ไปดูมาเล่า : ซือเจ๊ทะลุมัลติเวิร์ส
ไปดูมาเล่า : ซือเจ๊ทะลุมัลติเวิร์ส
เพิ่งไปเที่ยวแล้วแวะดูกลางทาง (ต่างจังหวัด) ก่อนกลับบ้านที่ กทม.
ว่าจะไม่รีวิวแล้วเพราะเห็น หลายคนมารีวิวไปแล้ว ไม่อยากซ้ำซ้อน
เหมือน หมอแปลกที่ว่าจะมาสปอยล์ พอเห็นคนสปอยล์เยอะก็เลย ไม่ทำเพราะมันซ้ำ
แต่เรื่องนี้ อยากมารีวิว เพราะที่อ่าน ๆ มา มันไปในทางเดียวกันหมด ทั้งที่นี่ ทั้งทวิตฯ ในโลก social
เผอิญว่า ผมเห็นต่าง
ต่างมาก และไม่ว้าวด้วย เลยหยิบมารีวิว
(ตอนแรกจะรีวิว ทวิภพ ที่ดูใน netflix แต่เอาเรื่องนี้ก่อน)
ผมมองหนังเรื่องนี้คือ หนังฮ่องกงยุค 80-90 นะ แค่หยิบเอา concept ของ multiverse มาแปะ เป้นหนังเรื่องใหม่
ตามสไตน์เอเชียอย่างเรา ๆ ที่มีความผูกพันและเคยชินกับระบบครอบครัว
มันเลยทำให้อินได้ไม่ยาก อารมณ์เหมือนเล่าเรื่องตลกที่ทุกคนในวงอยู่ในเหตุการณ์
แค่บอกว่าก้าวเท้าซ้าย ก็ฮากันครืนได้โดยไม่ต้องอะไรมาก
... ช่างมัน
เอามุมของผมดีกว่า
ผมนั่งดูหนังเรื่องนี้ด้วยความ คาดหวัง ทั้ง ๆ ที่ปกติดูหนังจะไม่ค่อยคาดหวัง ก็เลยกลายเป็นผิดหวัง
ยิ่งหลายคนหรือการทำประชาสัมพันธ์อวยกันว่า ดีกว่าหมอแปลก ยิ่งบ้าบอ (บอกเลย)
1. ผมดูตอนแรกคือหนังฮ่องกงยุค 80-90 แบบที่บอกไว้ข้างต้น ซึ่งผมก็อยู่ในยุคสมัยที่หนังเหล่านั้นกำลังพีค
2.1. ผมดูแล้วนึกถึง หนังของ โจวซิงฉือ ไซอิ๋ว 95 เดี๋ยวลิง เดี๋ยวคน ซึ่งในเรื่องไซอิ้ว มันปูภาคแรกด้วยความบ้าบอ ขำขันเอาฮาตามสไตน์เฮียเค้า และจบด้วยความโคตรซึ้ง ในรูปแบบการดำเนินเรื่องแบบ การย้อนเวลาแบบ Butterfly Effect (แต่ในซือเจ๊เป็นจักรวาลคู่ขนาน)
2.2 หลาย ๆ ส่วนผมดูแล้วนึกถึง the Matirx แค่เปลี่ยนจากโลกจริง ๆ สื่อสารเข้าไปในโลก Matrix เป็นคนจากใน Alpha verse สื่อสารกลับโลกใน Verse ต่าง ๆ แค่นั้นแหล่ะ
3. หนังเรื่องนี้ จะไม่ประสบความสำเร็จเลย ถ้า (* 4.) และไม่ฉายในช่วง Multiverse ของหมอแปลกกำลังบูม
4. หนังเรื่องนี้ จะไม่ประสบความสำเร็จเลย ถ้ามิเชล โหย่ว มารับบทได้บ้าบอขนาดนั้น (อารมณ์เหมือน หยิบเอาหมิว ลลิตา มาเล่นใน เรื่องตลก 69)
5. หนังขาดการปูทางอย่างที่ควรจะเป็น อาจจะเป็นเพราะฉายตามหลัง หมอแปลก เลยคิดว่าไม่ต้องปูก็ได้, ลองคิดดูว่าถ้า คนดูไม่มีพื้นฐานและเรื่อง Multiverse ยังใหม่กริ๊กในเชิงวิทยาศาสตร์และสังคม, ออกจากโรงน่าจะมีคนด่าเยอะ (ประมาณ หนังส้นตรีนอะไรวะ กูงง)
