"สมัยมีชีวิตเคยทำบาปไว้มาก สุดท้ายเมื่อตายไปจึงกลายเป็นเปรตกินศพ..!!"
.
เรื่องมีอยู่ว่า…ครั้งนึงเคยมีพระสงฆ์หนุ่มรูปหนึ่งได้ออกธุดงค์ไปในป่า และท่านก็เกิดหลงทางอยู่ในหุบเขา หาทางออกไม่ได้.. เวลานั้นท่านหวังเพียงว่าจะพบหมู่บ้านเพื่อพักค้างแรม แต่ฟ้าก็ใกล้จะมืดเต็มที ท่านจึงเลือกที่จะพักในป่า
จนท่านเดินไปพบกับกระท่อมหลังหนึ่ง ท่านเข้าไปหวังจะขอพักแรม แต่พอไปถึงกระท่อมกลับพบว่าเจ้าของกระท่อมหลังนี้เป็นพระรูปหนึ่ง แต่ท่านแก่ชรามากแล้ว
“ผมเดินทางมาไกลและหลงทางในเขานี้มานานแล้ว ขอผมค้างแรมคืนนี้ในกระท่อมของท่านได้หรือไม่ขอรับ”
“อย่าเลย…อาตมาต้องการความวิเวก แต่อาตมาจะบอกทางไปหมู่บ้านให้” พระชราตอบกลับมา
จากนั้นพระชราก็ชี้ทางและให้คบเพลิงกับพระธุดงค์หนุ่มไป เพื่อให้แสงสว่างในยามค่ำคืน พระธุดงค์เดินทางมาตามทางที่พระชราบอกแล้วก็พบเข้ากับหมู่บ้านกลางหุบเขา ท่านเดินเข้าไปในหมู่บ้าน ชาวบ้านเมื่อเห็นท่านต่างก็ออกมาต้อนรับเป็นอย่างดี
ท่านพักในบ้านของชาวบ้านที่หลังใหญ่ที่สุด แต่วันนั้นเป็นวันที่ทางหมู่บ้านมีงานพิธีบางอย่างพอดี พ่อของเจ้าของบ้านที่ให้พระธุดงค์พักแรมนั้น ท่านเสียชีวิตเมื่อวานและวันนี้เป็นวันจัดพิธีศพพอดี มันช่างเป็นเวลาที่เหมาะเพราะกำลังต้องการพระมาทำพิธีอยู่พอดี พระธุดงค์หนุ่มจึงเข้าร่วมงานนี้
พอทำพิธีกรรมทางศาสนาสวดส่งดวงวิญญาณไปสู่สุขคติแล้ว ลูกชายของผู้ตายก็เข้ามาพูดกับพระธุดงค์ว่า
“หลวงพี่ครับ…คือหมู่บ้านเราเมื่อมีคนตาย หลังจากทำพิธีส่งดวงวิญญาณแล้ว เราทุกคนในหมู่บ้านก็จะต้องทิ้งศพของผู้ตายไว้ พร้อมเครื่องเซ่นไหว้ ออกไปค้างคืนที่หมู่บ้านข้างๆแทนครับหลวงพี่”
“ทำไมทำเช่นนั้นเล่าโยม” พระธุดงค์ถาม
“มันเป็นประเพณีครับหลวงพี่ เราทำกันมาหลายรุ่นแล้วตั้งแต่สมัยปู่ทวด มันเป็นสิ่งที่เรามิอาจจะขัดต่อเจตจำนงของบรรพชนได้ เพราะมันจะมีสิ่งประหลาดที่น่ากลัวเกิดขึ้นครับหลวงพี่ หากเราอยู่ต่อไปมันจะเกิดอันตราย”
“ถ้าเช่นนั้นพวกโยมไปกันเถอะ อาตมาขออยู่ที่นี่เป็นเพื่อนศพก็แล้วกัน จะได้แผ่เมตตาด้วย” พระธุดงค์ยังคงยืนยัน
จากนั้นชาวบ้านทุกคนก็แยกย้ายเดินทางกันไปยังหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียง
เวลาผ่านไปชั่วประเดี๋ยว ที่นี่ก็กลายเป็นหมู่บ้านเงียบสงัดเหมือนหมู่บ้านร้างก็ไม่ผิด แม้แต่เสียงของสัตว์อย่างแมลงหรือหนูก็ไม่มีให้ได้ยิน พระหนุ่มยังคงทำการสวดมนต์อยู่ในห้องที่ไว้ศพ
แล้วท่านก็ต้องลืมตาด้วยสัมผัสถึงความผิดปกติบางอย่าง เมื่อภาพที่เห็นตรงหน้าคือ ปีศาจหรือจะเรียกว่าเปรตอสูรกายก็ได้ ร่างนั้นช่างดูน่าเกลียดน่ากลัว กำลังกัดกินศพที่เพิ่งจะทำพิธีอย่างตะกละตะกลาม มันฉีกศพทั้งแขนขาและเครื่องในอย่างน่าสยดสยอง..!
พระหนุ่มเห็นดังนั้นจะหนีก็หนีไม่ได้ ราวกับต้องมนต์อะไรบางอย่าง ขยับร่างกายไม่ได้
ระหว่างนั้นท่านเห็นการกินของมันช่างน่าสยดสยอง ปากของมันที่กว้าง ลิ้นที่เลียเมือกและเลือดอย่างเอร็ดอร่อย กระดูกของศพเองมันยังกัดกินเสียงดัง กรอบ กรอบ มันควักลูกตาของศพอมไว้ในปาก แล้วแสยะยิ้มอย่างน่าสยดสยอง..
ศพของผู้ตายที่น่าสงสาร แทนที่จะได้ฝังให้ลูกหลานไว้กราบไหว้ แต่ต้องมากลายเป็นอาหารของปีศาจร้ายตนนี้ จากศพที่วางบนเตียงตบแต่งด้วยดอกไม้ บัดนี้กลับหายไปในพริบตา ไม่เหลือแม้แต่ซาก..!
ปีศาจร้ายมันลูบท้อง แต่ยังไม่วายมีเสียงท้องร้อง โคร่ก โคร่กก ดังลอดออกมา ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่ามันยังไม่อิ่ม..
มันหันไปกินเครื่องเซ่นที่ตั้งอยู่มากมาย มันเขมือบอย่างตะกละ มือของมันสาวทุกสิ่งเข้าปากอย่างไม่หยุด
พอเครื่องเซ่นหมดเท่านั้น มันก็ยังคงลูบท้อง เสียงท้องยังคงดังอยู่ แล้วมันก็เดินหายไปในความมืด...
พระธุดงค์เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็ลุกขึ้นและเดินตามไปดู ก็ไม่เห็นปีศาจตนนั้นแล้ว ท่านกลับมายังเตียงที่ไว้ศพ ท่านยกมือพนมขึ้นและสวดมนต์อีกครั้ง แผ่เมตตาให้แก่ปีศาจร้ายตนนั้น
พอรุ่งเช้าชาวบ้านกลับมาและพากันไปหาพระหนุ่ม ซึ่งท่านกำลังนั่งเตรียมของเพื่อออกเดินทางต่อ
ลูกชายของผู้ตายรีบวิ่งมาถามพระธุดงค์ว่า “หลวงพี่…โธ่หลวงพี่ คิดว่าหลวงพี่จะแย่เสียแล้ว..!”
พระหนุ่มมองไปยังห้องไว้ศพ เห็นคนในครอบครัวกำลังทำความสะอาด แต่แปลกประหลาดที่เขาไม่ได้ร้องไห้หรือโศกเศร้า เสมือนว่านี่มันเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว…
“เมื่อคืนนี้หลวงพี่คงได้เห็นอะไรที่มันน่ากลัวแล้วใช่ไหมครับ”
“โยม…อาตมาขอถามหน่วยนะ การที่ศพหายไปแบบนี้ พวกโยมไม่คิดสงสัยหรือเศร้าเสียใจเลยหรือ”
“ไม่ครับ…หมู่บ้านก็เป็นอย่างนี้ล่ะครับ ทุกคนที่ตาย ศพก็มักจะหายไป และเป็นประเพณีที่ต้องทิ้งศพไว้เช่นนี้ครับหลวงพี่ แต่ผมก็ยังประหลาดใจอยู่ จึงอยากทราบว่า มันเป็นเพราะอะไรครับ ที่ศพหายไป…?”
พระธุดงค์จึงได้บอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่พบเห็นให้ลูกชายของผู้ตายและชาวบ้านฟังถึงปีศาจที่มากินศพ แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่กลับมีสีหน้านิ่งเฉยและบางคนก็บอกว่า รู้อยู่แล้ว…
“ที่หลวงพี่เล่ามานั้น พวกเราพอทราบมาบ้างแล้วครับ ผู้เฒ่าผู้แก่เคยเล่ากันมาเหมือนกัน”
พระธุดงค์หนุ่มเริ่มคิด “แล้วพระชราที่อยู่บนเขา ท่านไม่เคยมาทำพิธีศพในหมู่บ้านบ้างเลยหรือ”
“พระที่ไหนครับหลวงพี่…บนเขานี้ไม่มีพระมาอยู่นานมากแล้วนะครับ” ชาวบ้านคนนึงตอบ
พระหนุ่มไม่พูดอะไรต่อ หลังจากนั้นท่านก็ร่ำลาชาวบ้าน แต่ท่านยังสงสัยในพระชรารูปนั้นอยู่ ท่านจึงย้อนกลับขึ้นเขาไปอีกครั้งเพื่อไปดูให้รู้แน่
พระธุดงค์หากระท่อมนั้นจนพบ พระชราก็ยังคงอยู่ในกระท่อมนั้น หากแต่ว่าท่าทีของพระชราดูเปลี่ยนไปจากตอนแรก..
“ท่านผู้ทรงศีล เป็นบุญอย่างมากที่ท่านมาเยือนกระท่อมที่ใกล้พังเช่นนี้” พระชรากล่าวทัก
“หลวงตาอย่าได้พูดเช่นนั้นเลยครับ ผมต้องขอขอบพระคุณที่ท่านชี้บอกทางไปยังหมู่บ้านให้มากกว่า ไม่เช่นนั้นผมคงไม่มีที่พักค้างแรมแน่ ๆ” พระหนุ่มตอบ
“ท่านผู้ทรงศีล…การที่ข้าน้อยมิอาจจะให้ท่านพักในกระท่อมนี้ได้ เพราะข้าน้อยเกรงว่าท่านจะไม่จำเริญตา จำเริญใจ กับข้าน้อย?!” พระชรากล่าวแล้วอยู่ๆ ก็ร้องไห้ออกมา..
“ข้าน้อยเป็นคนบาป ตายไปแล้ววิญญาณมิอาจจะไปไหนได้ นอกจากกระท่อมหลังนี้ที่ตนสร้างไว้เป็นที่ปฏิบัติกรรมฐานวิปัสสนาเท่านั้น
รูปลักษณ์ของข้าน้อยก็น่าเกลียดน่ากลัว เพราะผลกรรมทำให้ร่างของข้าน้อยกลายเป็นอสูรกายน่าเกลียดน่ากลัวและทรมานด้วยความหิวโหย เป็นเปรตที่ไม่มีใครทำบุญให้ อาศัยกินศพของคนตายเพื่อดำรงชีพ ซึ่งความจริงก็ไม่อยากจะทำเลย เพียงแต่ทนความหิวโหยไม่ไหว…ท่านผู้ทรงศีลได้โปรดช่วยข้าน้อยให้พ้นจากสภาพนี้ทีเถิด…” พระชรากล่าวขอร้อง
“ท่านก่อกรรมใดไว้ จึงต้องมารับผลกรรมเช่นนี้?” พระหนุ่มถาม
“มันผ่านมานานเหลือเกิน สมัยที่ข้าน้อยตอนยังเป็นมนุษย์เคยบวชในพระพุทธศาสนาเป็นภิกษุสงฆ์ออกธุดงค์มายังเขาลูกนี้ อาศัยพื้นที่สร้างกระท่อมนี้ขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
เมื่อชาวบ้านทราบว่ามีพระมาอยู่ที่นี่ ก็มักจะนิมนต์ไปทำการสวดส่งวิญญาณของคนตาย และพวกเขามักให้เป็นสิ่งของตอบแทน จนข้าน้อยเกิดกิเลสมากเข้าๆ จึงเรียกสิ่งตอบแทนแพงขึ้น พอตายไปก็เลยต้องมาเป็นเปรต เพราะกรรมที่เคยหากินจากงานศพนั่นเอง...”
เมื่อสิ้นคำพูดของพระชรานั้น พระธุดงค์หนุ่มก็มารู้ตัวอีกที คือร่างพระชราได้อันตธานหายไปแล้ว เห็นเพียงแต่ซากของกระท่อม และมีหลุมศพอยู่หลุมนึง ซึ่งอยู่ไม่ไกล..!
พระหนุ่มจึงทราบว่า หลุมศพนี้น่าจะเป็นของพระชรานั่นเอง..
ก่อนพระหนุ่มจะออกเดินทางธุดงค์ต่อ ก็ได้ไปเล่าสิ่งที่ตนเองเจอมาให้กับชาวบ้านแถวนั้นฟัง และท่านก็ขอให้ชาวบ้านช่วยกันประกอบความดีและแผ่ผลบุญไปถึงพระชราที่เป็นเปรตตนนั้นด้วย
และนับจากนั้นเป็นต้นมา ที่หมู่บ้านแห่งนั้นก็ไม่เคยมีเปรตมากินศพอีกเลย...
Spoil
เครดิต สยองขวัญวาไรตี้