1. ต่าย อดีตภรรยาทิม กล่าวหาทิมว่า...
ต่าย ไปออกรายการ Club Friday และเล่าให้ฟังถึงปัญหาในชีวิตคู่ที่เธออึดอัดใจ เช่น สามีบังคับไม่ให้กลับบ้านเกิน 18.00 น. ตั้งแต่แต่งงานมา หรือ เธอเผลอไปชมพระเอกฮอลลีวู้ด โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ว่าเซ็กซี่จัง แล้วต้องกลายมาเป็นทะเลาะกันรุนแรง ถึงขั้นต้องกราบขอโทษ
รวมถึงเคยไปให้สัมภาษณ์กับไทยรัฐ เปิดเผยว่า หลังแต่งงาน พิธา เคยขอไม่ให้ต่ายคบกับเพื่อนที่เป็นเกย์ หรือเป็นทอม หรือคนที่ลักษณะภายนอกไม่ใช่ผู้หญิง ด้วยเหตุผลว่าไม่เหมาะสม รวมถึงต้องใช้ชีวิตด้วยการมีกล้องวงจรปิดคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของตัวเองตลอด
2.ต่อมา มีนาคม 2019 รอยแตกร้าวของสองฝ่ายเพิ่มมากขึ้น ทิม พิธา ฟ้องหย่า เพื่อขอสิทธิในการดูแลลูกทั้งหมดเป็นของตัวเอง ขณะที่ต่ายฟ้องกลับในคดีการใช้ความรุนแรงในครอบครัว ต่ายฟ้องศาลว่า ทิมทำร้ายร่างกาย
..
เท่ากับว่าศาลต้องตัดสิน 2 คดีแยกกัน
คดีที่ 1 พิธา ฟ้องหย่า และขอสิทธิดูแลลูก
– ในตอนแรกศาลให้พิธาชนะ ได้สิทธิดูแลลูก เพราะต่ายไม่มาขึ้นศาล ในวันที่มีนัดหมาย แต่ต่ายยืนยันว่า หมายศาลส่งไปผิดที่อยู่ เธอไม่รู้เรื่องมาก่อนเลยว่าต้องมาขึ้นศาลวันไหน คำอ้างของต่ายฟังขึ้น ศาลพิจารณาคดีใหม่ แต่สุดท้าย พิธาตัดสินใจ ถอนฟ้อง ทำให้ พิธา กับต่าย ยังคงเป็นสามีภรรยากันตามเดิม มีสิทธิในตัวลูก 50 : 50 เท่ากัน
..
คดีที่ 2 ต่าย ฟ้องทิม ข้อหาทำร้ายร่างกาย
– ศาลตัดสิน ยกฟ้อง เนื่องจากบาดแผลที่เกิดขึ้นของฝ่ายหญิง ไม่มีหลักฐานพอ ว่าเกิดจากการทำร้ายของฝ่ายชาย
3. บทสรุปแล้ว ฟังความทั้งสองข้างนะ
โดยต่าย ให้สัมภาษณ์กับไนน์ เอ็นเตอร์เทน ว่า “พอไต่สวนแล้ว มีการทำร้ายร่างกายจริง แต่ไม่ถึงกับเป็นความรุนแรงในครอบครัว แต่มันกระทบจิตใจเรา คือมันไม่รุนแรง แต่ก็ทำให้มีความกังวลในการอยู่ร่วมกัน”

ขณะที่ตัว ทิม-พิธา เคยชี้แจงเรื่องครอบครัว แต่ไม่เคยลงดีเทล เนื่องจากระบุว่าไม่ต้องการให้กระทบกับตัวลูก

สรุปอีกทีเรื่องทำร้ายร่างกายนั้น ต่ายแฟนทิมเค้ามีแผลที่ถูกทำร้ายนะ แต่ศาลบอกว่าหลักฐานไม่พอว่าแผลที่ได้มา มาจากการทำร้ายของฝ่ายชาย(แต่มีแผลจริง อันนี้ fact) เพราะงั้นความเป็นไปได้คือ1.แผลที่ได้มา ต่ายซุย สร้างหลักฐานปลอมๆมาว่าทิมทำร้าย 2.แผลที่ได้มาเกิดจากทิม แต่อาจเกิดขึ้นนานแล้วหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่สุดท้าย หลักฐานไม่เพียงพอว่าทิมทำ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมเข้าใจว่าทิมเองเวลาสัมภาษณ์ก็ไม่เคยทั้งปฏิเสธหรือยอมรับ สรุปมันเลยยังเบลอๆว่ามันจริงไม่จริงกันแน่
ซึ่งผมว่าแกก็ควรพูดให้ชัดนะ ไม่งั้นแกก็จะโดนสลิ่มเอาเรื่องนี้มาเล่นเรื่อยๆ

ที่มาข่าว workpoint https://workpointtoday.com/pita-limjaroenrat/
 

1. ต่าย อดีตภรรยาทิม กล่าวหาทิมว่า...
ต่าย ไปออกรายการ Club Friday และเล่าให้ฟังถึงปัญหาในชีวิตคู่ที่เธออึดอัดใจ เช่น สามีบังคับไม่ให้กลับบ้านเกิน 18.00 น. ตั้งแต่แต่งงานมา หรือ เธอเผลอไปชมพระเอกฮอลลีวู้ด โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ว่าเซ็กซี่จัง แล้วต้องกลายมาเป็นทะเลาะกันรุนแรง ถึงขั้นต้องกราบขอโทษ
รวมถึงเคยไปให้สัมภาษณ์กับไทยรัฐ เปิดเผยว่า หลังแต่งงาน พิธา เคยขอไม่ให้ต่ายคบกับเพื่อนที่เป็นเกย์ หรือเป็นทอม หรือคนที่ลักษณะภายนอกไม่ใช่ผู้หญิง ด้วยเหตุผลว่าไม่เหมาะสม รวมถึงต้องใช้ชีวิตด้วยการมีกล้องวงจรปิดคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของตัวเองตลอด
2.ต่อมา มีนาคม 2019 รอยแตกร้าวของสองฝ่ายเพิ่มมากขึ้น ทิม พิธา ฟ้องหย่า เพื่อขอสิทธิในการดูแลลูกทั้งหมดเป็นของตัวเอง ขณะที่ต่ายฟ้องกลับในคดีการใช้ความรุนแรงในครอบครัว ต่ายฟ้องศาลว่า ทิมทำร้ายร่างกาย
..
เท่ากับว่าศาลต้องตัดสิน 2 คดีแยกกัน
คดีที่ 1 พิธา ฟ้องหย่า และขอสิทธิดูแลลูก
– ในตอนแรกศาลให้พิธาชนะ ได้สิทธิดูแลลูก เพราะต่ายไม่มาขึ้นศาล ในวันที่มีนัดหมาย แต่ต่ายยืนยันว่า หมายศาลส่งไปผิดที่อยู่ เธอไม่รู้เรื่องมาก่อนเลยว่าต้องมาขึ้นศาลวันไหน คำอ้างของต่ายฟังขึ้น ศาลพิจารณาคดีใหม่ แต่สุดท้าย พิธาตัดสินใจ ถอนฟ้อง ทำให้ พิธา กับต่าย ยังคงเป็นสามีภรรยากันตามเดิม มีสิทธิในตัวลูก 50 : 50 เท่ากัน
..
คดีที่ 2 ต่าย ฟ้องทิม ข้อหาทำร้ายร่างกาย
– ศาลตัดสิน ยกฟ้อง เนื่องจากบาดแผลที่เกิดขึ้นของฝ่ายหญิง ไม่มีหลักฐานพอ ว่าเกิดจากการทำร้ายของฝ่ายชาย
3. บทสรุปแล้ว ฟังความทั้งสองข้างนะ
โดยต่าย ให้สัมภาษณ์กับไนน์ เอ็นเตอร์เทน ว่า “พอไต่สวนแล้ว มีการทำร้ายร่างกายจริง แต่ไม่ถึงกับเป็นความรุนแรงในครอบครัว แต่มันกระทบจิตใจเรา คือมันไม่รุนแรง แต่ก็ทำให้มีความกังวลในการอยู่ร่วมกัน”

ขณะที่ตัว ทิม-พิธา เคยชี้แจงเรื่องครอบครัว แต่ไม่เคยลงดีเทล เนื่องจากระบุว่าไม่ต้องการให้กระทบกับตัวลูก

สรุปอีกทีเรื่องทำร้ายร่างกายนั้น ต่ายแฟนทิมเค้ามีแผลที่ถูกทำร้ายนะ แต่ศาลบอกว่าหลักฐานไม่พอว่าแผลที่ได้มา มาจากการทำร้ายของฝ่ายชาย(แต่มีแผลจริง อันนี้ fact) เพราะงั้นความเป็นไปได้คือ1.แผลที่ได้มา ต่ายซุย สร้างหลักฐานปลอมๆมาว่าทิมทำร้าย 2.แผลที่ได้มาเกิดจากทิม แต่อาจเกิดขึ้นนานแล้วหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่สุดท้าย หลักฐานไม่เพียงพอว่าทิมทำ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมเข้าใจว่าทิมเองเวลาสัมภาษณ์ก็ไม่เคยทั้งปฏิเสธหรือยอมรับ สรุปมันเลยยังเบลอๆว่ามันจริงไม่จริงกันแน่
ซึ่งผมว่าแกก็ควรพูดให้ชัดนะ ไม่งั้นแกก็จะโดนสลิ่มเอาเรื่องนี้มาเล่นเรื่อยๆ

ที่มาข่าว workpoint https://workpointtoday.com/pita-limjaroenrat/
 

ผมว่ามันเรื่องในครอบครัวเขา ศาลก็ตัดสินไปแล้ว กระบวนการสอบสวนก็มี กว่าอัยการจะส่งฟ้องมันไม่ใช่เรื่องสุ่มสี่สุ่มห้า มันต้องผ่านกระบวนการสืบหลักฐานพยาน เขาไม่จำเป็นต้องออกมาตอบ ตอบไปคนที่ปักใจเชื่อไปแล้วก็ใช่ว่าจะเชื่อคำพูดเขา ขนาดคำวินิจฉัยศาลยังไม่สนใจกันเลย

ผมว่าคนที่มีวิจารณญาณควรจะแยกแยะให้ออก ว่าอะไรคือเรื่องที่ควรไปจี้หาข้อเท็จจริง อะไรที่เราไม่ได้มีความจำเป็นต้องรู้ก็ได้

และที่สำคัญอะไรที่เราไม่ควรทำตัวว่ารู้ดี แล้วไปสร้างความเข้าใจผิด ๆ กับคนอื่น