Man United Series : เกลเซอร์เยือนสนาม BigดีลกับAIG และ David Gill
ใครที่ยังไม่ได้อ่านพาร์ทที่ 1 สามารถอ่านได้ที่ลิงค์นี้เลยครับ
http://www.soccersuck.com/boards/topic/2412499/1/#52238801
ฤดูกาล 2005/2006 ตระกูลเกลเซอร์เทคโอเวอร์สโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอย่างสุดอื้อฉาวได้ลุล่วงไปในที่สุด ทั้งครอบครัวพากันมาเยือนสนาม โอล แทรฟฟอร์ด แบบพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครั้งแรกในเดือน มิถุนายน ปี 2005 แต่การมาเยือนครั้งนี้ไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีแต่อย่างใด เพราะแฟนบอลยูไนเต็ด หลายร้อยชีวิตทำการประท้วงการฮุบสโมสรของพวกเขาอยู่หน้าสนาม การประท้วงครั้งนั้นรุนแรงถึงขั้นที่ โจเอล อาฟราม และ ไบรอั้น เกลเซอร์ ต้องถูกนำตัวออกจากสนามผ่านอุโมงค์นักเตะไปยังรถตู้ส่วนตัวโดยตำรวจที่มาควบคุมสถานการณ์ สุดท้าย เซอร์ บ็อบบี้ ชาลตัน ต้องเป็นตัวแทนของสโมสรมาขอโทษต่อครอบครัวเกลเซอร์ ต่อเหตุการรุนแรงที่พวกเขาต้องเจอ
แฟนๆยูไนเต็ดในเวลานั้น ต่อต้านตระกูลเกลเซอร์มาตั้งแต่ต้น เวลาที่มีข่าวการเข้าซื้อหุ้นพวกเขาแสดงออกชัดเจนตลอดว่าไม่ต้องการสิ่งนี้ แฟนบอลส่วนนึงรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น จนพวกเขาเลือกจะออกไปตั้งสโมสรใหม่ขึ้นด้วยตัวเองในชื่อ FC United of Manchester ซึ่งในเวลานี้ฟาดแข้งอยู่ใน ดิวิชั่น 7 ของฟุตบอลอังกฤษ
Duncan Drasdo (ดันแคน ดราสโด) CEO ของ องค์กรไม่แสวงผลกำไร Manchester United Supporters Trusts หนึ่งในกลุ่มกองเชียร์หลักของยูไนเต็ด ยังออกมาให้สัมภาษอีกด้วยว่า แฟนบอลจำนวนมากเลือกที่จะหยุดซัพพอร์ตยูไนเต็ดและเลิกการมาเชียร์ที่สนาม
"เกลเซอร์ใช้วิธีการแบบอเมริกัน พวกเขาไม่เข้าใจวิถีของพวกเราและไม่พยายามจะเข้าใจฟุตบอลอังกฤษด้วยซ้ำ" - ดันแคน ดราสโด
แม้ภาพลักษณ์ของยูไนเต็ดนั้นจะติดลบ หรือความน่าเชื่อถือจะลดลงจากหนี้สินจำนวนมากที่เกิดขึ้นมาอย่างกระทันหัน แต่ผลงานในสนามในยุค เซอร์ อเล็ก ยังไว้ใจได้เสมอ รวมถึงการที่ทีมยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยนักเตะดาวดังมากมาย ทำให้ชื่อของแมนยูไนเต็ดยังคงขายได้ ตระกูลเกลเซอร์อาจจะไม่เข้าใจด้านฟุตบอล แต่ด้านการหาผู้สนับสนุนและฝีมือทางด้านธุรกิจ คือของขึ้นชื่อของพวกเขา
ในเดือนเมษายน 2006 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปิดดีลสปอนเซอร์หน้าอกกับ AIG บริษัทประกันสัญชาติอเมริกันได้สำเร็จ โดยพวกเขาจะได้รับเงินสนับสนุนมากถึง 56 ล้านปอนด์ ตลอดระยะเวลา 4 ปี ของสัญญา ซึ่งในเวลานั้น ดีลครั้งนี้ทำสถิติขึ้นเป็นดีลสปอนเซอร์หน้าอกมูลค่าสูงที่สุดแซงหน้า ดีลของ เชลซี กับ Samsung ที่มีมูลค่า 50 ล้านปอนด์ ระยะสัญญา 5 ปี
