ดาวเตะลา ลีกา
Status:
: 0 ใบ
: 0 ใบ
เข้าร่วม: 13 Mar 2008
ตอบ: 21280
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Thu Jan 13, 2022 10:33
[RE: พระฉันแค่ 2 เพล ทำไมบางท่านดูอ้วนหรืออวบๆจัง]
วันก่อนอ่านในพันทิป
เรื่องธรรมะที่เค้าพูดถึงมันค่อนข้างกาวๆ
แต่มีเรื่องพระอ้วน ผมว่าดูมีประเด็น ถูกผิดต้องไปดูเป็นจุดๆอีกที
เท่าที่ดูก็เรื่องโภชนาการ
"นี่คือข้อพิสูจน์ว่าคำสอนพุทธภาษาไทย พระเอาไปปฏิบัติ แล้วพระป่วย!
เมื่อประมาณ 2 ปีมาแล้วสำนักข่าวฝรั่งดังจ้างเราแปลบทสัมภาษณ์พระดังๆหลายรูป จากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ (น่าจะเอาไปทำข่าวภาษาอังกฤษ) เป็น audio files บันทึกบทสนนา ระหว่างนักวิจัยด้านการแพทย์ แพทย์ และพยาบาล ที่พูดคุยกับพระ ในขณะที่พยายามช่วยพระจำนวนมากทั่วประเทศไทยที่ป่วย!
แพทย์และนักวิจัยแสดงความเห็นว่า "พระป่วยเพราะวิถีชีวิต, ป่วยเพราะวิธีปฏับัติธรรมของพระ และป่วยเพราะปฏิบัติตามพระธรรมวินัยของพระ"
นี่คือปัญหาหลัก:
1 พระธรรมวินัยห้ามพระออกกำลัง พระจึงไม่แข็งแรง
2 พระธรรมวินัยห้ามพระทำอาหาร พระจึงต้องกินอาหารที่ชาวบ้านนำมาถวาย ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ซื้ออาหารข้างทางด้อยคุณภาพ มาถวาย ทำให้พระป่วยกันเยอะมากๆ!
3 พระธรรมวินัยห้ามพระกินอาหารหลังกินอาหารเที่ยงแล้ว ปัญหานี้ลึกลับสุดๆ ตัวพระเองเรียนแต่ตำราพุทธโบราณ ไม่รู้เรื่องอาหารและโภชนาการยุคใหม่! พระจึงป่วยกันเกือบทั้งประเทศ เพราะไม่รู้วิธีกินวันละมื้ออย่างถูกต้อง!
ตามหลักการแพทย์ที่ตอนนี้แพทย์ฝรั่งยุคใหม่นำมาเผยแพร่กัน นั่นก็คือ เรื่อง autophagy ซึ่งเป็นงานวิจัยของ ของ biologist ชาวญี่ปุ่นชื่อ Yoshinori Ohsumi ซึ่งได้ Nobel Prize in Physiology or Medicine เมื่อปี 2016 ซึ่งแนวคิดเรื่อง autophagy นำไปสู่แนวคิดเรื่อง IF (intermittent fasting) นั้น ซึ่งเราศึกษามาจากแพทย์ฝรั่งยุคใหม่ เราจึงกินวันละมื้อได้เก่งกว่าพระไทย คือเรากินวันละมื้อมา 3 ปีแล้ว และสุขภาพเราดีขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่พระไทยเกือบทั้งประเทศ "กินวันละมื้อแล้วป่วย!"
