ถ้ามีเวลาผมจะเก็บหลักฐานไปกรมสวัสดิการคุ้มครองแรงงานครับ โทรไปสายด่วนไม่มีคนรับเลยครับ

ีัืทรงแบบนี้ หาทนาย ไปฟ้องศาลแรงงานเลยครับ ถ้ามั่นใจว่าโดนกลั่นแกล้ง

เอาผลงานปีทีผ่านมา ไว้เป็นหลักฐาน

ผมแก้ที่ต้นเหตุนะ เค้าบีบออกเพราะเขามองว่าบริษัทอยู่ได้เพราะไม่มีคุณ ดังนั้นคุณต้องแก้ที่ต้นเหตุ คุณต้องทำคุณค่าของคุณให้บริษัทขาดคุณไม่ได้

1. พยายามเก็บหลักฐานต่างๆไว้ให้เยอะที่สุด
อย่างที่บอกว่าประเมินได้แค่ 1 ทั้งๆที่ผลงานดี
ก็ต้องมีหลักฐานทั้งการประเมินและผลงาน

หรือเรื่องต่างๆที่น่าจะเป็นการกลั่นแกล้ง
และเป็นการบีบเพื่อให้เราลาออก ก็ต้องเก็บหลักฐาน
ไว้ให้ครบถ้วน เพื่อประโยชน์ในอนาคต
อย่างเรื่องการไปสอบวัดความรู้ ต้องเก็บข้อมูลว่า
เป็นการสอบวัดความรู้ปกติ ที่ทุกคนในตำแหน่งเดียวกัน
หรือตำแหน่งใกล้เคียงต้องสอบ หรือเป็นแค่ท่านคนเดียว
ซึ่งจะเข้าข่ายเจตนากลั่นแกล้งได้

2. นายจ้างไม่สามารถลดเงินเดือนและเปลี่ยนตำแหน่ง
ไปตำแหน่งที่อยู่ต่ำกว่า โดยไม่มีเหตุผลได้

แต่คุณต้องไม่ไปเซ็นอะไรมั่วซั่วด้วย จำไว้เลยว่า
คำรับรองคำสัญญาต่างๆที่พูดด้วยวาจา ให้ถือว่าไม่มี
อย่างน้อยควรเป็นลายลักษณ์อักษรเช่นอีเมล

3. ทำใจไว้เลยว่าถ้าเขาจะบีบให้เราออก
ยังไงเราก็ต้องออก แต่ต้องออกพร้อมกับเงินชดเชย
และค่าตกใจ คุณทำงานมา 10 ปี ค่าชดเชยคือ 300 วัน
บวกค่าตกใจแล้วควรจะได้ประมาณเงินเดือน 1 ปี

4.อย่าเซ็นใบลาออกเองเด็ดขาด แล้วก็อย่าเซ็นอะไรมั่วๆเด็ดขาด
ถ้าไม่เห็นด้วยก็อย่าเซ็น เรื่องนี้ลูกจ้างได้เปรียบนายจ้าง
เมื่อขึ้นศาลแรงงาน แต่ถ้าคุณเซ็นอะไรไป มันจะเป็นหลักฐาน
ให้เขายกมาอ้าง

นี่คือสิ่งที่ผมกำลังเครียดเลยครับ

ถ้าคุณรู้อยู่ 100% แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ผมจะใช้เวลางานหางานใหม่ไปเลย ง่ายๆคือปล่อยจอยบริษัทเก่ากินเงินเดือนในเดือนที่เหลือก่อนโดนประเมิน Pip อีกรอบ ถือว่าเป็นเงินชดเชยไปเลย เคสนี้ทำได้อย่างเดียวครับตั้งใจหางานใหม่ ผมเห็นใจท่านนะแต่ชีวิตต้องเดินไปข้างหน้า เราต้องทำทุกอย่างให้เราได้ผลประโยชน์เยอะที่สุดหรืออย่างน้อยๆเสียผลประโยชน์น้อยที่สุดโดยไม่ขัดกับกฏหมาย

งงกับระบบการประเมิน มันไม่มี KPI มาจับเหรอครับ ประเมินตามใจหัวหน้าได้เลยเหรอ อยากให้ 1 ก็ให้แบบนี้

