คาคาร็อต(ไม่ใช่โงกุนนะ555)มาขวางไว้ เบเรนที่ในมือมีซิลมาริลอยู่จึงได้กล่าวสาปแช่งและคิดว่าอำนาจของดวงแก้วจะหยุดมันได้ แต่มันดันกัดมือเบเรนไปพร้อมกับซิลมาริล ทำให้เบเรนเหลือแขนเพียงข้างเดียว ส่วนคาคาร็อตนั้นด้วยความวิเศษของซิลมาริลทำให้ร้อนไปทั้งท้องและออกอาละวาดไปทั่ว จากนั้นอินทรีของเทพมานเวก็ได้มาช่วยพวกเขาออกจากอังบันด์





จากนั้นเมื่อกลับไปถึงโดริอัธเบเรนก็ได้ยื่นแขนข้างเดียวของตนให้ราชาธิงโกลดูและบอกว่าเขาสามารถนำซิลมาริลมาอยู่ในมือได้แต่โดนคาคาร็อตกัดแขนไป ด้วยความพยายามและยึดมั่นในรักของเบเรนทำให้ธิงโกลยอมให้ทั้งคู่หมั้นหมายกันกับลูธิเอน แต่ตอนนี้เจ้าหมาป่าคาคาร็อตออกอาละวาดไปทั่ว เบเรนจึงต้องไปจัดการมันก่อน และเมื่อเจอกับเจ้าหมาป่า ตอนนี้มันดุร้ายยิ่งกว่าเก่าทำให้การต่อสู้นี้สุนัขเทพฮูอันต้องเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อจัดการมัน และตัวเบเรนเองก็ต้องจบชีวิตตามไปด้วยหลังจากที่เอาซิลมาริลออกมาได้



เมื่อรับรู้ถึงการเสียชีวิตของเบเรน ด้วยความโศกเศร้าวิญญานของลูธิเอนได้ลอยไปยังท้องพระโรงของเทพมานดรอส นางได้ร้องเพลงที่มีแต่ความเศร้า จนทำให้ให้เทพมานดรอสผู้ไม่แยแสต่ออะไรถึงกับยื่นข้อเสนอให้กับนางว่า ลุธิเอนจะเลือกกลับไปยังดินแดนเทพหรือยอมเป็นมนุษย์และได้ครองคู่กับเบเรนอีกครั้ง และแน่นอนลูธิเอนเลือกอย่างหลังทำให้ทั้งคู่ได้กลับมาครองรักกันอีกครั้งและเป็นเพียงคู่เดียวเท่านั้นที่ได้โอกาสกลับมามีชีวิตอีกครั้งจากเทพมานดรอส





ทั้งคู่เลยแยกตัวออกไปอยู่ด้วยกันตามลำพังแต่ก็ได้ให้กำเนิดบุตรออกมาคือ ดิออร์ผู้ที่อนาคตจะได้เป็นราชาของโดริอัธ และสายเลือดของเขาที่มีทั้ง เทพ เอลฟ์และมนุษย์ทำให้ต่อมาสายเลือดนี้จะส่งต่อไปยังต้นตระกูลของเอลฟ์สายลูกครึ่งและกษัตริย์นูเมนอร์ในอนาคต





เรียกได้ว่าวีรกรรมต่างๆของลูธิเอน(อาจจะรวมของเบเรนด้วย)ที่ผมได้กล่าวไปทำให้ลูธิเอนได้อันดับนี้ถือว่าเหมาะสมแล้ว ทั้งขับไล่เซารอน ร่ายมนต์ใส่มอร์ก็อธ แต่ผมเสียดายอีกหนึ่งตัวละครอย่าง ฟินร็อด เฟลากุนด์ซึ่งเป็นตัวละครที่ผมชอบรองจากฟิงโกลฟินแต่ไม่ติดท็อป10 ทั้งที่จะเอามาแทนอันดับ10กับ9อย่าง เอลรอลด์หรือเคเลบริมบอร์ก็ได้ แต่เพราะอยากใส่ตัวละครที่มีบทบาทในยุคที่2กับ3บ้างก็เท่านั้น





3.ฟิงโกลฟิล



ในที่สุดก็มาถึงอันดับ3จนได้ เป็นตัวละครที่ผมชอบมากที่สุดในจักรวาลของโทลคีน ซึ่งด้วยความที่เป็นตัวละครผมก็แอบหนักใจหน่อยๆดีได้แค่อันดับ3 ด้วยสกิลลูกรักของผมจะให้อันดับ1ก็ได้ และต่อให้ตัดสกิลลูกรักไปด้วยความสามารถพี่แกก็ติดอันดับ1ได้อย่างไม่เคอะเขิน แต่มีเหตุผลที่ให้อันดับนี้อยู่ ซึ่งคนที่กล่าวมานั่นก็คือ จอมกษัตริย์โนลดอร์ ฟิงโกลฟิน ได้รับการขนานนามว่า เป็นคนที่อดทน แข็งแกร่งและกล้าหาญที่สุดในลูกของฟินเว โดยที่เขามีพี่น้องทั้งหมด5คนรวมตัวเอง ซึ่งมีหนึ่งคนที่เป็นพี่น้องต่างมารดา นั่นก็คือ เฟอานอร์ ส่วนที่มีแม่คนเดียวกันคือ ฟินดิส ไอริเมและฟิร์นาฟิน โดยที่ฟิงโกลฟิลนั้นเป็นเอลฟ์ที่เป็นลูกครึ่งระหว่างเอลฟ์โนลดอร์จากฝั่งพ่อ(ฟินเว)และเอลฟ์วันยาร์จากแม่(อินดิส)




ซึ่งปกติทางฟิงโกลฟินกับพี่น้องฝั่งอินดิสก็ไม่ค่อยจะถูกกับเฟอานอร์อยู่แล้ว แต่ก็ไม่เคยได้กระทบกระทั่งกันรุนแรงมาก่อน จนกระทั่งเมลเคอร์เทพวาลาร์ผู้ทรงอำนาจได้รับการปล่อยตัวออกมา สิ่งแรกคือเขาต้องการสร้างความแตกแยกในหมู่เอลฟ์ ทีนี้ละงานเข้าของจริงเพราะเมลเคอร์ไปกล่าวกลับเฟอานอร์แบบนึง แต่ตอนมาบอกเล่าบุตรของฟินเวกับอินดิสคือฟิงโกลฟินและฟิร์นาฟินอีกแบบนึงว่า "พึงระวังเถิด บุตรผู้ยโสของมีริเอลหาได้มีความรักแด่เหล่าบุตรแห่งอินดิสไม่ บัดนี้เขายิ่งใหญ่นัก บวกกับมีพระบิดาอยู่ในพระหัตถ์ มิช้านานพวกท่านจะถูกเขาขับออกแน่"ทางฝั่งของฟิงโกลฟินนั้นมิไม่แยแสคำของเมลเคอร์ แต่ฝั่งเฟอนอร์นั้นได้คิดอีกแบบรวมถึงหวาดระแวงเหล่าบุตรแห่งอินดิสแต่ไม่ใช่แค่เท่านั้นยังรวมไปถึงเหล่าวาลาร์อีกด้วย ด้วยพฤติกรรมเช่นนี้ฟิงโกลฟินได้เข้าพบกับราชาฟินเวเพื่อให้ช่วยระงับการกระทำของเฟอานอร์ด้วย ระหว่างนั้นเหมือนพล็อตหนังเป๊ะๆที่เฟอานอร์ก็เข้ามาได้ยินพอดี และตรัสออกมาเป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ และถึงขั้นเอาดาบจ่อคอฟิงโกลฟินพร้อมกับขับไล่ให้เขาออกไป ฟิงโกลฟินถวายคำนับแด่ฟินเวและไม่ได้ชำเลืองมองเฟอานอร์ด้วยซ้ำ แต่เฟอานอร์ยังไม่ลดละถึงกับพูดว่า"น้องข้าดูนี่ซะดาบนี้คมกว่าลิ้นของเจ้าแน่นอน"แต่ฟิงโกลฟินก็ได้เดินจากไป
(ผมละอยากเห็นการต่อสู้ครั้งนี้จริงๆว่าเอลฟ์ที่ได้รับสมญานามที่ยิ่งใหญ่ทั้งคู่ผลยากคาดเดา)



