วิลล่า โหดกดเรือยับ // ผีวิ่งลืมตาย,TAA โชว์ดากคว้าชัย
ก่อนอื่นต้องขออภัยที่หายหน้าหายตาไปเมื่อวานเนื่องจากต้องไปงานศพญาติผู้ใหญ่เลยอดปั่นงานเกมสุดดราม่าของ อาร์เซนอล เหนือ ลูตัน ทาว์น 4-3
จริงๆเกมนี้ผมนั่งดูอยู่และสวมวิญญาณเชียร์ ลูตันพูล ตลอดทั้งเกม
กำลังฝันหวานลุ้น “หงส์” เป็นจ่าฝูงในอีกวันหลังเวลากำลังจะหมดแล้วแต่ Rice Rice Baby ยิงประตูบ้านแตก 90+7 ซะงั้น
ทันทีที่เก็บ 3 แต้มผมเห็นกระแสหลายคนยินดีกับแชมป์พรีเมียร์ลีกที่ปีนี้ มิเกล อาร์เตต้า ไม่น่าพลาดแล้ว
แต่เดี๋ยวก๊อนนนน...ยังไม่ผ่าน Boxing day เลย ไหน Fa cup จะมาต้นปีหน้าต่อด้วย UCL รอบน็อกเอาท์กลางๆกุมภาพันธ์ ยังมีอีกหลายด่าน
ขนาดซีซั่นก่อนผมออกตัวแถวๆกุมภาพันธ์-มีนาคมยังผ้าป่าคว่ำระเนระนาด
อย่างไรก็ตามยอมรับเลยว่า “ปืนใหญ่” ที่ออกตัวต้นซีซั่นไม่แรงเท่าปีก่อนแต่ตอนนี้เริ่มสัมผัสได้ถึงความกระหายเก่าๆ
และต้องไม่ลืมด้วยว่าประสบการณ์การเคยเป็น “ผู้นำ” และทนแรงเสียดทานต้องรับมืออย่างไร นี่คือสิ่งที่ อาร์เซนอล พร้อมแก้ตัวและพิสูจน์เส้นทางที่ใกล้จะครึ่งทางแล้ว
ที่แน่ๆคืออริตัวฉกาจอย่าง แมนฯซิตี้ ตอนนี้เลือดกลบปากสาหัสสุดๆหลังบุกไปแพ้ แอสตัน วิลล่า 1-0
สาหัสยังไง ต้องบอกว่านี่คือเกมที่ เป๊ป กวาดิโอล่า “เสียรูปมวย” ถ้าไม่ที่สุดก็ติด top 3 แน่นอน
“เรือใบ” สู้ วิลล่า ของ อูไน เอเมรี่ ไม่ได้เลย ยังไม่ต้องพูดถึงรายละเอียดแค่ดูสถิติตัวเลขคุณต้องขยี้ตา 2-3 รอบ
“แชมป์เก่า” มีโอกาสยิงแค่ 2 ครั้งในเกมนี้เท่านั้นเอง!!
ฟังไม่ผิดครับ 2 ครั้งและเกิดขึ้นในครึ่งแรกทั้งหมด นั่นหมายความว่าครึ่งหลังขนาดพักให้น้ำให้ท่าลงมาสู้กันใหม่รับบรีฟเต็ม 2 รูหูแต่เด็กๆของ เป๊ป โอกาสยิง 0!!