ผมเป็นคนนึงที่เคยโดนบิบออกนะ

จ้างคนใหม่แต่ตำแหน่งเดียวกันมาทำงานกับผม ลดงานผมน้อยลง ช่วงโควิทตัดเงินเดือนเฉพาะผม

แต่สิ่งหนึ่งที่เราควรต้องรู้และเข้าใจเลย

เค้าวางแผนมานานแล้ว ไม่ใช่อยู่เค้าเพิ่งมาทำมาบีบเรา เพราะขั้นตอนการหาคนใหม่ มันต้องใช้เวลา อย่างน้อยต้องมี 3 - 6 เดือน ความจริงที่เราต้องยอมรับคือเค้าจะเอาเราออกแน่นอนไม่ทางใดก็ทางนึง เมื่อวันที่เราหมดประโยชน์

สิ่งที่ผมเรียกรู้จักการบีบออกครั้งนั้นคือ

1. เราต้องตั้งสติ และควรหาทางไปที่อื่นที่เค้าต้องการเรา ไม่ควรจะฝืนสู้ต่อ มันไม่มีประโยชน์ เค้าตั้งธงมาแล้วว่าจะเอาเราออก ไม่วันใดก็วันนึง ทุกอย่างจะแย่ลง
2. ไม่สอนงานบางอย่าง ไม่บอกงานทั้งหมด เก็บเอกสารงานบางอย่างไว้ ไม่ให้คนใหม่หรือบริษัททำงานง่ายๆ ถ้าไม่มีเรา
3. รู้จักปฎิเสธหรือไม่ทำบางอย่างที่รู้สึกว่าแปลกๆ ทั้งงานจากหัวหน้า เอกสารที่ HR ให้เซ็น ที่มองว่าเป็นผลเสียกับเรา
3. คุยกับลูกค้ามากๆ พบปะลูกค้าให้เยอะๆ หาลูกค้าใหม่ๆ ให้ลูกค้าเป็นเกราะให้เรา แล้วบริษัทยังมองว่าเรามีประโยชน์อยู่ เราจะได้ยืดเวลาในการหาทางหนีที่ไล่

รู้จักออกจาก comfort zone ตอนผมโดนบีบให้ออก ผมก็เคว้งเหมือนกัน แต่ตอนนี้ออกมาทำบริษัทเองได้ 4 ปีแล้ว ลำบากบ้าง สุขบ้าง มันไม่ได้แย่ขนาดนั้น

เอาใจช่วยครับ

เดือนหน้าคงได้รับการเตือนเป็นจดหมาย ผมก็จะไม่เซ็นต์ครับ
ถ้าออกพร้อมกับเงินชดเชย ผมยอมรับได้ครับ แต่คงบีบให้ออกจากลดตำแหน่งและเงินเดือน

ถ้าไม่ผ่านpipแล้วโดนออก เราฟ้องได้มั้ยครับ

ผมว่า case ท่านชัดเจนว่าไม่เป็นธรรม ทั้งวิธีในการให้ออก และการประเมินนะครับ

เรื่องถึงศาล หรือกรมคุ้มครองแรงงาน ยังไงก็ชนะ
ลองเก็บหลักฐานเช่น คะแนนประเมิน งานที่เพิ่มมาเยอะผิดปกติ

เผลอๆไม่ถึงศาลอ่ะครับ แค่เห็นเราฟ้องกรมแรงงาน เผลอๆจะเรียกมาคุยแล้วก็จ้างออกปกติ

เค้าพยายามไม่ให้เครดิตว่าเป็นผลงานผม ยกตัวอย่าง โปรเจ็คของผม ผมทำเองไมได้ผมก็ต้องให้หน่วยงานที่มีหน้าที่สนับสนุนมาช่วย งานที่ผมต้องให้ R&D lab มาช่วยเค้าไม่นับเป็นผลงานของผม ทั้งที่ปีที่แล้วก็นับให้

ช่วงนี้ก็เซฟตัวเองครับ เรื่องการทำงาน อย่าให้มีแผล เพื่อดึงเวลาเพื่อพิสูจน์ว่าปัญหาคืออะไร

อยากให้จบแบบนี้ครับ

ได้ครับ แต่ไม่การันตีว่าจะชนะนะครับ ต้องไปสู้กันในศาลซึ่งบริษัทได้เปรียบอยู่ละ ทั้งเวลาทั้งเงิน