บัดนี้ความวุ่นวายในหมู่โนลดอร์ได้เริ่มขึ้นตามแผนของเมลคอร์แล้ว เหล่าโนลดอร์ได้เริ่งระหองระแหงกันเอง เทพมานเวจึงได้เรียกคู่กรณีมาพบ การกระทำของเฟอานอร์ทำให้เขาต้องถูกเนรเทศไปยังป้อมฟอเมนอส ถึงแม้ว่าฟิงโกลฟินจะขออภัยโทษให้แก่พี่ชายก็ไม่เป็นผล ทางเทพทุลคัสนั้นเมื่อรู้ว่าเป็นอุบายของเมลเคอร์จึงได้รีบเร่งรัดเพื่อไปหาตัวจอมมารผู้นี้แต่ก็ไม่พบ จากการโดยเนรเทศทำให้บรรดาบุตรแห่งเฟอานอร์และผู้ติดตาดย้ายตามพระองค์ไปรวมถึงราชาฟินเวก็ได้ร่วมไปด้วยเช่นกันตอนนี้ทำให้ในนครทิริออนนครหลวงของเหล่าโนลดอร์ผู้ที่มีศักดิ์สูงสุดก็คือฟิงโกลฟิน




แต่ภายหลังเหล่าวาลาร์จัดงานฉลองที่ยิ่งใหญ่ขึ้นในเหตุการณ์นี้เหล่าเอลฟ์ เทพไมอาร์และเหล่าเทพวาลาร์มากันพร้อมเพียง ในงานเลี้ยงนี้เทพมานเวต้องการให้ฟิงโกลฟินและเฟอานอร์ ทั้งคู่คืนดีกัน และฟิงโกลฟินให้คำสัตย์ว่า "หม่อมฉันขอนิรโทษแด่พระองค์ ขออย่าให้พระองค์จดจำเรื่องสลดเลย แม้เราจะต่างสายเลือดโดยกำเนิด แต่จะขอร่วมโลหิตด้วยใจ ขอให้พระองค์ทรงนำผองชนเรา และหม่อมฉันจะติดตามพระองค์ไปอย่าให้เรามีความบาดหมางกันอีกเลย"ด้วยการที่ฟิงโกลยกให้เฟอานอร์เป็นผู้ที่มีศักดิ์สูงกว่า และยอมติดตามเฟอานอร์ในฐานะผู้นำของตนนั้นจะก่อให้เกิดสิ่งใดตามมาภายหลัง ซึ่งระหว่างนั้นเมลเคอร์และพญาแมงมุมอุงโกลิอันด์ได้ลายต้นทวิพฤกษา รวมไปถึงการขโมยสมบัติและซิลมาริลและสังหารราชาฟินเว จากนั้นข่าวที่ราชาฟินเวเสียชีวิตก็มาถึงเฟอานอร์ก็ได้ระดมพลตามล่าเมลเคอร์ไปยังมิดเดิ้ลเอิร์ธ ฟิงโกลฟินที่ให้คำสัตย์จึงต้องจำยอมเดินทางตามไปด้วย (ข้อมูลตรงนี้ผมขอเล่าผ่านๆเพื่อเอาไปใส่ในอันดับของเฟอานอร์)



แต่การเดินทางไปยังมิดเดิ้ลเอิร์ธนั้นจำเป็นต้องใช้เรือของเอลฟ์เทเลริ แต่ทางเทเลริไม่อยากขัดประสงค์ของเทพจึงไม่ได้ให้ยืมเรือ จากนั้นจึงได้เกิดการประหารญาติครั้งแรกของเอลฟ์



ในเหตุการณ์การนี้เล่าว่าคนของฟิงโกลฟินไม่ได้ลงมือหรอได้มีส่วนในการลงมือด้วยเพราะไม่ทราบสาเหตุของการปะทะ ส่วนทางฟิร์นาฟินนั้นทรงยังจงรักภักดีกับเหล่าวาลาร์โดยที่เขาและพวกประมาณ1ใน10จึงได้เดินทางกลับไปเพื่อขออภัยต่อเหล่าเทพ เพราะทนไม่ได้จากการกระทำของเฟอานอร์ เนื่องจากพระองค์มีความสัมพันธุ์ที่ดีกับราชาโอลเลรวมถึงภรรยาของเขา เออาเวนยังเป็นธิดาของกษัตริย์โอลเลอีกด้วย และต่อมาได้ขึ้นเป็นกษัตริย์โนลดอร์แห่งนครทิริออนในวาลินอร์หลังจากนั้น ส่วนการต่อสู้กับชาวเทเลริฝ่ายโนลดอร์มีชัยเหนือกว่า แต่เมื่อได้เรือมาแล้ว เรือกับจำนวนคนไม่เพียงพอ เฟอานอร์จึงหักหลังคนที่ไม่ใช่พวกตนให้ลอยเคว้งคว้าง ส่วนพวกตนก็ได้ล่องเรือไปพอถึงที่หมายก็เผาเรือทั้งหมดทิ้ง




ซึ่งเอลฟ์ที่เหลือถ้าจะให้บากหน้ากลับไปยังวาลินอร์ก็ไม่กล้าสู้หน้ากับเหล่าเทพ บวกกับฟิงโกลฟินที่โดนหักหลังจากที่ในตอนแรกที่เดินมาด้วยอย่างไม่เต็มใจ แต่ตอนนี้พระองค์ต้องการไปยังมิดเดิ้ลเอิร์ธให้ได้เพื่อที่จะเจอพีjชายต่างมารอีกครั้ง บวกกับ คิดว่าด้วยความบุ่มบ่ามของเฟอานอร์จะทำให้ชาวโนลดอร์มีอันตราย ในเมื่อเป็นเช่นนั้นทางเลือกเดียวที่มีคือต้องเดินทางผ่านทางช่องแคบเฮลคารัคเซที่มีแต่ความหนาวเย็นอันหฤโหด



ทำให้เอลฟ์กลุ่มนี้ล้วนเกิดชังเฟอานอร์และพรรคพวกเป็นอย่างมาก เพราะระหว่างการเดินทางมีเอลฟ์จำนวนมากต้องจบชีวิตลงระหว่างการเดินทาง นั่นรวมไปถึงภรรยาของทัวร์กอนอย่างเอเลนเวที่มีสายเลือดเอลฟ์วันยาร์ก็ได้เสียชีวิตในการเดินทางครั้งนี้เช่นกัน ในการเดินทางครั้งนี้แม้ฟิร์นาฟินจะกลับวาลินอร์แต่ลูกของเขาอย่างฟินร็อดกับกาลาเดรียลก็ได้ร่วมเดินทางกับคณะของฟิงโกลฟินด้วย กล่าวกันว่าการเดินทางครั้งนั้นถือเป็นวีรกรรมที่ยากลำบากและทุกข์ระทมที่สุดของเหล่าโนลดอร์ก็ว่าได้



จากนั้นคณะเดินทางได้เป่าแตรเสียงดังกังวาลเมื่อมาถึงมิดเดิ้ลเอิร์ธพร้อมกับการปรากฏขึ้นของดวงจันทร์อีกด้วย



หลังจากที่พลพรรคของฟิงโกลฟินเดินทางมาถึงมิดเดิ้ลเอิร์ธก็ทราบข่าวการตายของเฟอานอร์ พวกเอลฟ์ก็ได้ต่อสู้กับเหล่าสมุนมอร์ก็อธตลอดมารวมถึงแยกย้ายกันไปสร้างอาณาจักรของตนเอง แต่ตำแหน่งจอมกษัตริย์แห่งโนลดอร์นั้นควรเป็นของใครต่อจากเฟอานอร์ ระหว่างฟิงโกลฟินกับมายดรอสบุตรคนโตของเฟอานอร์ แต่ระหว่างการบพุ่งกันนั้นได้เกิดเหตุการณ์ที่มายดรอสโดนจับตัวไป เพราะสงครามที่เฟอานอร์นำพลพรรคเข้าต่อสู้แม้เฟอานอร์จะตายแต่ชัยชนะเป็นของพวกเอลฟ์ มอร์ก็อธจึงแสร้งส่งทูตมาเพื่อขอยอมแพ้ แต่เป็นแผนลวง ถึงแม้ว่าฟิงโกลฟินจะมีนิสัยที่เยือกเย็นไม่บุ่มบ่ามเหมือนเฟอานอร์ แต่ด้วยความแค้นที่พรรคพวกของตนที่ต้องเดินทางอย่างยากลำบากและมีผู้ล้มตายจำนวนมากทำให้เขาไม่คิดจะช่วยมายดรอสเพราะคิดว่าบุตรแห่งเฟอานอร์ย่อมรู้เห็นต่อการกระทำที่ทิ้งพวกตนเอาไว้ด้วยเช่นกัน