ตรงกันข้ามกับ วิลล่า ที่เล่นด้วยความมั่นใจ โดนเพรสหนักแค่ไหนเอาตัวรอดได้แบบไม่มีตื่นตระหนก
ผมโคตรชอบ จอห์น แม็คกินน์ ที่โชว์ความนิ่งไม่มีตกใจบังบอลพลิกหนี เสียบอลยากจริงๆ
ความโหดของ “สิงห์ผงาด” คือเกมรุกที่ดุดันไม่ให้เกียรติโคตรทีมของโลกด้วยการส่องมากถึง 22 ครั้ง
ขนาด เป๊ป เห็นกลางสู้ไม่ได้แก้เกมเปลี่ยน 2 ตัวทั้ง โควาซิซ และ นูเนส แต่ต้านทรงบอลที่ห้าวสุดๆของเจ้าถิ่นไม่ไหวจริงๆ
ประตูลองเสี่ยงยิงด้วย weak foot ของ เบลีย์ ที่ไปแฉลบ รูเบน ดิอาซ เป็นประตูชัยที่คู่ควรของ แอสตัน วิลล่า และหาก ดักกลาส ลุยซ์ ไม่ปั่นโค้งๆไปชนเสา สกอร์ 2-0 สวยกว่านี้ไปแล้ว
ชัยชนะเกมนี้มีผลไปกลับ impact สุดๆครับคือ วิลล่า ทะยานขึ้นมาอยู่ที่ 3 ถีบ “เรือใบ” ที่ไร้ชัยมา 4 เกมติดหล่นไปอยู่ที่ 4 แทน
ภารกิจป้องกันแชมป์ของ เป๊ป ถูกท้าทายอย่างหนักหลังตอนนี้ถูก อาร์เซนอล ทิ้งไปแล้วถึง 6 แต้ม
ทีมของ อูไน ถือว่า “ร้อนแรง” ดั่งไฟเออร์ได้ถูกที่ถูกเวลาสุดๆครับเนื่องจากจะเปิดบ้านอีกรอบเจอ อาร์เซนอล คู่สุดท้าย 00.30 ของวันเสาร์
และสถิติใน วิลล่า ปาร์ค ตอนนี้บอกได้คำเดียวว่า “โหดสัส” เพราะหลังโค่น “ซิตี้” พวกเขากวาดชัยชนะ 14 เกมรวดในบ้านเข้าให้แล้ว!!
พิสูจน์กันอีกรอบว่าทรงบอลของ “ปืน” กับ “เรือ” ที่เปรียบเสมือนสาขาแฟรนไชส์จะลงเอยอีท่าไหน
วันนี้เป็นอีกวันที่ทีมใหญ่เตะพร้อมกัน แยกร่างแยกจอดูจนเวียนหัวไปหมดแต่ไม่พูดถึงไม่ได้คือชัยชนะของ แมนฯยูฯ ที่เกือบน้ำตาตกใน
ต้องบอกว่า “ปีศาจแดง” ตอบโต้พวกสื่อที่พยายาม “ปั่น” ทำลายความสามัคคีด้วยการวิ่งสู้ฟัดอย่างหนักจนว่ากันว่าครึ่งแรกคือการเล่นที่ดุดันที่สุดในซีซั่นนี้ของเด็กๆ เอริค เทน ฮาก ก็ว่าได้
การวิ่งเพรสโชว์ความขยันมาจากการโรเตชั่นนักเตะของ ETH ที่ตัดสินใจดร็อป มาร์คัส แรชฟอร์ด และ อองโธนี่ มาร์กซิยาล นั่งสำรอง
ความกระหายและ “หิว” ชัยชนะของเจ้าถิ่นทำให้แนวรับของ เชลซี ป่วนหนักโดยผมเห็นผู้บรรยายพูดว่าในครึ่งแรก ยูไนเต็ด มีโอกาสมากถึง 18 ครั้งโดย 12 ครั้งคือในเขตโทษ!!
รวมทั้งเกมโอกาส 28 หน ขุ่นพระ!!
นึกภาพไม่ออกจริงๆครับเล่นแบบนี้แล้วไม่ชนะ เพราะมันก็เกือบไม่ชนะจริงๆหลังโดนตีเสมอ 1-1 ง่ายเกินไป
จังหวะไม่มีอะไรแถมโดน 3 รุม 1 เจอ โคล พัลเมอร์ ยิงลูกหลุนๆเข้าไปซะงั้น
จุดโทษก็ยิงไม่เข้า กว่าจะได้ลูกนำ 1-0 ก็บุกแล้วบุกอีกแต่โดนคนอื่นยิงก็เอาซะดื้อๆแบบนี้เลย
ภาพเอามือปิดหน้ากุมหัวของนักเตะ ยูไนเต็ด บ่งบอกว่าผิดหวังเอือมระอาแค่ไหนที่เจออะไรเดิมๆแบบนี้
มันเป็นพรมลิขิตจริงๆครับที่ สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ ยังแบกการยิงประตูให้ “ปีศาจแดง” ต่อไปอีกเกมโดยคราวนี้แกเหมาๆคนเดียวทั้ง 2 ลูก
ถ้าพูดถึงเซนส์บอลและทางบอลในการตัดเกมและจ่ายบอลพูดได้ว่าแฟนผีเอือมระอามานานแล้ว
แต่ถ้าดันให้รุกเต็มตัว ไม่ต้องใช้ศาสตร์หรือศิลปะของฟุตบอลมาก “แม็คโทฯ” คือตัวยิงประตูที่ดีที่สุดใน โอลด์แทรฟฟอร์ด ณ ตอนนี้ จริงๆ