หลักการมีดังนี้นะ เราไม่กินน้ำตาลเลย และไม่กินน้ำผลไม้ด้วย (เพราะมันมีน้ำตาล fructose) และกิน carbs ต่ำมากๆเกือบๆศูนย์ ทำให้ insulin ลดลงต่ำมากๆ และร่างกายจะเข้า ketosis ในสภาวะเช่นนี้ ร่างกายเราไม่จำเป็นต้องเผา glucose จากน้ำตาลและแป้งเป็นพลังงานหลัก แต่จะเผาไขมัน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งไขมันสัตว์) เป็นพลังงานหลัก ซึ่งเป็นพลังงานที่ยั่งยืน
ทำให้ถ้าเรากินเนื้อสัตว์ติดมันเป็นอาหารหลัก กินแค่มื้อเดียวต่อวัน กินนิดเดียวเอง เราจะอิ่มไปทั้งวัน หรือบางทีกินมื้อเดียวอิ่มไป 2-3 วันก็เป็นไปได้
แต่พระที่กินมื้อเดียวที่ไม่มีความรู้เช่นนี้ และถูกบังคับให้กินไม่เลือก คือชาวบ้านถวายอะไรก็ต้องกิน พระจึงกินอาหารที่เต็มไปด้วยน้ำตาลและ carbs สูงมากๆ (คนไทยส่วนใหญ่กินแบบนี้) insulin จึงพุ่งขึ้นสูง ทำให้พอกินมื้อเที่ยงแค่แป๊บเดียวเดี๋ยวก็หิวอีก เพื่อไม่ให้ผิดพระธรรมวินัย พระต้องดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง ชาเขียวหวานๆ ชากาแฟเติมน้ำตาลเยอะๆ และน้ำผลไม้ทั้งวัน เพื่อไม่ให้หิว
วิถีชีวิตเช่นนี้ ทำให้พระป่วยเป็น insulin resistance (ภาวะดื้ออินซูลิน) และ metabolic syndrome (ภาวะที่เกิดจากการเผาผลาญอาหารของร่างกายที่ผิดปกติไป ทำให้เกิดปัญหาเรื่องความดันโลหิตสูง เบาหวาน และไขมันสูง ซึ่งต่อมาภาวะเหล่านี้จะส่งผลให้มีปัญหาต่อหลอดเลือดและหัวใจ เกิดหัวใจขาดเลือด อัมพฤกษ์ อัมพาตได้ในที่สุด ซึ่งภาวะ metabolic syndrome นี้มักพบในผู้ป่วยที่ไขมันในช่องท้องมาก)
อาการป่วยเริ่มต้นแค่สองอย่างนี้ จะทำให้พระป่วยเป็น NCDs (โรคไม่ติดเชื้อแต่เป็นโรคเรื้อรัง) อีกตั้งมากมายหลายโรค เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันสูง หลอดเลือดตีบตัน อัมพฤกษ์ อัมพาต อัลไซเมอร์ และอื่นๆอีกตั้งมากมาย
ในงานวิจัยที่เราแปล มีข้อมูลบ่งชัดว่า "พระที่อายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ทั่วประเทศ เป็นจำนวนมากกว่า 60% ป่วยเป็น NCDs และส่วนใหญ่ แก่เร็ว ป่วยแบบทรมาณ ตายอย่างทรมาณ"
หลังกินอาหารกลางวัน เพื่อไม่ให้หิว (หิวทั้งวันเพราะ insulin resistance และ metabolic syndrome) พระต้องกินเครื่องดิ่มหวานๆ ตั้งแต่ เครื่องดื่มชูกำลัง ชาเขียวหวานๆ ชากาแฟเติมน้ำตาลเยอะๆ และน้ำผลไม้ทั้งวัน ไปจนถึงเวลาเข้านอน
น้ำตาล fructose ที่อยู่ในเครื่องดื่มหวานๆเหล่านั้น เป็นอันตรายมากๆ ร่างกายไม่สามารถนำ fructose ไปใช้งานได้ทันที ตับต้องเปลี่ยน fructose ให้เป็นไขมัน ดังนั้นคนที่กินเครื่องดื่มหวานๆ รวมทั้งน้ำผลไม้ จะป่วยเป็นไขมันพอกตับได้พอๆกับคนดื่มเหล้า
ไปฟัง Dr. Jason Fung หมอดังบรรยายว่า fructose ทำอันตรายร่างกายได้ไงบ้าง"
แก้ไขล่าสุดโดย bossa26 เมื่อ Thu Jan 13, 2022 10:33, ทั้งหมด 1 ครั้ง
AFC Wimbledon "The Real Dons"