แต่ฟิงกอนบุตรคนโตของฟิงโกลฟินที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับมายดรอสเมื่อทราบว่าสหายโดยจับตัวก็ได้ไปช่วยเหลือเขาไว้ จากนั้นมายดรอสจึงได้มอบตำแหน่งจอมกษัตริย์แห่งโนลดอร์ให้แก่ฟิงโกลฟิน แม้เหล่าบุตรแห่งเฟอานอร์คนอื่นจะไม่เห็นด้วยก็เถอะ และฟิงโกลฟินได้สร้างอาณาจักรของตนขึ้นมาคือ อาณาจักร ฮิธลุมที่เป็นศูนย์กลาง โดยที่มี อาณาจักรเอลฟ์อื่นๆร่วมกันปิดล้อมอังบันด์ไว้



และในบรรดาลูกๆของฟินโกลฟินต่างก็มีอาณาจักรเป็นของตนเองเช่นกัน มาถึงตรงนี้ผมขอย้อนกลับไปที่ บรรดาภรรยาและลูกๆของฟิงโกลฟินซักนิดว่ามีใครบ้าง โดยที่บุตรของตนมีดังนี้

1.ฟิงกอนที่ต่อมาได้เป็นจอมกษัตริย์แห่งโนลดอร์คนต่อไป
2.ทัวร์กอนได้เป็นราชาแห่งนครลับแลอย่างกอนโดลินและเป็นอาณาจักรเอลฟ์แห่งสุดท้ายที่ถูกมอร์ก็อธทำลาย ก่อนที่จะถึงสงครามพระพิโรธ
3.อาเรเดล นางนั้นวัยเยาว์กว่าบรรดาเชษฐามากนัก อีกทั้งยังมีศิริโฉมงดงาม สูงสง่าแข็งแรง ชื่นชอบการขี่ม้าล่าสัตว์กับบรรดาโอรสของเฟอานอร์ แต่นางก็มิได้มีใจต่อผู้ใดเลย(ในตอนนั้น) และยังได้มีสมญาว่า อาร์-เฟย์นิเอล ท่านหญิงขาวแห่งโนลดอร์ นางมีส่วนที่ในอนาคตจะทำให้เกิดการล่มสลายของกอนโดลินเพราะโดนเอลฟ์มืดอย่างเอโอลขืนใจ และได้ให้กำเนิดบุตรอย่างมายกลิน
ส่วนลูกอีกคนของฟิงโกลฟินอย่างนั้นอาร์กอน(คนนี้นั้นไม่ได้มีกล่าวถึงประวัติผมก็ไม่มั่นใจว่าเขามีตนหรือไม่มีกันแน่แต่ขอใสมาก่อนละกัน)





ภายหลังการปิดล้อมอังบันด์อย่างยาวนานเกือบ400ปีนั้นเหล่าเอลฟ์ต่างรื่นเริงที่ได้สร้างอาณาจักรและไปท่องเที่ยวในที่ต่างๆของมิดเดิ้ลเอิร์ธ มอร์ก็อธจึงคิดจะทดสอบกองกำลังของเอลฟ์ดูในการต่อสู้ครั้งนี้มอร์ก็อธได้ส่งกองทัพออร์คมาทั้งทางตะวันตกและตะวันออก แต่ทางฝั่งฟิงโกลฟินและมายดรอสได้ยกทัพมีตีขนาบจนได้รับชัยชนะ การรบครั้งนี้ถือเป็นการต่อสู่ครั้งสามในเบเลริอันด์ การต่อสู้ครั้งนี้ได้ชื่อว่า สมรภูมิแห่งความรุ่งโรจน์



หลังการต่อสู้ครั้ง3ผ่านไปร้อยปีมอร์ก็อธคิดจะจับตัวฟิงโกลฟินแต่ก็โดนฟิงกอนสะกัดไว้เจ้าแห่งความมืดจึงคิดได้ว่าออร์คอย่างเดียวไม่สามรถจัดการเหล่าที่ยลแสงทวิพฤกษาได้ ดังนั้นจึงได้สร้างอสูรกายมากมายและที่เป็นปัญหามากสุดคือมังกร



ทางด้านราชาฟิงโกลฟินที่ตอนนี้พสกนิกรของเขานั้นเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนและฝีมือแถมยังได้มนุษย์มาอยู่ในอาณัติจึงคิดจะบุกอังบันด์อีกครั้งนึง แต่เหล่าเอลฟ์ทั้งหลายไม่ค่อยจะเต็มใจนักเพราะกำลังปราบปลื้มกับความสงบสุข ในเมื่อไม่บุกเขาทางฝั่งมอร์ก็อธก็จัดให้เปิดก่อนด้วยการส่งบัลร็อกมาโจมตี จนทุ่งอัดการ์เลนพินาศ รวมไปถึงการร่วมมือกับมังกรอีกไฟของมังกรกับไฟของบัลร็อกได้เผาทำลายทุกอย่าง ทำให้ฝ่ายเอลฟ์สูญเสียอย่างหนักเรียกได้ว่าวงล้อมแห่งอังบันด์ตอนนี้ได้แตกกระจายลงแล้ว



อังกร็อดกับอายก์นอร์โอรสแห่งฟิร์นาฟินก็สิ้นชีพส่วนฟินร็อดได้บาราเฮียร์ช่วยเหลือไว้ ความเสียหายที่ได้รับนั้นถือว่าหนักหนาเข้าขั้นวิกฤตการต่อสู้ครั้งที่ 4 นี้ถูกเรียกว่า สมรภูมิเพลิงฉับพลัน ดากอร์บาโกลัค ฟิงโกลฟินที่เห็นเหล่าพี่น้องโดนทำลายนั้นจึงได้โกรธแค้นเป็นอย่างมาก จึงได้สวมชุดควบม้าบุกเดี่ยวไปยังอังบังด์ โดยที่ระหว่างทุกการต่อต้านของสมุนของมอร์ก็อธไม่มีใครขวางเขาไว้ได้ ถึงขั้นคิดว่าคนที่มานั้นคือเทพโอโรเมด้วยซ้ำไปพอมาถึงหน้าประตูอังบันด์ ฟิงโกลฟินได้ท้าทายวาลาร์ที่แข็งแกร่งที่สุดให้ออกมาสู้กับตน ตอนแรกมอร์ก็อธก็กล้าๆกลัวๆว่าจะออกมาดีมั้ยแต่ฟิงโกลฟินก็ได้ด่าว่าเขาขี้ขลาดตาขาว จากนั้นเขาก็ได้ออกมาประจัญหน้ากับฟิงโกลฟิน




ท่ามกลางความมืดของอังบันด์แต่ฟิงโกลฟินกับเปล่งแสงเพราะ เสื้อเกราะที่หุ้มด้วยเงิน โล่สีฟ้าจากแก้วผลึกและดาบริงกิล



การต่อสู้ของทั้งคู่นั้นเรียกได้ว่าฟิงโกลฟินสามารถจัดการสร้างแผลให้มอร์ก็อธได้ถึง 7 แผลแต่ถึงอย่างนั้นด้วยความเหนื่อยล้า ในที่สุดพระองค์ก็โดน มอร์ก็อธฟาดด้วยค้อนแห่งพิภพบาดาลอย่าง ค้อนกรอนด์จนโล่และเกราะแตกแต่พระองค์ยังลุกขึ้นมาได้ถึงสามครั้ง ก่อนที่จะโดนเท้าซ้ายของมอร์ก็อธเหยียบจนสิ้นใจ และก่อนที่เจ้าแห่งความมืดจะปู้ยี่ปู้ยำร่างของเขามากไปกว่านี้พญาอินทรีย์ก็ได้มารับร่างเขาไป




