ดู
One Ordinary Day ถึงตอน 6 ละ หลายคนรำคาญพระเอกที่รับบทนางร้อง ร้องแม่งตอนแรกถึงปัจจุบัน มองจากมุมคนดูแบบเราจะลำไยก็ไม่แปลกอะไร แต่คุณจะไปรู้อะไรถ้าไม่เคยตกเป็นจำเลยแบบนั้น
ก็เลยสมัคร SS เพื่อมาแชร์เรื่องนี้โดยเฉพาะเลยครับ
---------------------------------------------------------------
ย้อนไปหลายปีก่อน ผมถูกย้ายไปทำงานต่างจังหวัดชั่วคราว เข้าใจว่าคงไม่นานแต่ก็นานพอให้สนิทสนมกับพนักงานที่นั่น หลายคนดีกับผมมากแต่ก็มีน้องอยู่คนนึงที่ดีกับผมมากกว่าใครๆ น้องเป็นคนหน้าตาดี ผมสวย ตัวหอม รูปร่างดี ไปวัดไปวาได้ แต่ที่รู้สึกถูกชะตาเพราะเป็นคนพูดเก่ง เข้าหาผู้ใหญ่แบบผมเป็น อาจจะไม่เกี่ยวกับสารัชอยู่เย็น แต่น้องมันอยู่เป็น
เราเริ่มคุยกันมากขึ้น จากที่กินข้าวร่วมกันในบริษัทก็เริ่มแยกออกไปกินข้างนอกกันสองคน พอตกเย็นไปดูหนัง ออกกำลังกาย ช็อปปิ้ง ฯลฯ พูดได้เต็มปากว่าโคตรมีความสุข นานวันเข้าก็มีโอกาสได้ไปบ้าน พูดคุยทักทายพ่อแม่น้องเค้า เข้าตามตรอกออกทางประตู
หลังจากตกลงคบหากันระยะใหญ่ๆ ก็เริ่มไปร้านนั่งชิล กินดื่มบ่อยครั้งขึ้น จากสัปดาห์ละวันก็เป็นทุกสองสามวัน จนคืนนึงที่น้องเมามาก เพื่อนๆพนักงานก็แยกย้ายกลับกันก่อนเพราะเมามาก ผมก็อาสาจะไปส่งเค้าที่บ้าน ฉุดกระชากลากดึงน้องที่เมาทิ้งตัวขึ้นไว้เบาะหลัง ระหว่างทางกลับน้องดันอ้วกพุ่งคารถ สบกับคอนโดมผมอยู่ระหว่างทางไปคอนโดน้องเค้า เลยลากน้องขึ้นไปพักสังขารไว้ที่ห้องชั้นสองของผม ผมก็ลงมาทำความสะอาดรถพักใหญ่ก่อนกลับขึ้นบนห้อง น้องมันก็อ้วกคาเตียงอีก แต่ด้วยความสัจจริง คืนนั้นมีแต่ความหวังดี จะโทษแอลกอฮอล์ด้วยก็ได้ที่กดต่อมยั้งคิดเอาไว้ พอเริ่มเอาผ้าเช็ดตัวชุบน้ำหมาดๆเช็ดหน้าเช็ดตัว ก็เริ่มได้กลิ่นตัวหอมๆของสาววัยยี่สิบต้นๆ น้องเริ่มสร่างแต่กลายเป็นที่ผมที่ขาดสติ มือมนุษย์ก็กลายเป็นมือปลาหมึก ปากสัมผัสริมฝีปากก่อน มือพลางคลึงเนินนุ่ม สิ่งที่จำได้คือมันเป็นเซ็กส์ที่เกิดจากความรัก มันหอมหวาน เมามันส์ทว่าก็อยากทะนุถนอม ตั้งแต่มีแฟนมาสามสี่คน ผมหลงกลิ่นตัวและทุกๆส่วนของน้องคนนี้มากจริงๆ
หลังจากคืนนั้น พูดได้เต็มปากว่ามีอะไรกันตลอด ทั้งในออฟฟิศ ห้องเก็บของ ห้องพักพนักงาน ห้องน้ำปั๊ม บนรถ ดาดฟ้าคอนโด มองจากวันนี้ย้อนกลับไปคือโคตรหลง ...เหตุผลที่เล่าแบบนี้ เพราะ
