พอดีไปเห็นข่าว บริษัท ซีอาร์อาร์ซี ซิชูเยียน (CRRC Qishuyan) ผู้ผลิตรถจักรดีเซลรายใหญ่ในเมืองฉางโจว มณฑลเจียงซู ประเทศจีน ได้ทำพิธีส่งมอบรถจักรดีเซลไฟฟ้าล็อตแรกจากทั้งหมด 50 ชุด ให้แก่การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) โดยมีนายซู ชิบาว (Xu Shibao) ประธานกรรมการบริษัท ซีอาร์อาร์ซี ซิชูเยียน, นายควิน ฮ่วย (Qin Hui) ผู้จัดการทั่วไป, นายกวน หมินเหว่ย (Guan Minwei) รองผู้จัดการทั่วไป เป็นผู้ส่งมอบ และมีนายอรรณพ วงษ์วิจารณ์ วิศวกรอำนวยการศูนย์วิศวกรรมเครื่องกล การรถไฟฯ พร้อมคณะรวม 6 คนเป็นตัวแทนรับมอบ

นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย ลงนามสัญญาซื้อรถจักรดีเซลไฟฟ้า น้ำหนักกดเพลา 16 ตัน/เพลา พร้อมอะไหล่จำนวน 50 คัน มูลค่า 6,525 ล้านบาท

ซึ่งทางมองไปในอนาคต ทำไมเราถึงไม่สั่งหัวลากที่เป็น Bi-mode ซึ่งรถไฟ​ Bi-Mode ก็มีการติดตั้ง​แหนบรับไฟไว้บนหลังคา เพื่อใช้รับกระแสไฟฟ้าในช่วงที่วิ่งอยู่บนรางรถไฟที่ติดตั้งระบบจ่ายไฟแบบเหนือหัว(ช่วงบางซื่อ สายสีแดง) แต่หากวิ่งพ้นระบบจ่ายไฟฟ้าแบบดังกล่าวไปแล้ว​ เหลือเพียงรางรถไฟเปล่าๆ​ เหมือนทางรถไฟทั่วแบบที่เราเห็นในประเทศไทย​ ระบบการขับเคลื่อนจะเปลี่ยนจากระบบไฟฟ้าจากสายส่งเหนือหัวมาเป็นระบบดีเซลไฟฟ้าเหมือนหัวรถจักรทั่วไปที่เรามีแทน หรือ ไฟฟ้าล้วน เพื่อรองรับการใช้งานในอนาคตและร่วมกับสายสีแดง(ระบบรางไฟฟ้าเหนือหัว)

ตัวอย่างหัวลาก Bi-Mode Siemen Vectron

ซื้อหลายรอบ = ...หลายต่อ

มันคือรถไฟใหม่จริงๆ ใช่ไหม

ก็เจ้านี้ทอนเยอะสุดอ่ะ เหตุผลง่ายๆแค่นี้ ซื้อ Siemens เขาจะทอนให้ไหมอ่ะ ยุคนี้คว้าได้ต้องรีบคว้า ทางกำลังโล่งสะดวกปลอดภัย

ผมว่ารถที่เป็น bi-mode อย่างที่ท่านว่าราคาน่าจะสูงกว่า ทั้งราคาซื้อและซ่อมบำรุงละเปล่าครับ แล้วถ้าเอามาวิ่งไฟฟ้าแค่ช่วงสั้น ๆ มันคงดูเกินความจำเป็น ในเมื่อดีเซลเฉย ๆ ก็วิ่งได้
และถ้าเกิดงวดนี้ซื้อ bi-mode มา ผมมั่นใจว่าโดนด่ายับแน่นอน 555

เทคโนโลยีตกยุคไปแล้วแต่เราเพิ่งสั่งชุดใหม่

เปรียบเหมือนเราซื้อ iphone 5s ใหม่ตอนนี้เลย

หัวชุดนี้จะมาวิ่งบนรถไฟรางปกติ หรือรางรถไฟฟ้าหรือครับ

น้ำมันเคลื่อนย้ายง่าย เติมเต็มถังสบาย

Bi-mode นี้ดีกว่าเยอะเลยครับ ที่อังกฤษก็ใช้แบบ Bi-mode ในตัว Class395 ถ้ามีไฟฟ้าทำความเร็ว 225 กม/ชม แต่ถ้าใช้ดีเซลล้วนได้ 160 กม/ชม แล้ว Bi-mode พอเข้าช่วงทางสีแดงก็ใช้ไฟฟ้าอย่างเดียว ไม่ต้องใช้น้ำมันเข้าบางซื่อให้เหม็นไอเสีย

อังกฤษก็มีปัญหาารถไฟคล้ายๆบ้ายเราคือ มีหลายเส้นทางที่ยังไม่มีระบบจ่ายไฟเหนือหัว ซึ่งอยู่ในช่วงระหว่างขยายเส้นทางระบบส่งไฟฟ้า ซึ่งการใช้หัว Bi-Mode จึงเป็นเรื่องที่เหมาะสม เพราะวิ่งได้ทั้ง 2 เส้นทาง และเมื่อระบบจ่ายไฟทำเสร็จ รถไฟก็จะใช้ไฟฟ้าอย่างเดียวที่สามารถทำความเร็วได้ถึง 225 km/hr