ด้วยวีรกรรมเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจของฟิงโกลฟินได้อย่างดี
แถมหลังจากการต่อสู้กับฟิงโกลฟินมอร์ก็อธก็ไม่กล้าออกมาสู้กับใครซึ่งๆหน้าอีกเลย รวมทั้งยังต้องเดินเป๋ไปตลอดอีกด้วย
ตรงจุดนี้ ผมคิดว่าถ้าสลับเอาฟิงโกลฟินไปสู้กับเหล่าบัลร็อกแทนเฟอานอร์ผมเชื่อว่าฟิงโกลฟินจะทำได้ดีกว่า
กลับกันถ้าคนที่ดวลกับมอร์ก็อธเป็นเฟอานอร์ละ ผมว่าเฟอานอร์จะไม่สามารถสร้างแผลให้จอมมารได้ถึง7แผลแน่นอน





2.เฟอานอร์



ผมเขื่อว่าหลายๆคนคงคิดว่าอันดับ1คงหนีไม่พ้นเฟอานอร์แต่ที่ผมให้แกแค่อัน2นั้นมันมีสาเหตุอยู่ แต่ก่อนจะกล่าวถึงตรงนั้นก็ขอเล่าเกี่ยวกับเฟอานอร์ก่อนละกัน เฟอานอร์นั้นเป็นบุตรของราชาฟินเวและมารดาคือมีริเอล โดยที่เฟอานอร์นั้นถูกสร้างให้มีพลังมากที่สุดในทุกส่วนของร่างกายและจิตใจและได้รับอัคคีภายในกายมากที่สุดในบุตรแห่งองค์อิลูวาทาร์
"For Fëanor was made the mightiest in all parts of body and mind: in valour, in endurance, in beauty, in understanding, in skill, in strength and subtlety alike: of all the Children of Ilúvatar, and a bright flame was in him."

ซึ่งด้วยความที่ได้รับพรมากมายจากทวยเทพและเพลิงอัคคีในกายมากทำให้ภายหลังจากที่ มีริเอลคลอดเฟอานอร์ ออกมานั้นนางก็ได้เสียชีวิตลง แต่ต่อมาภายหลังราชาฟินเวได้มีภรรยาใหม่อีกคนนึงนั่นคืออินดิสพร้อมกับ ได้มีพี่น้องต่างมารดาเพิ่มมาอีก4คน ซึ่งเฟอานอร์นั้นไม่ถูกชะตากับทั้งแม่เลี้ยงและน้องต่างมารดาโดยเฉพาะฟิงโกลฟินที่เขาไม่ชอบที่สุด





โดยที่เฟอานอร์นั้นมีภรรยาคือ แนร์ดาเนลบุตรของช่างที่เก่งกาจที่สุดคนนึงในหมู่โนลดอร์ อย่างมัคทันศิษย์สายตรงเทพอาเล(เทพแห่งการสรรค์สร้าง,คนแคระก็เป็นแกที่สร้าง) เฟอานอร์เป็นเลิศในฝีมือการช่างอยู่แล้ว ยิ่งได้ความรู้ของพ่อตามาอีกทำให้ฝีมือเขาเหนือล้ำขึ้นไปอีก เพราะได้ความรู้การประดิษฐ์โลหะและศิลาจากมัคทัน โดยเฟอานอร์นั้นมี โอรสทั้งหมด7คน คือมายดรอส มากลอร์ เคเลกอร์ม คารันเธียร์ คูรูฟินและคู่แฝดอัมร็อดกับอัมรัส




อย่างที่ได้กล่าวไปว่าฝีมือของเฟอานอร์ด้านการช่างนั้นล้ำเลิศเหนือผู้ใดขนาดในวัยเด็กยังสามารถปรับอักษรภาษาเอลฟ์ที่ใช้ โดยผู้คิดค้นมันขึ้นมาคือรูมิลแต่เฟอานอร์ปรับแต่งให้มันดีขึ้นรวมถึงได้เริ่มสร้างอัญมณีต่างๆรวมไปถึงของวิเศษมากมายรวมไปถึง ศิลาส่องล่า ที่เราได้เห็นจากเดอะลอร์ดนั่นแหละครับ สิ่งนี้นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งในผลงานชั้นยอดของเฟอานอร์ได้สร้างขึ้นมาเพราะแม้แต่เซารอนและซารูมานก็ไม่สามารถสร้างได้



แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เขาได้สร้างขึ้นมา ต่อมาเขาเห็นแสงจากต้นทวิพฤกษา และกลัวว่าถ้าเกิดแสงนี้ถูกทำลายไปจะเกิดภัยใหญ่หลวงแน่ จากนั้นเฟอานอร์ได้สร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่าง ซิลมาริล เป็นสิ่งประดิษย์ที่ เทพวาลาร์ เทพไมอาร์ไม่สามารถสร้างได้ ซิลมาริลนั้นได้กักเก็บแสงของต้นทวิพฤกษาไว้ รวมถึงได้รับพรจากเทพีวาดาร์ว่าความชั่วร้ายใดๆไม่สามารถแตะต้องซิลมาริลได้ ถ้าจับเข้าจะเกิดแผดเผาผู้นั้น



โดยที่เวลาเฟอนอร์จะเดินทางไปไหนก็จะนำอัญมณีพวกนี้รวมถึงซิลมาริลไปด้วยเสมอ และอย่างที่กล่าวไปในอันดับของฟิงโกลฟินแม้ เฟอานอร์กับพี่น้องต่างมารดาจะไม่ถูกกันแต่ก็ไม่ได้มีการกระทบกระทั่งอย่างใหญ่หลวง
แต่หลังจากที่เมลคอร์ได้รับการปล่อยตัวออกมานั่นแหละ เขาเก็บความแค้นไว้ในใจแสร้งเป็นคนดีแต่หวังจะทำลายเหล่าเอลฟ์ โดยที่เอลฟ์วันยาร์ไม่ไว้ใจเขาส่วนทางเหล่าเทเลริจอมมารไม่ได้สนใจ แต่ทางโนลดอร์แม้จะไม่ไว้ใจเขาแต่ก็ยอมรับถึงความรู้ความสามารถของวาลาร์ตนนี้



ระหว่างที่เมลคอร์ได้สอนเหล่าโนลดอร์เขาก็ได้เริ่มปลุกปั่นว่าที่เหล่าวาลาร์นำเอลฟ์มาแดนเทพก็เพื่อให้มนุษย์มาแทนที่พวกเขา รวมถึงคอยเป่าหูเฟอานอร์ว่าน้องชายอย่างฟิงโกลฟินและฟิร์นาฟินคิดจะแย่งชิงราชสมบัติของฟินเว แม้ว่าเฟอานอร์จะไม่ได้โง่งม แต่ด้วยที่โดนเป่าหูทุกวันความแค้นที่มีอยู่ก่อนแล้วจึงหนักขึ้น รวมไปถึงการที่ไม่ใส่เครื่องประดับต่างๆรวมถึงซิลมาริลอีกเลย เพราะเขาเริ่มความหวาดระแวง และเฟอานอร์ได้เริ่มกล่าวถ้อยคำที่เป็นกบฎต่อวาลาร์ ว่าพวกตนไม่ใช่ทาสและจะปลดแอกเพื่อเดินทางกลับไปยังมิดเดิ้ลเอิร์ธ การกระทำนี้ทำให้ฟิงโกลเข้าพบกับราชาฟินเวให้ยับยั้งเฟอานอร์ จนเฟอานอร์ได้เอาดาบมาจ่อคอฟิงโกลฟินตามที่ผมได้เล่าไปก่อนหน้านี้ ทำให้เฟอานอร์โดยเนรเทศไปยังป้อมฟอร์เมเนอส