นึกภาพ the matrix สำหรับคนที่ตาม concept ไม่ทัน (ในยุคนั้น)
และ tenet สำหรับที่ตามไม่ทัน เพราะโนแลนมันจงใจ
6. หนังขาดการร้อยเรียงอารมณ์ของตัวละครอย่างที่ควรจะเป็น คิดดูสว่า ปูทางมาว่า เจ๊เอเวอลีน ไม่ฟังใคร ทำอะไรวิ่งไปวุ่นมาคล้ายคนสมาธิสั้น จึงสามารถปฏิบัติตามความบ้าบอแบบแปลก ๆ ของผัวตัวเอง (ตอนโดนสิงร่าง, ขอใช้คำว่าสิงนะ) ได้
แต่ก็ช่างเถอะ
เผอิญว่า ข้อ 3. ผมไม่ติด ข้อ 4. ผมชอบ ข้อ 5. ผมพื้นฐานแน่นพอสมควรอยู่แล้ว
และข้อ 6. ถ้ามองเป็นหนังคัลท์ ทุกอย่างก็ไม่ต้องการความ เมคเซ้นส์ ก็ได้นะ อยากใส่อะไรก็ใส่มาเถอะ
เอาแค่ข้อ 6. ข้อเดียว ก็ไม่มีอะไรต้องไปเทียบกับ multiverse ของหมอแปลกแล้ว
เทียบไปได้ไง คนละแนวทางของหนังกันเลย
สรุปทีละข้อ
- ความฉีก, ผมเฉย ๆ อย่างที่บอกหนังฮ่องกง 80-90 มีฉีกกว่านี้เยอะ
- ความบ้าบอ, ก็เฉย ๆ นะ น่าะเป็นปัญหาของผมที่ดู หนังโจวซิงฉือมาเยอะ เจอ คนไม่ธรรมดา ยืดได้หดได้
หรือ Sixty Million Dollar Man นั่นก็น่าจะที่สุดแล้ว
- สิ่งที่คาดไม่ถึง ก็เจ๊มิเชล คนเดียวเลย บ้าอย่างลุคที่ keep ไว้ตลอด หลุดหายไปหมด, เหมือนแต๊วที่ keep ลุคเรียบร้อยใส ๆ มาเป็นแต๋วในความเป็นจริงยังไงยังงั้นเลย
- ส่งที่ผิดคาด ผมว่ามันไม่ได้ตลกขนาดนั้น ได้แค่อมยิ้มเลยจริง ๆ
- CG OK เลย ดูแล้วไม่ฝืน ไม่ติด เหมือนหนังจีนหรือฮ่องกงปัจจุบันที่ CG โคตรหลอกตา สีสันแจ๊ด ๆ ดูแล้วจินตนาการมากเกินไป (เอาใกล้ ๆ ตัวหน่อย มังกรในชางชี นั่นแหล่ะ, ของจริงหนังจีน เว่อร์วังกว่านี้เยอะมากกกกกกกกก)
---------------------------------------------------------
แต่ชอบนะ
ชอบตัวโต ๆ เลยด้วย ทำมาอีกก็ดูอีก อาจจะเพราะผมเสพติด หนังยุค 80-90 ก็ได้
เลยค่อนข้างยอมรับหนังแนวนี้ได้ง่าย
ผมดูพากษ์ไทยนะ, ไม่แน่ว่า ถ้าดู sound track มันจะทำให้ดู OK กว่านี้หรือเปล่า (ไปดูอีกรอบแมร่งงงงงงง)
ปล. ทำไมใน netflix หรือ disney+ มีหนังฮ่องกงเสียงไทยน้อยจนเหมือนไม่มีเลย
จะไปหาซื้อ VCD ดูก็ไม่มีเครื่องเล่นอีก
... เห็นด้วยไม่เห็นด้วยมาคุยกันครับ
ความสนุกก็เหมือนอาหาร อร่อยของแต่ละคนมันไม่เท่ากัน