ดีลกับ AIG ในครั้งนี้เกิดขึ้นได้โดยการใช้คอนเนคชั่นของตระกูลเกลเซอร์ล้วนๆ เพราะ AIG เป็นหนึ่งในบริษัทสำคัญที่ให้ความช่วยเหลือพวกเขาในการเทคโอเวอร์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาตั้งแต่ต้น นอกจากนั้น AIG ยังช่วยเหลือในการต่อรองเพิ่มค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด และช่วยเหลือในการขยายสนาม โอล แทรฟฟอร์ด ในเวลานั้นอีกด้วย
ตระกูลเกลเซอร์ มีเป้าหมายในการทำให้สโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีการบริหารในเชิงธุรกิจแบบมืออาชีพและจะพลักดันด้านธุรกิจอย่างเต็มที่ แต่หลังจากปิดดีลยักษ์ใหญ่กับ AIG ได้ไม่นาน ในเดือนเดียวกันนั้น โนเอล เกลเซอร์ ป่วยด้วยโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตันถึง 2 ครั้ง จึงได้ใส่ชื่อคนในตระกูลเกลเซอร์อีก 6 คน ได้แก่ อาฟราม, โจเจล, ไบรอั้น, เควิน, ดาร์ซี่ และ เอ็ดเวิร์ด เข้ามาเป็นบอร์ดบริหารอย่างเป็นทางการในช่วงการรักษาตัวของเขา
การเข้ามาของตระกูลเกลเซอร์ ปรับเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างของยูไนเต็ด จากสโมสรที่เน้นด้านฟุตบอล กลายเป็นสโมสรที่มีภาพลักษณ์ทางธุรกิจที่ชัดเจนมากขึ้น แน่นอนว่าสิ่งนี้ทำให้เกิดความหวาดระแวงว่าสักวันนึงผลงานในสนามของยูไนเต็ด จะตกต่ำลง เพราะทีมบริหารที่เข้ามาใหม่นั้น ไม่ใช่ทีมที่ชำนาญด้านฟุตบอล แต่ล้วนเป็นนักธุรกิจทั้งสิ้น เซอร์ อเล็ก ยังคงได้รับอำนาจเด็ดขาดในด้านฟุตบอลเหมือนที่เคยเป็นมา แต่บุคคลสำคัญที่สุดที่ทำให้การทำงานของทั้งป๋าและทีมบริหารเป็นไปได้อย่างราบรื่น คือ CEO ของสโมสรในเวลานั้น อย่าง เดวิด กิล
เดวิด กิล รับผิดชอบการประสานงานทั้งหมดระหว่างทีมกับฝ่ายบริหาร ไม่ว่าจะเป็นการของบเสริมทัพ โปรแกรมการเก็บตัว หรือการตัดสินใจขายนักเตะ การตัดสินใจด้านฟุตบอลอยู่ที่ เซอร์ อเล็ก แต่คนที่คุยกับฝ่ายบริหาร คือ กิล ซึ่งเขาทำหน้าที่นี้ได้อย่างไร้ที่ติ ทำให้ช่วงหลังจากการเทคโอเวอร์ บาดแผลต่างๆที่หมกไว้ใต้พรหม ยังไม่เผยออกมา ในปี 2010 เซอร์ อเล็ก เคยออกมาชื่นชมฝ่ายบริหาร ที่ไม่เคยขัดความต้องการของตัวเขาเอง และรู้สึกว่าสิ่งที่เศรษฐีชาวอเมริกันถูกโจมตีนั้นดูจะเกินความเป็นจริงไปหน่อย
แต่สาเหตุที่ทุกอย่างยังคงราบรื่นได้ ส่วนมากเป็นเพราะฝีมือของ เดวิด กิล ซึ่งจะแตกต่างออกไปอย่างชัดเจน เมื่อตัวของกิล ลงจากตำแหน่ง และถูกแทนที่ด้วยชายที่ชื่อ เอ็ด วูดวาร์ด
--------------------จบพาร์ทที่ 2-----------------------