จากนั้นเหล่าวาลาร์ได้จัดงาฉลองแดองค์อิลูวาทาร์ และได้เชิญเฟอานอร์มาที่งานด้วยเพื่อเคลียร์ใจกับฟิงโกลฟิน
เมื่อฟิงโกลฟินยอมนอบน้อมให้เฟอานอร์จำต้องรับ แต่เงามืดก็ได้คืบคลานเข้ามา เมลคอร์ร่วมมือกับพญาแมงมุมอุงโกลิอันด์ ได้ทำลายต้นทวิพฤกษา ทำให้เกิดความมืดมิดในวาลินอร์



จึงมีแต่แสงจากซิลมาริลเท่านั้น เหล่าวาลาร์ก็ไดด้ขอให้เฟอานอร์มอบซิลมาริลให้ ในใจเฟอานอร์ยังลังเลว่าจะให้หรือไม่ ทางเทพทุลคัสก็พยายามจะเร่งรัดเฟอานอร์ และได้บอกไปว่าถ้าพวกท่านคิดใช้อำนาจแย่งชิงดวงแก้ววาลาร์ทังหลายก็ไม่ต่างจากเมลคอร์ จากนั้นข่าวร้ายก็มาถึง ราชาฟินเวถูกสังหารและขโมยอัญมณีและซิลมาริลไปด้วย ดังนั้นเฟอานอร์ได้ตั้งสมญานามเมลคอร์ว่ามอร์ก็อธ จกานั้นก็ก็ได้กล่าวสุนทรพจน์แก่เหล่าโนลดอร์ว่าควรล้างแค้นให้ราชาฟินด้วยการเดินทางไปยังมิดเดิ้ลเอิร์ธเพื่อจัดการมอร์ก็อธ คำกล่าวของเฟอานอร์นั้นทรงพลังอย่างขนาดที่ฟิงกอน ฟินร็อดหรือแม้แต่กาลาเดรียลที่ไม่ถูกกับเฟอานอร์ยังต้องคล้อยตาม





จากนั้นเฟอานอร์และโอรสทั้งเจ็ดได้กล่าวคำสาบานโดยใช้นามขององค์อิลูวาทาร์เทพมานเวเทพีวาร์ดาว่าจะไม่ให้ เทพ เอลฟ์ มนุษย์หรืออะไรก็ตามถ้าคิดจะชิงซิลมาริลพวกเขาก็จะไล่ล่าจนสุดขอบฟ้า



จากนั้นเหล่าโนลดอร์ก็ได้ออกจากนครทิริออนเพื่อที่จะเดินทางไปยังมิดเดิ้ลเอิร์ธ แต่การจะข้ามไปนั้นต้องใช้เรือเพื่อเดินทาง พวกเขาจึงได้ไปขอความร่วมมือของราชาโอลเวราชาเหล่าเทเลริแต่พระองค์ปฏิเสธ ทำให้ฝ่ายโนลดอร์ใช้กำลังเพื่อแย่งเรือมา ด้วยที่วิทยาการด้านการรบรวมไปถึงอาวุธที่ดีกว่าทำให้เหล่าโนลดอร์มีชัยเหนือเอลฟ์เทเลริ แต่ด้วยที่จำนวนคนมากเกินไปเฟอานอร์จึงตัดสินใจทิ้งทุกคนที่เขาคิดว่าไม่ใช่พวกของตนไว้กลางทาง ส่วนเขาพร้อมโอรสทั้งเจ็ดและผู้ติดตามก็ได้ล่องเรือมาพอถึงที่หมายเฟอานอร์ก็ได้สั้งเผาทำลายเรือจนสิ้น
ส่วนการที่เอลฟ์โนลดอร์ได้สังหารเอลฟ์เทเลริ ทำให้พวกเขาได้รับคำสาปหรือคำพยากรณ์จากเทพมานดรอสว่าไม่สามารถเอาชนะมอร์ก็อธได้ และจะทำให้พวกเขาได้หายนะที่ตามมา และถือเป็นการประหัติประหารญาติครั้งที่1อีกด้วย




การกระทำครั้งนี้เหล่าโนลดอร์จะไม่มีใครสามารถกลับมายังวาลินอร์ได้อีก(เว้นกาลาเดรียล)ส่วนพวกฟิงโกลฟินที่โดนหักหลังก็ต้องเดินทางผ่านทางช่องแคบเฮลคารัดเซ ด้านเฟอานอร์นั้นเมื่อมาถึงยังมิดเดิ้ลเอิร์ธก็ได้สั่งให้ตั้งค่าย แต่ในระหว่างนั้นเองที่เหล่าเอลฟ์ไม่ทันได้ตั้งตัวก็ต้องถูกลอบโจมตี แต่ถึงแม้ว่าจะโดนโจมตีและมีจำนวนน้อยกว่าแต่เอลฟ์ที่ได้เห็นแสงของต้นทวิพฤกษานั้นล้ำเลิศแค่ไหน พวกเขาสามรถจัดการกองกำลังของมอร์ก็อธที่เขาสั่งสมมาจนเหลือน้อยนิด การต่อสู้นี่เรียกว่าสมรภูมิใต้แสงดาวเพราะตอนนั้นยังไม่มีดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ จากการที่ได้รับชัยชนะ เฟอานอร์จึงได้คิดจะฝ่าวงโล้มศัตรูเพื่อที่จะไปถึงอังบันด์ในทีเดียว



แต่ก็ต้องโดนต้อนรับจากเหล่าบัลร็อกไมอาร์แห่งไฟ ที่นำโดยก็อธม็อกเจ้าแห่งบัลร็อคมือขวาของมอร์ก็อธ
นำบัลร็อกหลายตนเข้ามารุมเฟอานอร์ แต่แม้จะโดนรุมเฟอานอร์ก็ไม่ได้หวั่นเกรงแต่อย่างใด เขาสามารถยันเหล่าบัลร็อกไว้ได้นานพอสมควร




แต่ในที่สุดเข้าก็โดนก็อธม็อกโจมตีจนเกือบจะล้มลงแต่ได้เหล่าโอรสมาช่วยไว้ได้ทัน



ถึงแม้จะช่วยออกมาได้แต่เฟอานอร์รู้ตัวดีว่าเขาไม่รอดแน่เขาจึงได้สั่งให้โอรสทั้ง7กล่าวคำสาบานว่าจะแย่งซิลมาริลมาให้ได้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร คำสาบานนี้ ทำให้เหล่าบุตรแห่งเฟอานอร์นั้นได้รับหายนะในเวลาต่อมา ส่วนเฟอานอร์นั้น พระองค์ทรงสิ้นชีพด้วยไฟอัคคีในใจของพระองค์จนเผาไหม้ร่างกายและได้สลายไป



ด้วยวีรกรรมรวมไปถึงวีรเวรการจะให้เขาเป็นอันดับหนึ่งยังได้เพราะได้รับการขนานนามว่า ผู้เป็นเลิศที่สุดในบรรดาบุตรแห่งอิลูวาทาร์ แต่ถ้าไม่มีคนที่ผมจัดให้เป็นอันดับ1 สงครามครั้งนี้ก็ไม่มีทางจบ ส่วนประเด็นที่ผมได้ทิ้งไว้ในเรื่องของการต่อสู่ ถ้าเกิด เฟอานอร์ปะทะฟิงโกลฟินโดยการต่อสู้ผลจะออมาแบบไหน



