บทสรุป :

วิจารณญาณในการอ่านงานทดลองและงานวิจัย

1.ความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์อาจมีการเปลี่ยนแปลง ความน่าเชื่อถือแตกต่างจากข้อมูลการทดลองที่ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์แล้ว

ในแผนภาพเป็นการวัดภูมิคุ้มกันแบบ spike protein ของไวรัสโคโรนา ไม่ใช่กันวัดภูมิคุ้มกันแบบ nutralizing antibody ( แอนติบอดีกลุ่มนี้มีผลทำให้ไวรัสทำอันตรายต่อร่างกายไม่ได้) อย่างไรก็ตามภูมิทั้งสองตัวมีความสัมพันธ์กัน

ข้อมูลแอสตรา 2 เข็มในระดับ clinical trial ที่ได้รับการตีพิมพ์ ไม่สามารถเทียบกับการทดลองที่ยังไม่ได้รับการตีพิมพ์ได้ด้วยเนื่องจากยังไม่ได้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือ ( เช่นการเก็บตัวอย่าง และจำนวนประชากร เป็นต้น)

ประเด็นการทดลองที่เก็บข้อมูลต่างกันคือการฉีดซิโนแวค 2 เข็มแล้วฉีดแอสตราเป็น 3 ในกราฟระบุว่าภูมิคุ้มกันสูงกว่าไฟเซอร์ 10 เท่า มีข้อสงสัยที่ไม่อาจเปรียบเทียบกันระหว่าง 2 การทดลองได้คือตามกราฟคนที่ได้รับไฟเซอร์ครบ 2 เข็มฉีดมานานแค่ไหน เพราะระดับภูมิคุ้มกันในช่วงเวลาหลังฉีดวัคซีนที่แตกต่างกันย่อมมีค่าต่างกัน (หลังฉีดครบ 1 เดือน กับหลังฉีดครบ 3 เดือนย่อมมีระดับภูมิคุ้มกันต่างกัน) ในกราฟไม่ได้บอกระยะเวลาวัดว่าวัดภูมิคุ้มกันของฉีดไฟเซอร์เมื่อเวลาใด (ภูมิคุ้มกันตกลงตามระยะเวลาที่ยาวนานขึ้นหลังจากการฉีดวัคซีน)

อ้างอิง - เมื่อเปรียบเทียบกับการทดลองที่เชื่อถือได้ที่ได้รับการตีพิมพ์ใน The Lancet (การทดลองที่วัดภูมิคุ้มกันในระยะเวลาหลังฉีดครบเท่ากัน อาจจะ 1 เดือนหรือ 2 เดือน)ในงานทดลองของ The Lancet ได้แสดงให้เห็นว่าหลังฉีดไฟเซอร์ครบ 2 เข็มภูมคุ้มกันขึ้นถึงหลักหมื่นสูงกว่าแอสตราเซเนกามาก นั่นอาจหมายความว่าการวัดภูมิคุ้มกันของคนฉีดไฟเซอร์ตามกราฟอาจวัดเมื่อฉีดไฟเซอร์ครบ 2 เข็มได้นานแล้ว ไม่สามารถนำมาเปรียบกันได้

2.ตัวเลขภูมิคุ้มกันไฟเซอร์/โมเดอร์นา 88% แต่อิสราเอลอยู่ที่ 60%

เนื่องจากอิสราเอลเป็นประเทศแรกๆที่เริ่มฉีดวัคซีน ดังนั้นการฉีดวัคซีนครบคอร์สจึงเป็นเวลานานระยะหนึ่งแล้ว ภูมิคุ้มกันจึงตกลง อิสราเอลจึงอาจต้อง Boost ด้วยเข็ม 3


3. ประเด็นอเมริกาเกิดการระบาดมากขึ้น

จากข้อมูลพบว่า 90 % กว่าเป็นกลุ่มที่ติดเชื้อเป็นคนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน (ซึ่งอาจจะมาจากทัศนคติและข้อจำกัดต่างๆ) คนที่ฉีดวัคซีนแล้วแทบไม่มีอาการ หรือมีอาการหวัดเล็กน้อย อเมริกาจึงต้องกลับไปสวมแมสก์ รักษาระยะห่าง เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้ที่ยังไม่ฉีดวัคซีน

บทสรุป ณ ปัจจุบัน วัคซีน mRNA ยังคงได้ผลมาก

วัคซินนะ ไม่ใช่ค๊อกเทล ที่จะผสมกันไปมา
แต่คนไทยไม่มีทางเลือก อย่างผมคงต้อง AZ+AZ+MD ไปก่อน