ด้าน “สิงห์บลู” เกมนี้น่าหงุดหงิดสุดๆ ครึ่งแรกแม้โดนกดจนแทบโงหัวไม่ขึ้นแต่ช่วงต้นสังเกตได้ว่ามีโอกาสสวนสวยๆหลายหนแต่ลูกถวายพาลให้ แจ็คสัน ของ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง โคตรเลอะเทอะ
จังหวะเสียประตูให้ ยูไนเต็ด พรี่แจ็คสันก็สวนกลับจ่ายพลาดโดนทีเดียวเป็นเรื่องเลย
ช่วงก่อนหน้านั้น “ปีศาจแดง” เขาบุกแหลกแต่ประตูยังไม่มีซึ่งต้องบอกว่า “สิงห์” ชอบเกมอะไรแบบนี้อยู่แล้วแต่วิชั่นการเล่นของนักเตะบางคนยังไม่สอดรับ
มูดริค ตัวออกบอลตัวพาบอลจังหวะสวนกลับจ่ายบอลไม่ละเอียด แทงหน้าเขตโทษแบบขอไปที
นี่คือฤดูกาลที่งงๆมึนๆของ ยูไนเต็ด จริงๆครับ เหมือนจะเล่นไล่โค้ช, บอลไร้ทรง, บอลไร้อนาคตแต่แม่งตาม “เรือใบ” แค่ 3 แต้มเองครับ ฮาาาา
ถ้าเอามาตรฐานนี้มาวัดคือ “ปีศาจแดง” หล่อสุดๆ แบบนี้แดงเดือดยังมี ETH คุมแน่นอน หายห่วงสบายใจได้คนับ
ตบท้ายพระเอกของเรา “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่ชัยชนะเหนือ “บ๊วย” เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 2-0 ดันถูก “มีม” ร่องตูดของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ขโมยซีนเรียกเสียงฮากันไป
แต่เกือบจะฮาไม่ออกนะครับ ไม่ค่อยชอบเลยสกอร์ 1-0 แล้วค้างไม่ขยับซักที
ถ้ามองในมุมบอลเปลี่ยนโค้ชการบุกมาชนะทีม “บ๊วย” ที่ ลิเวอร์พูล มักเสียท่าเสมอเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีไปพร้อมๆกับยกระดับการเล่นนอกบ้านที่ก่อนบุกมาเยือน บลามอลล์ เลน เพิ่งชนะแค่ 2 จาก 7 เกม
จริงๆแล้วบอลเปลี่ยนโค้ชไม่มีอะไรเลยครับ, “ดาบคู่” แทบไม่มีทีเด็ดอะไรเลย เล่นดีๆปิดเกมยิงเยอะกว่านี้ด้วยซ้ำ
โชคดีเหลือหลายที่ “หงส์” ไม่พาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์โดนยิงก่อน (อีกแล้ว) หลัง โจ โกเมซ ที่วันนี้ได้เล่นแบ็คซ้ายไม่รู้คิดอะไร ตัวเองเป็นตัวสุดท้ายคู่กับ TAA ในจังหวะเตะมุม
ท่องใส่หัวไว้ครับเป็นกองหลังตัวสุดท้ายต่อให้โชว์ล็อกหลบคู่ต่อสู้ 100 หนก็ไม่มีประโยชน์ พลาดหนเดียวคนจำไปจนตาย
ครับ จะบอกว่าวันนี้เกมของ ลิเวอร์พูล เนือยๆก็ไม่ผิดเท่าไหร่แต่ “ดาบคู่” เองก็เอื้อด้วยส่วนนึงคือสกอร์ตามหลังแต่ไม่ยอมวิ่งไล่ทำให้ลูกทีม JK เคาะบอลคืนหลังไปมา ใครจะไปบุกผลีผลามทั้งๆที่ในแดน เชฟฯยูฯ แน่นไปหมดขนาดนั้น
ประตู 1-0 ของ VvD ใครแอบเสียวจังหวะเช็ก VAR กันมั่งครับ โดยส่วนตัวผมค่อนข้างมั่นใจว่าไม่มีอะไรนะ
1. ทีมงานผู้ตัดสินไม่อยากซ้ำรอยถูกคนทั่วโลกรุมยำตีนจากเหตุการณ์ที่แพ้ สเปอร์ส
2. ก็มันไม่มีอะไรอ่ะ
ผู้เล่น “ดาบคู่” รุมฟ้องกรรมการแต่ขอโทษ VvD แค่บิดก้นใส่จนเสียหลักแต่มาร้องเอาฟาว์ลแต่ทั้งเกมเข้าบอลหนักติดดาบ ทำไมมาเล่นบทนางเอกซะแล้วล่ะครับ
ความเสียหายจากเกมนี้ไม่พ้นอาการบาดเจ็บของ แม็ค อัลลิสเตอร์ ที่สะบักสะบอมลงไปนอนตั้งแต่ต้นเกม
เอาจริงๆผมปิดหน้าเลยนะจังหวะนี้ นึกว่า “หัก!!”
เพราะอะไรรู้ไหมครับเพราะนักเตะ เชฟฯยูฯ ดันทำหน้าเบือนหนีเหมือนเห็นอะไรสยอง เพื่อนๆ “หงส์” มารุมดูด้วยความเป็นห่วง
แต่ลุกขึ้นมาเล่นได้ก็ใจชื้นแต่ผมว่าแกฝืนเล่นโดยที่ยังเจ็บ พอมาโดนซ้ำครึ่งหลังเล่นต่อไม่ไหว
เท่าที่อ่านสัมภาษณ์ของ JK สรุปคู่แข่งไปย่ำใส่เข่าจนเป็นแผล (จากรีเพลย์ไม่ได้ตั้งใจ) แต่อาการไม่ค่อยดีเพราะตอนนี้ AMA ขยับเข่าไม่ได้ บอสบอกต้องตามดูต่อว่าจะพักนานแค่ไหน
คือโคตรซวยอ่ะขอบอก อุตสาห์ได้เล่นตำแหน่งกลางตัวบนโดยมี เอ็นโด ปัดกวาดหลังบ้านให้ดันเจ็บซะงั้น
ชนะในเกมที่เล่นไม่ค่อยดีหลายคนอย่าง โม ซาลาห์ ดูซึมๆจนถูกเปลี่ยนออก จ่ายบอลเสียเยอะ เงียบด้วย เช่นเดียวกับ หลุยส์ ดิอาซ ที่มิติเดิมๆ
ส่วน เคอร์ติส โจนส์ สำรองลงมาก็นั่นแหละฮะ เจ้าพ่อดีเลย์ตามเดิม
สำหรับ เอนโดะ ค่อยๆสถาปนาตัวเองเป็น 11 ตัวจริงเรื่อยๆวันนี้เล่นดีมาก ช่วยชีวิตทีมไว้ได้หลายหน
เช่นเดียวกับการ “ฟื้นคืนชีพ” ของ VVd ที่วันนี้แอบมีช็อตนึงคล้ายทีเด็ดในตำนานในเกมพบ สเปอร์ส ช่วงพีคๆที่เขาหลุดมา 2 รุม 1 (ซิสโซโก้ กับ ซน)แต่ “พี่ยักษ์” เปิดช่องเชิญให้ ซิสโซโก้ ลากไปยิงเท้าข้างไม่ถนัด
ต่างกันตรงที่กับ เชฟฯยูฯ ไม่ใช่ 2 รุม 1 แต่ Vvd แสดงให้เห็นว่าแกกลับมามั่นใจเต็มเปี่ยมอย่างเป็นทางการหลังโชว์ความเยือกเย็นเปิดทางให้เขาเหมือน ซิสโซโก้ นี่แหละ ตอนแรกผมร้องเฮียเลยนะ แกทิ้งระยะยืนห่างเกินไปแต่เอาเข้าจริงวิ่งมาบล็อกทันเฉย
ช่วงนี้ต้องบอกว่า ฟาน ไดคจ์ ถูกกลับมาพูดถึงเยอะมากเพราะฟอร์มแกกลับมาเทพเหมือนก่อน ACL ขาด
แกเป็นกองหลังคนแรกเลยมั๊งครับที่เป็นเจ้าของ topic “ไม่มีใครเลี้ยงผ่านได้” กระทั่งคัมแบ็คกลับมาเล่นไม่เหมือนเดิมจนล่าสุดตอนนี้ต้องมาดูกันว่าใครจะเป็นคนแรกที่กระชากผ่านแกภาค 2
ครับแม้อยากให้ประตู 2-0 มาเร็วกว่านี้จะได้ลุกไปเวฟอะไรกินสบายๆแต่มาช้ายังดีกว่าไม่มาและขอบคุณที่คนยิงเป็น โซบอสไลซ์ เพราะเปลี่ยนเป็น นูนเญซ คาดว่าลูกนี้เอาลงกระฉอกหรือไม่ก็ยิงติดเซฟ
ล้อเล่นนะครับ คือต้องชม “หนูน” มากๆที่ขยันวิ่งไปสไลด์หนีบบอลที่ เชฟฯยูฯ กำลังจะได้สวน สำคัญสุดๆเพราะไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นบ้างถ้าเจ้าถิ่นบุกชุดนั้น
สำหรับ “โซโบ” เทคนิคการเอาบอลลงเนียนมาก สามารถเอียงยิงด้วยขวาได้ทันที การเอาบอลลงไม่จำเป็นต้องนิ่งติดเท้าเสมอไป
พักผ่อน recovery กันอีก 2 วัน ลิเวอร์พูล ต้องเตะคู่แรกวันเสาร์เจอ คริสตัล พาเลซ ซึ่งสำคัญอีกเกมถ้าชนะนำจ่าฝูงทันทีและลุ้นให้บิ๊กแมทช์ที่ วิลล่า ปาร์ค จบลงด้วยผลเสมอเป็นอย่างน้อย
เอ็นจอยกับชัยชนะของทุกๆทีมด้วยครับ พบกันใหม่สุดสัปดาห์
สถิติ สถิติ สถิติ
แอสตัน วิลล่า ชนะ 10 จาก 15 เกมในพรีเมียร์ลีกทำให้พวกเขาคว้าชัยมากที่สุดนับตั้งแต่ฤดูกาล 1980-81 ซึ่งเป็นหนสุดท้ายที่พวกเขาได้แชมป์ลีกด้วย
ลูกทีมของ อูไน เอเมรี่ ชนะรวด 14 เกมในบ้านในพรีเมียร์ลีกทำให้เทียบเท่าสถิติสโมสรที่เคยทำไว้ด้วยจำนวนเดียวกันเมื่อปี 1930-31
วิลล่า แย่งบอลจาก ซิตี้ในพื้นที่สุดท้าย (final third)ได้ถึง 13 ครั้งซึ่งถือว่าเป็นทีมที่ทำให้ “เรือใบ” เสียบอลจากตำแหน่งอันตรายตรงนี้ได้มากที่สุดในพรีเมียร์ลีกภายใต้การทำทีมของ เป๊ป เลยทีเดียว
นอกจากนี้แล้วด้วยตัวเลข 13 เหมือนกันแต่เป็นโอกาสยิงถึง 13 หนในครึ่งแรกที่ทำให้ วิลล่า กลายเป็นทีมที่รัวใส่ทีมที่ เป๊ป คุมมากที่สุดในครึ่งแรก
แมนฯซิตี้ มีโอกาสยิงแค่ 2 หนในเกมนี้ เป็นตัวเลขที่น้อยที่สุดภายใต้การทำทีมของ เป๊ป ในขณะที่โอกาส 22 หนของ แอสตัน วิลล่า ทาบสถิติคู่แข่งยิงใส่ทีมของ เป๊ป มากที่สุดเช่นกัน
3 แต้มที่ โอลด์แทรฟฟอร์ด แมนฯยูฯ มีค่า xG สูงถึง 4.07 เป็นอันดับ 2 ของพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ส่วนที่ 1 ไม่พ้น เชลซี พบ สเปอร์ส เมื่อเดือนที่แล้ว (4.12)
โรเบิร์ต ซานเชส เป็นประตูคนแรกของ เชลซี ที่เซฟจุดโทษได้ในพรีเมียร์ลีกนับตั้งแต่พฤษภาคม 2021 (เมนดี้ พบ แมนฯซิตี้) โดยก่อนหน้านี้ 10 จุดโทษที่เสียไปโดนยิงเข้าทั้งหมด
เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ทำไปแล้ว 75 แอสซิสต์ในทุกรายการที่ลงเล่นให้ ลิเวอร์พูล โดยหากนับตั้งแต่ TAA debut ในเดือนตุลาคม 2016 มีเพียง เควิน เดอ บรอยน์ (129) และ โม ซาลาห์ (80) เท่านั้นที่ทำแอสซิสต์ได้มากกว่า “ท่านรอง”
แก้ไขล่าสุดโดย เบน ฟรีคิก เมื่อ Thu Dec 07, 2023 08:40, ทั้งหมด 4 ครั้ง
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