อย่างที่ผมบอกไปว่าผมชอบฟิงโกลฟินมากที่สุดในเรื่อราวของซิลมาริล รวมถึงเคยตั้งกระทู้ใน SSและPantip เกี่ยวกับการต่อสู้ของทั้งคู่ มู้ssนั้นหายไปแล้ว ส่วนของพันธิปตอนนั้นผมยังไม่มีไอดีในพันธิปเลยวานให้เพื่อนชาวssท่านนึงตั้งกระทู้ให้

https://pantip.com/topic/31506449

ฟิงโกลฟินนั้นได้การกล่าวขานว่า เป็นเอลฟ์ที่กล้าหาญและแข็งแกร่งที่สุดในบุตรแห่งฟินเว ผม07'ให้ภาษีฟิงโกลฟินเหนือกว่า เพราะคิดว่าเขาเป็นคนที่สามารถบุกเดี่ยวไปถึงป้อมอังบันด์ไร้ผู้ต่อต้าน ท้าดวลมอร์ก็อธให้ออกมาดวลกับตนแม้ตัวจะตายแต่สามารถสร้างบาดแผลให้เจ้าแห่งความมืดถึง7แผล และจากเหตุการณ์นี้ทำให้มอร์ก็อธต้องเดินขาเป๋ และเกิดความกลัว ทำให้วาลาร์ที่แข็งแกร่งที่สุดไม่กล้าออกมาสู้ด้วยตนเองอีกเลย ส่วนเฟอานอร์นั้นตายโดยการถูกก็อธม็อกราชาบัลร็อกสังหารแม้จะโดนรุมก็เถอะ ทำให้ผมมองว่ายังไงฟิงโกลฟินภาษีดีกว่าเฟอานอร์




แต่ก็มีอีกหลายจุดเช่นกันที่สามารถมองไปในทางเฟอานอร์ได้ เพราะมอร์ก็อธแม้เป็นเทพวาลาร์แต่ตอนนั้นก็มีกายเนื้อทำให้โดนโจมตีได้ อารมณ์เหมือนที่อิซิลดูร์ตัดนิ้วจากแหวนเซารอนได้อะ ซึ่งมอร์ก็อธก็เคยโดยอุงโกลิอันด์เล่นงานอย่างหนักถ้าไม่ได้ฝูงบัลร็อกช่วยไว้จอมมารอาจสิ้นชื่อแล้วก็ได้ ซึ่งเฟอานอร์สามารถยันบัลร็อกพวกนั้นที่ขับไล่นางพญาแมงมุมอุงโกลิอันด์ไว้ได้นานจนลูกๆของเขามาช่วย ส่วนฟิงโกลฟินจริงอยู่ที่พระองค์แข็งแกร่งห้าวหาญ แต่ตอนที่พระองค์ดวลกับมอร์ก็อธนั้นอย่าลืมว่าเวลาผ่านมา400กว่าปี และได้รบพุ่งกับเหล่าสมุนของจอมมารตลอดทำให้ฝีมือย่อมพัฒนาอยู่แล้ว ผิดกับเฟอานอร์ที่ตอนอยู่ในวาลินอร์เวลาส่วนใหญ่ก็เอาแต่ประดิษฐ์สิ่งต่างๆ อาจจะมีการซ้อมการต่อสู้บ้าง แต่นี่พอเดินทางมาถึงมิดเดิ้ลเอิร์ธก็เข้ารับการต่อสู้ทันที และได้แสดงผลงานเป็นที่ประจักรษ์อย่างชัดเจนถึงความแข็งแกร่งและฝีมือการต่อสู้ของพระองค์ บวกกับคำว่า ผู้เป็นเลิศที่สุดในบรรดาบุตแห่งองค์อิลูวาทาร์ แต่สุดท้ายแล้วติ่งฟิงโกลฟินอย่างผมคิดว่าถ้าเกิดการต่อสู้ในตอนนั้นฟิงโกลฟินจะเป็นฝ่ายมีชัยแต่คงไม่ครบ32ไม่ก็อาจตกตายไปทั้งคู่ ซึ่งอันนี้คุยในเรื่องประเด็นของการต่อสู้นะจึงทำให้ฟิงโกลฟินเหนือกว่า แต่ความสามารถด้านอื่นๆเช่นงานช่าง ความคิดสร้างสรรค์ ประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆขึ้นมาจุดนี้เฟอานอร์ล้วนเหนือกว่าทั้งสิ้นจึงทำให้ได้อันดับที่2ไปครอง คหสต.





ในที่สุดก็มาถึงอันดับ1จนได้ สาเหตุที่ผมให้เขาเป็นอันดับ1ก็เพราะ เขาถือเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้สงครามในยุคที่จบลงก็ว่าได้นั่นก็คือ

1.เออาเรนดิล



เออาเรนดิลสำหรับผมนั้นเรียกได้ว่าเป็นตัวละครเทพทรู ลูกรักGM โดยประวัติของเออาเรนดิลนั้น เป็นบุตรของทูออร์ซึ่งสืบเชื้อสายมาจาก1ใน3ต้นตระกูลของมนุษย์คือตระกูลฮาดอร์
ส่วนทางฝั่งแม่นั้นก็คือ อิดริลซึ่งเป็นธิดาของ ทัวร์กอนกษัตริย์แห่งกอนโดลิน ซึ่งมารดาของอิดริลนั้นเป็นเอลฟ์วันยาร์ทำให้ในตัวเขาก็มีสายเลือดวันยาร์รวมอยู่ด้วยเช่นกัน โดยที่เออาเรนดิลถือกำเนิดในกอนโดลินปีที่ 503 หลังการนิวัติของชาวโนลดอร์ แต่เมื่อเขาอายุได้เจ็ดขวบกอนโดลินนั้นโดนตีแตกด้วยฝีมือของมายกลิน แต่ทั้งทูออร์และอิดริลล้วนสงสัยในตัวมายกลินอยู่แล้วจึงได้สร้างทางลับเผื่อไว้ในตอนนี้เกิดการต่อสู้ระหว่างทูออร์กับมายกลินด้วย ผลคือทูออร์จัดการมายกลินตกหน้าผา และพาลูกและภรรยาออกไปจากกอนโดลิน







ในการหนีออกมาพวกเขาได้พาชาวโนลดอร์กลุ่มนึงติดตามมาด้วย ภายหลังก็ได้มาสมทบกับ กองกำลังของ
เอลวิง ซึ่งนางเป็นธิดาของดิออร์ และเป็นหลานของเบเรนลูธิเอน รวมไปถึงซิลมาริลก็อยู่กับนางอีกด้วย
กองกำลังของเอลวิงนั้นหนีจากโดริอัธจากเหตุการการล่มสลายของโดริอัธ เอลฟ์2กลุ่มได้มาบรรจบกันที่แม่น้ำซิริออนทำให้เอลฟ์แห่งกอนโดลินและโดริอัธได้รวมกลุ่มกัน โดยที่มอร์ก็อธไม่ได้สนใจเอลฟ์ที่เหลือรอด
ต่อมาทูออร์ที่เริ่มแก่ชราได้นำภรรยาอย่างอิดริลล่องเรือเพื่อไปยังวาลินอร์แต่พวกเขาก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย ซึ่งก็เป็นช่วงที่เออาเรนดิลโตเป็นหนุ่มพอดีเขาได้สมรสกับเอลวิง และมีบุตรคือ เอลรอสและเอลรอลด์นั่นเอง




จากนั้นเออาเรนดิลนั้นคิดจะไปยังวาลินอร์เพื่อขออภัยโทษและขอความช่วยเหลือจากเหล่าเทพ ถึงแม้ก่อนที่ชาวโนลดอร์จะอพยพออกมาเทพวาลาร์ไม่อนุญาตให้พวกเขากลับมา แต่เออาเรนดิลก็ทนเห็นสิ่งที่พรรคพวกโดนมอร์ก็อธกระทำไม่ได้อีกต่อไป และด้วยความที่มีความสนิทกับเคียร์ดันเอลฟ์นักต่อเรือจึงวานให้เคียร์ดันช่วยสร้างเรือให้ ซึ่งเรือนั้นคือเรือวิงกิล็อท การเดินทางของเขานั้นเขาได้ไปโดยลำพังโดยที่มีผู้ติดตามอีก3คน
ส่วนเอลวิงนั้นรออยู่ที่แม่น้ำซิริออน การเดินทางครั้งนี้นอกจากจะไปพบเหล่าเทพแล้ว เขายังต้องการค้นหาบิดาและมารดาของตนอีกด้วย



ระหว่างเออาเรนดิลไม่อยู่ ทางเหล่าบุตรแห่งเฟอานอร์ทราบว่าเอลวิงยังมีชีวิตพร้อมกับซิลมาริล พวกเขาจึงทำตามคำสาบาน มาเพื่อแย่งชิงดวงแก้วไป ทำให้เกิดการประหารญาติกันเองของเอลฟ์เป็นครั้งที่3 แม้ฝ่ายบุตรเฟอานอร์จะมีชัยแต่อัมร็อดและอัมรัดก็เสียชีวิตเช่นกัน รวมไปถึงการที่ไม่สามารถแย่งชิงซิลมาริลมาได้เพราะเอลวิงโดดลงทะเลไป(สมน้ำหน้า555)