คือ ความเข้าใจ ความสัมพันธ์ระหว่างการตอบสนองของร่างกาย กับ โปรตีนหนาม ของไวรัส ยังไม่สุด
ก็ไม่ควรทำอะไรที่มันแปลกไป ตอนนี้ทำไม่ได้กับวัคซีนที่สั่งมาก็เอาที่มี ฉีดให้ประชาชนที่เสี่ยงเสียชีวิต ไปเลย
แต่ วัคซีน ที่จะนำเข้าใหม่ๆ ก็ไม่ต้องเอาตัวห่วยๆมาแล้ว หลายๆการทดลอง มันก็คือ วัคซีนอื่นๆ + mRNA ก็ต้องตามนั้น จะต้อง mRNA 2 เข็ม ก็ต้อง 2 เข็ม

ปล
วัคซีนโรคโควิด ที่แพร่หลาย เป้าหมาย ก็คือเอาโปรตีนหนาม ไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน แต่ความรู้ตรงนี้ยังไม่มีใครไปได้สุด

ถ้าตามที่ผมเข้าใจนะคับ ไม่มีวัคซีนตัวไหนประสิทธิภาพ 100%
ก็หมายความว่า ไม่มีทางที่จะป้องกันการติดเชื้อให้เหลือ 0 คนได้คับ
แต่ยิ่งประสิทธิภาพสูง ก็จะทำให้การแพร่เชื้อลดต่ำลงตามประสิทธิภาพที่สูงของวัคซีน
พอการแพร่เชื้อต่ำลง คนติดก็น้อยลง การรักษาก็จะทำได้ทั่วถึงมากขึ้น
ทุกวันนี้ก็ยังสงสัยว่าเรื่องง่ายๆ อย่างซื้อวัคซีนดีๆยังทำไม่ได้
ไม่อยากคิดถึงเรื่องยากๆอย่างอื่นเลยฮะ
ทุกวันนี้ไทยเราก็คงเป็นแค่ตัวตลกในสายตาต่างชาติแหละ คิดละเศร้า

ส่วนตัวผมว่าการระบาดระลอกใหม่นี่ น่าจะเกิดจากหลายๆปัจจัยนะครับในอเมริกา

1. เดลต้า อันนี้รุนแรงจริง แพร่ง่ายมาก ยิ่งเห็นยิ่งชัดว่ามันแพร่ได้น่ากลัวมาก แถมยังลดการป้องกันของวัคซีนดีๆไปด้วยในตัว ซึ่งโคตรผิดหลักการวิวัฒนาการ Gain + Gain แถมไม่ loss อะไรเลยนี่ วิวัฒนาการขั้นสูงเลย

2. วัคซีนยังไม่ได้มีการฉีดทุกคนจริงๆ และยังมีคนที่คิดว่าจะไม่ฉีดวัคซีนอยู่เยอะพอสมควร ถ้านับแค่การแพร่น่ะนะครับ ไม่พูดถึงวิกฤติของสาธารณสุข ซึ่งมันคนละเรื่อง

3. มันไม่มีวันที่จะจบ จนกว่าความรู้และการคาดการณ์วิวัฒนาการของไวรัสจะล่วงหน้าไปก่อน และปรับวัคซีนได้ทันและทั่วโลกในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งสองปีที่ผ่านมา ตามมาได้ดีแล้ว ต้องดูว่าจะนำไปได้ขนาดไหนและตรงขนาดไหน


ผมว่าทุกอย่างจะจบถ้ามี สองอย่าง 1. ยารักษาที่รับเข้าร่างกายและโจมตีไวรัสอย่างตรงๆ ไม่ใช่การสร้างภูมิคุ้มกัน และ 2. วัคซีนที่ป้องกันได้ 100% (อันนี้ยากมาก) แต่หลักๆ ต้องมีทั้งสองอย่าง ผมว่าจบแน่เพราะ 1. รักษาได้ง่าย เร็ว และจบทันที และ 2. ลดการแพร่กระจายต่อไม่มากก็น้อย ถ้าได้ Herd 70% จาก 1:8-9 จะลดลงมาเหลือ 1 : 2-3 ก็ลดการแพร่ได้เยอะ แล้วก็ไปล้อมเอาตรงยารักษา

ซึ่งจะบอกว่า ทั้งสองข้อนี้ มีแววว่าจะได้เห็นในปลายปีนี้ ถึง ต้นปีหน้า และนั่นคือ End game ที่แท้จริงของโรคระบาดครั้งนี้


ปล. ทั้งนี้ทั้งนั้น นี่คือที่อเมริกา ต้นเรื่องของ mRNA และยารักษาของ Pfizer นะครับ แต่เห็นแว่วๆว่า จีนเองก็จะมียารักษา เช่นเดียวกับทางนอร์เวย์(มั้ง หรือแถบๆนั้นนี่แหละ) แล้วก็มีข่าวเกี่ยวกับวัคซีนที่ออสเตรเลียว่ากันได้ 100% ในเดลต้า