มันทำให้ผมตาบอด เริ่มไม่ฟังเสียงนินทาปากต่อปากของลูกน้องที่พูดถึงน้องเค้าในอีกมุมนึงที่ผมไม่มีโอกาสได้เห็น ผมตั้งแฮชแท็กเซฟน้องเต็มๆ ฟาดกลับทุกคนที่มาเปิดใส่น้อง ถึงขั้นฟ้องผู้บริหารให้เอาพนักงานคนนั้นออกไปที่อื่นด้วยเหตุผลที่รู้ๆกันอยู่
จนวันนึงก็ได้เห็น
อีกมุมนึง ของน้องเค้าจริงๆ ทั้งอีกตัวตนในโลกโซเชียล ทั้งการด่าผู้ใหญ่ลับหลัง ตั้งแต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ไปจนถึงเรื่องที่ต้องขยี้หูฟังหลายครั้งถึงจะเชื่อ โลกยูโทเปียของผมที่มีน้องเค้าเป็นเมืองหลวงมันพังครืน แล้วผมก็เริ่มตีตัวออกห่างแบบไม่รู้ตัว ไม่กินข้าวด้วย ไม่ไปเที่ยวด้วยกัน เจอกันแค่ที่ทำงาน ห่างออกไปเรื่อยๆ
.. จนถึงวันที่ผมถูกเรียกตัวกลับสำนักงานใหญ่
คืนก่อนจะไป น้องเค้าขอเคลียร์ทุกเรื่อง เปิดอกคุยกัน ผมก็ได้แต่พูดว่าพอเถอะเพราะความรู้สึกผมมันเปลี่ยนไปแล้ว ศรัทธาที่ผมมี จินตนาการว่าเค้าเป็นแม่ของลูกผม มันพังไปนานแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าเคลียร์ยังไงให้ไปจบบนเตียงอีกรอบนึง ครั้งนี้ต่างออกไป มันเหมือนทุกอย่างหมุนรอบตัวช้าลง เราต่างรู้ดีว่านี่คือครั้งสุดท้าย ...
ผมกลับมาที่ทำงานเก่า ทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติ น้องเค้าก็ยังพยายามจะติดต่อมาบ้าง ผมก็ย้ำตลอดว่าเราเป็นแค่พี่น้องกันแล้วนะ ให้เป็นพี่น่ะได้ แต่ให้กลับไปเหมือนเดิมคงเป็นไปไม่ได้ เราก็ค่อยๆห่างกันไป ทีละนิดๆ
หลายเดือนผ่านไป ฝันร้ายของผมก็ได้เริ่มต้นเปิดคำนำขึ้นก่อนบรรเลงบทแรกอย่างหนักหน่วง .. เสียงปลายสายที่ไม่ได้ยินมานานในวันนั้นยังก้องในหัว
"พี่คะ หนูท้อง" .. ใช่ครับ ในใจก็พลันนึกคำสบถออกมายาวเป็นนิราศเมืองแกลง เราก็ทำเหมือนที่คนอื่นทำกันจนคอนเฟิร์มได้ว่า
"ของจริง" คืนนั้นผมก็โทรบอกแม่เลยทันทีว่าผมจะรับผิดชอบเอง ถึงแม้ภายหลังแม่ผมจะค้านสุดเสียงว่า
"คนนี้ไม่ได้" ผมก็ยังยืดอกรับ
หลังจากนั้น ผู้ใหญ่สองฝ่ายคุยกันประมาณนึง ตกลงกันว่าจะจัดงานพอเป็นพิธีให้ไม่เสียเกียรติซึ่งกันและกัน จะได้ใช้ชีวิตกันต่ออย่างราบรื่น ทว่าสิ่งที่ปิดจ๊อบไม่ลงคือสิ่งที่หลายบ้านเป็น คือ
"เงิน" .... เลขศูนย์สุดลูกหูลูกตามันช่างย้อนแย้งกับกำหนดวันคลอดเหลือเกิน ผมเองมีเงินเก็บพอสมควรแต่ผมไม่ใช่ลูกเจ้าสัวที่จะเนรมิตทุกอย่างที่เค้าเรียกร้องได้ ยิ่งนานวันเข้า ข้อเรียกร้องมันบีบคั้นให้ผมร้องไห้โดยไม่รู้ตัว เราเจรจากันอีกหลายต่อหลายครั้ง พยายามให้มันไปต่อได้ แต่ไม่รู้เพราะแก้วที่มันร้าวอยู่ก่อนแล้วหรือเพราะอะไร มันจึงเริ่มมีปากเสียง ผมถูกตำหนิ ดูถูก เหยียดหยาม ด่าทอ ไม่ใช่แค่ผมแต่ลามไปถึงแม่ผมที่พยายามวางตัวเป็นกลางมาตลอด
ไม่กี่วันหลังจากนั้น เค้าเริ่มข่มขู่ รังควาญ มาดักรอผมที่ออฟฟิศและพยายามจะบุกรุกเค้าไปในที่ทำงาน ผมโทรไปเคลียร์ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ได้คำตอบที่ไม่อยากจะเชื่อออกจากมาจากปากผู้หญิงที่ผมเคยศรัทธาและมอบหัวใจไปให้ทั้งดวง
ไม่นานนัก
ผมถูกฟ้องศาล ตกเป็นจำเลยข้อหา
กักขังหน่วงเหนี่ยวและข่มขืนกระทำทำเรา แน่นอนว่าเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง ใส่ความว่าผมลักพาเค้าไปโรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่ง กักขังไว้หนึ่งคืนและใช้กำลังทำร้ายร่างกายและขืนใจหลายครั้ง มีใบรับรองแพทย์ มีพยานบุคคล ครบทุกองคาพยพ ... วันนั้นผมไม่ได้อยู่ในพื้นที่ละแวกนั้นด้วยซ้ำ ผมขับรถไปธุระที่ต่างจังหวัด แต่คราวเคราะห์หรือเพราะชะตาขาด รถคันใหม่ของผมยังไม่ได้ติดกล้องหน้ารถ เส้นทางที่ผมไปก็ไม่มีกล้องตัวไหนถ่ายไว้ได้เลย แม้แต่กล้องจับความเร็วที่ผมโดนบ่อยๆตอนขับ 90 km/hr ก็ไม่มี ผมไม่มีพยานที่อยู่ ไม่มีพยานบุคคล พยานวัตถุ (google map timeline ก็ไม่มีน้ำหนักมากพอ) ผมตกเป็น
จำเลยสังคม และถูกตราหน้าว่าทำแล้วไม่รับผิดชอบ ลูกหมา หน้าตัวเมีย โจรข่มขืน และสารพัดที่ไม่น้อยไปกว่าพระเอกในเรื่อง One Ordinary Day ต้องพบเจอ
ผมรวบรวมหลักฐานทุกอย่างที่หา ปรึกษาทนายก่อนไปขึ้นศาล แต่น้ำหนักมันไม่มากพอให้ค้านข้อกล่าวหา เพียงเพราะผมเป็นผู้ชายที่เดินทางตัวคนเดียวในวันนั้น ผมได้แต่น้อยใจว่าถ้าเรื่องแบบนี้ ผู้ชายเสียเปรียบทุกประตูจริงๆ ... ผมมีสัมพันธ์กับเธอจริง แต่มันเป็นความสมยอม ไม่ได้ขืนใจ ไม่ได้กักขัง ไม่มีการข่มขู่ทำร้ายใดๆ แต่ใครจะเชื่อผมล่ะ จริงมั้ย
.. สิ่งเดียวที่ผมต้องการในตอนนั้น คือ อะไรก็ได้ที่ทำให้ผมไม่ต้องติดคุกและกลายเป็นโจรข่มขืน อะไรก็ได้ ..
ผมพยายามนึกว่าระหว่างทางไปจอดรถซื้ออะไรที่ไหน หรือเติมน้ำมันปั๊มไหนบ้าง แต่คุณรู้มั้ยครับ ประเทศไทยไม่เหมือนหนังเกาหลีหรือซีรีส์ฝรั่ง ที่จะมีกล้อง CCTV ทุกมุมเมือง มันไม่มีเลย ผมร้องไห้จนจำไม่ได้ว่าตอนไหนบ้างที่ไม่มีน้ำตา
ผมพยายามติดต่อร้านค้าทุกร้านระหว่างทาง 400 กม. ที่นึกออก ปั๊มน้ำมัน เซเว่น แบงค์ ค่อยๆไล่ไปทีละสาขา ทีละร้าน แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ กล้องเค้ามักจะหันเข้าหาประตูและหน้าร้านไม่กี่เมตร ไม่มากพอให้เห็นรถผมที่วิ่งบนถนนในช่วงเวลานั้น บางร้านก็ไม่ให้ความร่วมมือ บางร้านก็มีแต่กล้องดัมมี่ บางร้านก็ด่ากลับมา
ความสิ้นหวังมันเกาะกินจนสภาพผมไม่ต่างจากคิมฮยอนซู พูดความจริงไปใครจะฟัง
แต่แล้วปาฏิหาริย์ก็มาพร้อมเสียงโทรศัพท์ ในวันนั้นผมจอดรถติดไฟแดง กล้องตัวนึงจับภาพรถผมที่กำลังลดกระจกเพื่อจะซื้อพวงมาลัยสี่แยกไว้ได้พอดี ช่วงเวลาไฟแดงที่ผมเคยคิดว่าโคตรนาน มันเป็นไม่กี่วินาทีที่ปั๊มหัวใจผมให้กลับมาเต้นอีกครั้ง (ขอบคุณเจ้าหน้าที่คนนั้นจริงๆที่ย้อนกลับไปดูกล้อง ทั้งที่ไม่คิดว่าจะมีใครทำ)
นั่นล่ะครับ
"ไม้เด็ด" ไม้ตายเพียงท่าเดียวที่พระเจ้าองค์ใดก็ไม่รู้บันดาลมาให้ ทำให้ผมหลุดรอดพ้นข้อกล่าวหาได้ เพราะสถานที่เกิดเหตุตามข้อกล่าวอ้างกับกล้องที่จับภาพได้ มันไกลกันเกินกว่าจะขับรถถึงกันในช่วงเวลาในสำนวนฟ้อง เว้นเสียแต่ว่าผมเป็นโงกุนหรือโฮคาเงะรุ่นสี่ที่จะวาร์ปได้
หลังจากนั้นเรื่องยังอีกยาวไกลมากครับ มีทั้งที่ทนายผม
ฟ้องกลับเรื่องฟ้องเท็จ ให้การเท็จ สร้างหลักฐานเท็จ ไปจนถึงประณีประณอม ฟ้องแพ่ง แล้วประณีประณอมต่อ บลาบลา แต่คนที่เหนือกว่าคือผมนับตั้งแต่เสียงโทรศัพท์วันนั้นดังขึ้น ... ส่วนคนที่ด่าผมว่าเป็นพวกโจรข่มขืน ก็ไม่เคยมีใครมาขอโทษนะ
-------------------------------------------------
(ขอไม่พูดถึงเรื่องศาลเด็กและเยาวชนนะครับ)
-------------------------------------------------
ขออภัยที่ยาว แค่อยากแชร์ครับ
ปล.1 ตั้งแต่นั้น เวลาจะมีอะไรกับใคร ฉากเก่าๆจะย้อนมาทำให้มันไม่แข็งไปซะงั้น เศร้า
ปล.2 แม่ผมมองคนปราดเดียวรู้เรื่องเลย สุดจริง
ปล.3 เรื่องใบรับรองแพทย์ขอไม่พูดถึง เพราะยาวเกิน