แต่ทางฝั่งเอลวิงไม่ได้ตายแต่อย่างใดเพราะเทพอุลโมได้ช่วยเอลวิงทำให้นางกลายเป็นวิหคที่ประดับซิลมาริลไว้ด้วย เพื่อให้เอลวิงบินไปหาเออาเรนดิล ในที่สุดทั้งคู่ก็ได้เจอกันและเออาเรนดิลดีใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อทราบข่าวจากภรรยาถึงเหตุการณ์สังหารญาติ ทำให้ไม่ว่ายังไงก็ต้องไปถึงวาลินอร์ให้ได้





ในที่สุดพวกเขาก็สามารถทำสิ่งที่ไม่มีใครสามารถทำได้สำเร็จ นั่นคือการข้ามมาถึงวาลินอร์ จุดนี้อาจเป็นเพราะพลังของซิลมาริล แต่ส่วนตัวผมมองว่าต้องรวมความเทพทรูของเออาเรนดิลด้วยส่วนนึง
การมาถึงของเขาทำให้เทพมานเว(หัวหน้าเทพวาลาร์)



ได้ให้เทพเอออนเวมาต้อนรับ ซึ่งเทพเอออนเวผู้นี้แม้จะเป็นแค่เทพไมอาร์แต่ว่า เป็นผู้ทีใช้อาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดในวาลินอร์



จากนั้นพระองค์ก็ได้เข้าเฝ้าเทพวาลาร์ทั้งในฐานะเอลฟ์และมนุษย์ คำขอของเขาเป็นผลเหล่าวาลาร์ได้รับปากว่าจะช่วย และได้ให้เรือส่งให้สหายที่เดินทางมากับเขาให้ล่องเรือกลับไปก่อน ส่วนเรือวิงกิล็อทเหล่าเทพก็ให้พรเพิ่มบัฟต่างๆให้ พร้อมกับการที่ตัวเออาเรนดิลประดับซิลมาริลไว้บนหน้าผาก



การกลับมาของเขาทำให้ทุกผองชนยินดีอย่างมาก จากนั้นเสียงแตรของเทพเอออนเวก็ดังสนั่น มอร์ก็อธที่คิดว่าเหล่าเทพไม่มีทางจะช่วยพวกเอลฟ์อีกดังนั้นจอมมารจึงสั่งเหล่าสมุนมาจัดการ แต่มีหรือที่จะสู้เหล่าเทพจากวาลินอร์ได้ ทั้งออร์คและบัลร็อกล้วนถูกจัดการและก็มีบัลร็อกบางตัวก็ได้หนี(เช่นบัลร็อกในเดอะลอร์ดภาคแรก)เมื่อเข้าตาจนมอร์ก็อธได้ปล่อยไม้เด็ดออกมานั้นคือฝูงมังกร




การมาของมังกรทำให้ฝ่ายมอร์ก็อธได้เปรียบอีกครั้ง ซึ่งตัวปัญหาที่สุดคือมังกรอังคลากอนทีมีขนาดมหึมา
แต่ในที่สุด เออาเรนดิลได้ขี่วิงกิล็อท เรือ(ที่บินได้)ที่พึ่งได้บัพมาเต็มอัตรา รวมถึงความร่วมมือกับพญาอินทรีย์ โธรอนดอร์ ซึ่งเป็นการต่อสู้กลางเวหาอันดุเดือดทั้งวันทั้งคืน ในที่สุดเออาเรนดิลสามารถจัดการ เจ้ามังกรดำ อังคลากอนจนได้ โดยร่างของมันตกลงไปใส่หอคอยธังโกโลดริมทำให้หอคอยถล่มและอังคลากอนก็สิ้นใจเช่นกัน




จากนั้นเหล่าเทพก็สามารถจัดการมอร์ก็อธลงได้(ดีเทลผมจะขอเล่าแยกในกระทู้ต่อไปอีกที)
ด้วยวีรกรรมที่เออาเรนดิล ผมจึงให้เขามาอยู่ในอันดับ1เหนือเฟอานอร์ตามที่กล่าวไป เพราะพี่แกสามารถล่องเรือไปถึงวาลินอร์เข้าเฝ้าเหล่าเทพ ให้มาช่วยสู้ซึ่งถ้าไม่มีเขาสงครามไม่รู้จะจบตอนไหนดีไม่ดีมิดเดิ้ลเอิร์ธอาจถึงคราวล่มสลายไปเลยก็ได้ รวมไปถึงการสังหารอังคลากอนที่เป็นท่าไม้ตายสุดท้ายของจอมมารลงได้ ทำให้เออาเรนดิลถือเป็นผู้ปิดสงครามอย่างแท้จริง (สำหรับอังคลากอนได้รับการบันทึกว่าเป็นมังกรที่ใหญ่ที่สุดทั้งใน วรรณกรรม นิยาย ภาพยนต์ ซีรี่ย์และเกม)



และส่ายเลือดของพวกเขาสามารถเลือกได้วาจะเป็นเอลฟ์หรือมนุษย์จากวีกรรมไปพบเหล่าเทพนั่นแหละ อีกอย่างทายาทสายลูกครึ่งทางฝั่งเบเรนและลูเอนคือ เอลวิง และฝั่ง ทูออร์กับอิดริลคือ เออาร์เรนดิลได้มาบรรจบกันพอดี อีกด้วย




ที่จริงผมอยากใส่ข้อมูลเสริมให้มากว่านี้นะแต่ไว้กระทู้ต่อไปละกัน ส่วนเรื่องความเก่งกาจของเหล่าเอลฟ์ที่ผมได้ยกมานั้นถ้าจะมองให้เห็นภาพก็ดูเลโกลัสก็ได้ว่าเทพแค่ไหนแต่พวกนี้เหนือชั้นยิ่งกว่า



ในพาร์ทนี้
ทีแรกคิดว่าหลังลงพาร์ทแรกไปจะจะลงพาร์ทสองให้เร็วที่สุด แต่สุดท้ายก็เล่นเอานานพอสมควรเลย เพราะต้องแก้หลายๆอย่าง บวกกับต้องมาทำให้อ่านแล้วเข้าใจง่ายกว่าเดิม รวมถึงต้องหาภาพต่างๆ และต้องจัดเรียงรูปภาพให้ตรงกับเนื้อหาอีก จึงทำให้ล่าช้ากว่าที่คิดพอสมควร
อีกทั้งไม่คิดว่ามันจะเยอะขนาดนี้ ถ้ามันยาวไปหรือผิดพลาดก็ขออภัยด้วยครับ




แก้ไขล่าสุดโดย เป็นความลับ เมื่อ Tue Sep 10, 2024 22:35, ทั้งหมด 5 ครั้ง
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ

ออฟไลน์
นักบอลถ้วย ง.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 05 Sep 2013
ตอบ: 4146
ที่อยู่: hatyai
โพสเมื่อ: Wed Sep 11, 2024 13:55
[RE]Top 10 เอลฟ์ในประวัติศาสตร์Middle-earth Part 2
ชอบอ่านมาก
โพสต์บนแอป Soccersuck บน iOS
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 06 Mar 2024
ตอบ: 75
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Sep 11, 2024 13:59
[RE: Top 10 เอลฟ์ในประวัติศาสตร์Middle-earth Part 2]
แม่เจ้า ตั้งแต่เล่น SS ผมไม่เคยเจอโพสที่ยาวขนาดนี้
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักบอลถ้วย ก.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 25 Jan 2011
ตอบ: 6677
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Sep 11, 2024 14:04
[RE: Top 10 เอลฟ์ในประวัติศาสตร์Middle-earth Part 2]
ยาวมาก ขอเก็บใส่ล็อคเกอร์ไว้อ่าน เด่วงานไม่เสร็จ
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออนไลน์
ดาวซัลโวยุโรป
Status: ื❤️Niya❀janrybnk48❀❤️my january & Niya.
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 13143
ที่อยู่: อยู่ในใจ Niya
โพสเมื่อ: Wed Sep 11, 2024 14:06
[RE: Top 10 เอลฟ์ในประวัติศาสตร์Middle-earth Part 2]
สำหรับผมกาลาเดรียลควรได้ที่ 1 เพราะคนนี้ถือว่าสำคัญมากจริง ๆ เป็นเอลฟ์ที่เป็นตัวแทนของยุคสมัยอันรุ่งเรืองของเผ่าพันธ์เอลฟ์ที่อยู่มาจนถึงยุคที่ 3 ที่เป็นยุคของมนุษย์ ในเรื่องป้ากาลาเดรียลเก่าแก่กว่าดวงอาทิตย์เก่าแก่กว่าดวงจันทร์อีกเพราะป้าแกเกิดก่อน
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน

เสาหลักเจ้าหญิง NIYA BNK48
ออนไลน์
นักเตะอบต.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 4023
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Sep 11, 2024 14:07
[RE: Top 10 เอลฟ์ในประวัติศาสตร์Middle-earth Part 2]
กระทู้แบบนี้ เมื่อก่อนโคตรชอบ รามยนะ เลย อยู่ๆเค้าหยุดไปเฉยๆ ผมก็รอจนทุกวันนี้
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออนไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status: หากคุณทนไม่ไหวต่อความอยุติธรรมใดๆ เราเป็นเพื่อนกัน
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 11 Feb 2017
ตอบ: 740
ที่อยู่: ทุ่งหญ้า ป่าเขา ลำเนาไพร
โพสเมื่อ: Wed Sep 11, 2024 14:24
[RE: Top 10 เอลฟ์ในประวัติศาสตร์Middle-earth Part 2]
น่าสนใจครับ แต่ยังไม่ได้อ่านยาวมาก
แผล่บให้ในความตั้งใจเลย
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 276
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Sep 11, 2024 14:36
[RE: Top 10 เอลฟ์ในประวัติศาสตร์Middle-earth Part 2]
กำลังฟังคลิปของพี่ยักษาเลย เอ๊ะ หรือว่านี้คือพี่ยักษา
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักเตะเทศบาล
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 20 Dec 2009
ตอบ: 881
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Sep 11, 2024 14:39
[RE: Top 10 เอลฟ์ในประวัติศาสตร์Middle-earth Part 2]
สำหรับผม เฟอานอรฺ คือ อันดับ 1
ความสามารถ งานประดิษฐ์ เหนือกว่า เทพวาลาร์บางอย่าง
ทั้งๆที่เป็นแค่เอลฟ์
และ ซิลมาริล คือ สิ่งประดิษฐ์ที่เทพวาลาร์ยังสร้างไม่ได้
ในเรื่องไม่มีใครทัดเทียมกับเทพวาลาร์ ทั้งๆที่ไม่ใช่เทพวาลาร์ ได้เท่ากับ เฟอานอร์แล้ว

ส่วนการจบสงคราม ไม่ใช่เพราะ เออาเรนดิล เก่งเหนือใครในหมู่เอลฟ์
แค่ไปขอร้องเทพวาลาร์ให้มาช่วย

ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดนะ ผมอ่านมานานมากละ
มีผิดต้องไหนแย้งได้เลยครับ
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
แข้งดัทช์ลีก
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 31 May 2009
ตอบ: 9069
ที่อยู่: Dedicated To The People Who Made It : อุทิศให้แก่ผู้ที่สร้างมันมา
โพสเมื่อ: Wed Sep 11, 2024 14:56
[RE: Top 10 เอลฟ์ในประวัติศาสตร์Middle-earth Part 2]
อะวาดาเคดาฟรา
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
There has to come a time when enough is enough : เมื่อถึงเวลาพอก็ต้องพอ
ออนไลน์
ดาวซัลโวยุโรป
Status: ื❤️Niya❀janrybnk48❀❤️my january & Niya.
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 13143
ที่อยู่: อยู่ในใจ Niya
โพสเมื่อ: Wed Sep 11, 2024 14:58
[RE: Top 10 เอลฟ์ในประวัติศาสตร์Middle-earth Part 2]
DeMonGunNer พิมพ์ว่า:
สำหรับผม เฟอานอรฺ คือ อันดับ 1
ความสามารถ งานประดิษฐ์ เหนือกว่า เทพวาลาร์บางอย่าง
ทั้งๆที่เป็นแค่เอลฟ์
และ ซิลมาริล คือ สิ่งประดิษฐ์ที่เทพวาลาร์ยังสร้างไม่ได้
ในเรื่องไม่มีใครทัดเทียมกับเทพวาลาร์ ทั้งๆที่ไม่ใช่เทพวาลาร์ ได้เท่ากับ เฟอานอร์แล้ว

ส่วนการจบสงคราม ไม่ใช่เพราะ เออาเรนดิล เก่งเหนือใครในหมู่เอลฟ์
แค่ไปขอร้องเทพวาลาร์ให้มาช่วย

ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดนะ ผมอ่านมานานมากละ
มีผิดต้องไหนแย้งได้เลยครับ
 


เฟอานอร์แกเป็น Great Engineer ของเผ่าพันธ์เอลฟ์ พวกงานสร้างสรรค์ไม่มีใครเทียบได้จริงแต่เรื่องอื่น ๆ ก็ไม่เท่าไหร่หรอก แถมอยู่ได้แปบเดียวก็ไปหามานดอสอย่างไว

เรื่องสงครามกับมอร์กอธจุดเปลียนคือทุลคัสลงมาที่อาร์ดา ถ้าทุลคัสไม่ลงมาก็ตึง ๆ
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน

เสาหลักเจ้าหญิง NIYA BNK48
ออนไลน์
นักเตะอบต.
Status:
: 1 ใบ : 1 ใบ
เข้าร่วม: 03 Aug 2023
ตอบ: 2805
ที่อยู่: ที่เรียนรู้อยู่ที่ยอมรับมัน
โพสเมื่อ: Wed Sep 11, 2024 15:10
[RE: Top 10 เอลฟ์ในประวัติศาสตร์Middle-earth Part 2]
ตอนเด็กโคตรอยากจัดกาลาเดียล ต้องไปเสิชพวกฉาก sex scene
2
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ขอพระเจ้าคุ้มครองท่าน
ออฟไลน์
นักเตะหมู่บ้าน
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 24 Jun 2019
ตอบ: 704
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Sep 11, 2024 15:32
Top 10 เอลฟ์ในประวัติศาสตร์Middle-earth Part 2
ปักไว้ก่อนน
โพสต์บนแอป Soccersuck บน Android
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออนไลน์
ซุปตาร์ยูโร
Status: F0rEver ALonE RaTTaTa
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 12865
ที่อยู่: บ้านสิครับถามได้!!
โพสเมื่อ: Wed Sep 11, 2024 15:36
[RE: Top 10 เอลฟ์ในประวัติศาสตร์Middle-earth Part 2]
อ่านไปอ่านมา รู้สึกที่2 นี่โคคตรชอบ เฟอานอร์ หวดเดี่ยวกับพวกมัลร็อค แบบไม่กลัวเลยทั้งๆที่ โดนรุม+ คนละไซส์ อย่างห้าวเลย อันดับ 1 รู้สึกเส้นทางเติมทรูไปหน่อย ของผม เอลฟ์ที่1 อ่านมาหลายรอบยังไงก็ชอบวีรกรรมเฟอานอร์ มากที่สุดละ เฟี้ยวจัด
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน

ออนไลน์
ซุปตาร์ยูโร
Status: Wildly-Vet
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 15 Mar 2020
ตอบ: 7899
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Sep 11, 2024 16:21
Top 10 เอลฟ์ในประวัติศาสตร์Middle-earth Part 2
ขอบคุณครับ รู้นะตั้งเพื่อไม่ให้คนดูROP เชื่อตามซีรี่ย์
โพสต์บนแอป Soccersuck บน Android
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน


#ForzaMilan #ฉันภูมิใจที่เกิดในรัชกาลที่ ๙
ไปหน้าที่ 1, 2
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel