16 ข้อคิดจากซีรี่ย์ It's Okay To not Be Okay
ต้องบอกตรงๆ ว่าสิ่งที่ดึงดูดให้ผมเริ่มดู It’s Okay to Not Be Okay ในตอนแรกก็คืองานภาพที่สวยงามราวกับเทพนิยาย แต่สิ่งที่ทำให้ผมติดซีรีส์เรื่องนี้แบบงอมแงมจริงๆ ก็คือความรู้สึกรักและผูกพันกับตัวละครที่ทำให้การเดินทางร่วมไปกับพวกเขาใน 16 อีพีของซีรีส์เรื่องนี้เหมือนกับการเดินทางเพื่อเยียวยาหัวใจตัวเองไปพร้อมๆ กัน
แม้ว่าเรื่องราวของ คังแท ซังแท และ มุนยอง จะจบลงไปแล้ว แต่ตะกอนความคิดหลายๆ อย่างก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของผม และแม้ว่าซีรีส์เรื่องนี้จะให้คำตอบหลายๆ อย่างกับเรา แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ก่อให้เกิดคำถามใหม่ๆ ที่กระตุ้นให้เราได้คิดได้ทบทวนตัวเองว่าที่จริงแล้ว ชีวิตที่มีความสุขมันคืออะไรกันแน่ ?
ในโพสต์นี้ ผมได้รวบรวมข้อคิดที่ได้จากซีรีส์ It’s Okay to Not Be Okay เอาไว้ซึ่งก็บังเอิญมี 16 ข้อตามจำนวนตอนในซีรีส์พอดี แต่แน่นอนว่าคนทุกคนก็ย่อมมีมุมมองที่แตกต่างกันในการตีความเนื้อหาของซีรีส์เรื่องนี้ และถ้าเพื่อนๆ มีมุมมองอื่นๆ เพิ่มเติมยังไงก็แนะนำกันเข้ามาได้เลยนะครับ
แต่ก่อนจะเริ่มอ่านกัน ก็อยากจะขอเตือนเอาไว้สักเล็กน้อยว่า โพสต์นี้จะมีการเปิดเผยเนื้อหาในซีรีส์เรื่องนี้เยอะมากๆ เลยครับ ถ้าหากใครกลัวสปอยก็ขอแนะนำให้แปะเอาไว้ก่อน แล้วค่อยกลับมาอ่านทีหลังตอนที่ดูซีรีส์จบแล้วก็ดีนะครับ
Spoil
เมื่อดูจากภายนอก โกมุนยองอาจจะดูเหมือนกระป๋องเปล่าที่ไร้ความรู้สึก แต่ลึกๆ แล้ว เธอกำลังแบกรับความเจ็บปวดมากมายที่ไม่มีใครมองเห็น
นิทานที่มุนยองเขียนและนิทานที่เธอเล่าให้คนอื่นฟังล้วนแต่เต็มไปด้วยตัวละครที่ขาดความรักไม่ว่าจะเป็น เด็กชายซอมบี้ที่โหยหาความอบอุ่นจากแม่ เด็กเลี้ยงแกะขี้เหงาที่ชอบโกหก หรือเด็กน้อยที่ถูกแม่ทอดทิ้งจนกลายไปเป็นปลาแองเกลอร์ และมันก็คือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นความเหงาของเธอเอง
มุนยองเป็นเหมือนทั้งนางเอกและตัวร้ายในคนๆ เดียว และการกระทำที่ไม่ดีหลายๆ อย่างของเธอรวมทั้งสิ่งที่เธอทำกับคังแทและจูรีในวัยเด็กก็ล้วนแล้วแต่เกิดจากปมปัญหาที่แม่สร้างขึ้นมา แต่เมื่อคังแทและจูรีเติบโตขึ้น พวกเขาก็เริ่มเข้าใจในความปวดร้าวที่ซ่อนอยู่ข้างหลังความก้าวร้าวที่เธอแสดงออกมา
ในวันที่มุนยองได้รับความรักและความห่วงใยจากคังแทและซังแท รวมไปถึงมิตรภาพดีๆ จากคนรอบตัว มันก็คือวันที่จิตใจของเธอได้รับการเยียวยา และค่อยๆ เปิดเผยด้านที่อ่อนโยนและเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจในตัวเธอออกมา
สิ่งนึงที่ซีรีส์เรื่องนี้บอกกับเราก็คือ มีผู้คนมากมายที่ต้องต่อสู้กับปัญหาบางอย่างในจิตใจที่เราเองก็ไม่อาจจะรู้ได้ และเราก็ยังไม่ควรจะด่วนตัดสินใครถ้าเราไม่เคยรู้ว่าชีวิตของเขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง
Spoil
ตั้งแต่เด็ก มุนคังแทก็ได้รับความคาดหวังจากแม่ให้ดูแล มุนซังแท พี่ชายของเขาที่เป็นออทิสติก และเมื่อโตขึ้น คังแทก็ได้มาทำงานเป็นผู้ดูแลในแผนกผู้ป่วยจิตเวชที่ทำงานแบบทุ่มสุดตัวเพื่อปกป้องผู้ป่วยจนตัวเองต้องบาดเจ็บอยู่เป็นประจำ
ฉากนึงที่น่าสนใจมากก็คือตอนที่แม่ของพวกเขากางร่มให้ซังแทในตอนที่ฝนตกแต่ลืมไปว่าคังแทเองก็กำลังเปียกฝนอยู่ และมันก็ทำให้เห็นว่า ลึกๆ แล้ว คังแทเองก็ต้องการให้แม่รักและใส่ใจเขาเหมือนกับที่ใส่ใจพี่ชายเหมือนกัน
บางครั้งคนที่ดูเข้มแข็งจากภายนอกก็คือคนที่จริงๆ แล้วเปราะบางที่สุด เพราะมันไม่ค่อยมีใครเป็นห่วงว่าเขายังโอเคดีอยู่หรือเปล่า และหลายครั้ง ความเจ็บป่วยทางใจก็มักจะซ่อนตัวอยู่ในคนประเภทนี้ เพราะพวกเขามักจะเก็บซ่อนความรู้สึกของตัวเองเอาไว้อย่างมิดชิดจนไม่มีใครรู้เลยว่าเขาต้องแบกรับความเจ็บปวดที่หนักหนาสาหัสแค่ไหน
คังแทคือคนที่ฉาบรอยยิ้มปลอมๆ ไว้บนใบหน้าตัวเองเสมอ มันคือรอยยิ้มที่สวนทางกับความรู้สึกในหัวใจของเขา แต่หลังจากที่เขาเปิดหัวใจให้กับมุนยอง มันก็ทำให้เขาได้ค้นพบรอยยิ้มและความสุขที่แท้จริงของตัวเองในที่สุด
Spoil
มุนซังแทคือพี่ชายของมุนคังแทที่มีอาการออทิสติก เขามีปัญหาในการติดต่อสื่อสารกับผู้คน แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็มีพรสวรรค์ในการวาดรูปที่ไม่เหมือนใคร
ซังแทคือตัวแทนของคนที่ไม่สมบูรณ์พร้อม ซึ่งหลายครั้งก็มักจะถูกมองว่าเป็นภาระของสังคม แต่ที่จริงแล้ว พวกเขาเหล่านี้กลับแฝงเร้นเอาไว้ด้วยศักยภาพที่สร้างประโยชน์ให้ผู้อื่นได้มากมาย ถ้าได้รับการดูแลและเอาใจใส่จากคนรอบข้างอย่างเพียงพอ
เราได้เห็นถึงพัฒนาการสำคัญของซังแทเมื่อเขาลุกขึ้นมาทำหน้าที่พี่ชายอย่างเต็มตัวและกลายมาเป็นคนที่ช่วยชีวิตคังแทเอาไว้จากโดฮีแจ และสิ่งที่น่าประทับใจที่สุดก็คือการที่ซังแทได้ค้นพบเส้นทางของตัวเองในตอนสุดท้ายกับการเป็นนักวาดภาพประกอบแบบเต็มตัว และมันก็คือครั้งแรกที่สองพี่น้องได้มีชีวิตของตัวเองอย่างเป็นอิสระต่อกัน
บางครั้ง ความสุขในชีวิตของคนเราก็ไม่ได้เกิดขึ้นจากความสมบูรณ์แบบเสมอไป แต่มันเกิดจากการมีใครบางคนที่รักและเข้าใจในความไม่สมบูรณ์แบบของเรา และความรักก็เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ช่วยเติมเต็มความไม่สมบูรณ์แบบได้อย่างแท้จริง
Spoil
สิ่งนึงที่คังแทสอนมุนยองก็คือการใช้อ้อมกอดผีเสื้อเพื่อปลอบโยนตัวเองเวลาที่รู้สึกควบคุมตัวเองไม่ได้ และมันก็คือสิ่งที่ช่วยมุนยองเอาไว้ในตอนที่เธอฝันร้าย
แมสเสจที่ว่าด้วยการรักตัวเองได้ถูกพูดถึงเอาไว้ในหลายตอนของซีรีส์เรื่องนี้ รวมทั้งตอนที่จูรีบอกกับคังแทว่า “ถ้าอยากจะให้คนรอบตัวเรามีความสุข เราเองก็ต้องมีความสุขเสียก่อน” เพราะเธอเข้าใจดีว่า คังแทนั้นรับบทบาทผู้เสียสละมานานเกินไปจนลืมไปว่า ตัวเขาเองก็เป็นคนนึงที่ต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่เช่นกัน
คนในครอบครัวก็เปรียบเสมือน ‘แหล่งพลังงาน’ ของกันและกัน เมื่อใครคนใดคนนึงในครอบครัวไม่มีความสุข คนอื่นในครอบครัวก็มักจะไม่มีความสุขตามไปด้วย และถ้าเราไม่หมั่นเติมพลังงานดีๆ ให้ตัวเองบ้าง เราก็ไม่อาจส่งต่อมันไปให้คนที่เรารักได้
ขนาดบนเครื่องบินก็ยังมีคำเตือนให้เราใส่หน้ากากออกซิเจนให้ตัวเองก่อนที่จะช่วยเหลือคนอื่น และมันก็เป็นความจริงสำหรับเรื่องอื่นๆ ในชีวิตด้วยเช่นกัน เพราะถ้าเรามัวแต่ดูแลคนอื่นจนลืมที่จะดูแลตัวเองแล้ว ถ้าหากว่าวันนึงเราเกิดหมดสภาพขึ้นมา แล้วใครจะมาดูแลคนที่เรารัก
ในตอนจบของเรื่อง มุนยองถามคังแทว่าเขาชอบใครมากกว่ากันระหว่างเธอกับซังแท และคำตอบของคังแทก็คือเขาชอบตัวเองมากที่สุด ซึ่งเป็นคำตอบที่น่ารักมากและมันก็ทำให้เห็นว่า ในที่สุด คังแทก็เข้าใจแล้วว่า ความสุขทั้งหมดของคนในครอบครัวมันเริ่มต้นจากความสุขของตัวเขาเอง
Spoil
นิทาน ‘เด็กน้อยผู้โตมาด้วยฝันร้าย’ ได้เล่าถึงเด็กชายที่ทุกข์ทรมานจากฝันร้ายจนต้องขอให้แม่มดช่วยลบความทรงจำที่เลวร้ายไปให้หมด และนั่นก็ทำให้เขาไม่ฝันร้ายอีกต่อไป แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขากลับเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่มีความสุข
นิทานเรื่องนี้คือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงชีวิตของสองพี่น้องคังแทและซังแทที่พยายามวิ่งหนีอดีตของตัวเอง หลังจากที่แม่ของพวกเขาถูกฆ่า แต่การวิ่งหนีก็กลับทำให้พวกเขายิ่งเจ็บปวดมากขึ้น และกลายเป็นเด็กน้อยที่จิตวิญญาณไม่เติบโต
สุดท้ายแล้ว มันก็มีแต่คนที่เก็บความทรงจำที่เจ็บปวดเอาไว้และใช้ชีวิตต่อไปให้ได้เท่านั้นที่จะแข็งแกร่งมากขึ้น มีแต่พวกเขาที่คู่ควรกับความสุขเพราะหนทางเดียวที่จะทำให้เราได้พบกับความสุขที่แท้จริงก็คือการไม่ลืมเรื่องร้ายๆ และก้าวผ่านมันไปให้ได้
Spoil
นัมจูรีคือคนที่ชวนให้มุนคังแทมาทำงานที่โรงพยาบาลจิตเวชรื่นรมย์ เธอแอบหลงรักคังแทมาตลอด แต่ไม่ว่าจะทำยังไง เธอก็ไม่อาจได้หัวใจของเขามาครอบครอง
จูรีคือสาวแสนดีที่ควรจะได้เป็นนางเอกในละครทั่วไปแต่ไม่ใช่กับซีรีส์เรื่องนี้ และมันก็เหมือนกับชีวิตจริงที่บางครั้ง ความดีอย่างเดียวก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เราชนะใจใครบางคนได้ เพราะสุดท้ายแล้ว ความรักมันก็เป็นเรื่องของหัวใจมากกว่าเหตุผล และจูรีก็ไม่ได้เป็นคนที่ไม่ดี แต่เธอแค่เป็นคนที่ไม่ใช่
คนที่ต้องชื่นชมมากๆ ก็คือ ซุนด็อก คุณแม่ของจูรีที่แม้ว่าจะรักลูกสาว แต่เธอก็ไม่ได้เข้าข้างลูกอย่างไร้เหตุผล แต่กลับมองทุกอย่างแบบกลางๆ ตามความเป็นจริงและแนะนำให้จูรีเอาความทุ่มเทไปใช้กับคนที่รักเธอดีกว่า
แม้ว่าความรักจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดหวัง แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เราควรจะหมดหวังในความรัก เราก็แค่ต้องเรียนรู้ที่จะตัดใจสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และเปิดโอกาสให้หัวใจตัวเองได้พบกับความรักที่รอเราอยู
Spoil
สิ่งสำคัญที่คุณป้าซุนด็อกทำให้ทุกคนก็คือการทำอาหารอร่อยๆ ที่มอบทั้งพลังกายและพลังใจให้กับพวกเขา จนทำให้เธอได้รับฉายาว่าเจ้าสาวหอยทาก
อาหารในเรื่องนี้คือตัวแทนของความห่วงใย ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าคังแทนั้นจะถามซังแทอยู่เสมอว่ากินข้าวแล้วหรือยัง และในตอนที่ซังแทลุกขึ้นมารับบทบาทพี่ชาย สิ่งแรกที่เขาทำก็คือการพาคังแทไปเลี้ยงข้าว นอกจากนี้ ในตอนที่ซังแทยอมรับมุนยองเป็นน้องสาว เขาก็ยังเทคแคร์เธอด้วยการป้อนไข่นกกระทาต้มซอสให้ในวันที่เธอเสียใจ
หลายครั้งสิ่งที่แสดงความรักได้ดียิ่งกว่าคำพูดก็คือการกระทำ และการกระทำเล็กๆ น้อยๆ อย่างการทำอาหาร การเลี้ยงอาหาร หรือแม้แต่การป้อนอาหารให้มันก็ทำให้เรารู้สึกอบอุ่นหัวใจได้มากกว่าคำพูดนับพัน
Spoil
ผู้อำนวยการโอจีวังคือตัวละครที่เป็นเหมือนเมนเทอร์ของซีรีส์เรื่องนี้ หน้าที่ของเขาก็คือการให้คำแนะนำต่างๆ กับทุกคน แต่คนที่เมนเทอร์ของเมนเทอร์อีกทีก็คือคุณป้าซุนด็อกที่เป็นคนให้กำลังใจผู้อำนวยการในวันที่เขาท้อแท้
หลังจากที่ผู้อำนวยการโอค้นพบความจริง เขาก็รู้สึกผิดหวังกับตัวเองอย่างหนักที่โดนคนที่เชื่อใจสุดๆ หลอก จนซุนด๊อกต้องปลอบใจว่า ใช่ว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วจะรู้คำตอบทุกเรื่องซะหน่อย คนเราก็ต้องใช้ชีวิตแบบลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ จนกว่าจะตายนั่นแหละ
ผมคิดว่านี่เป็นอีกคำพูดที่สำคัญของซีรีส์เรื่องนี้เลยเพราะมันคือสิ่งที่ตอกย้ำแมสเสจที่ว่า ไม่มีใครในโลกนี้ที่เพอร์เฟคหรอก แม้แต่ผู้อำนวยการก็ตาม และต่อมา เราก็ยังได้เห็นอีกว่า ผู้อำนวยการเองก็ยังมีปัญหาความสัมพันธ์กับลูกชาย และตัดสินใจขอโทษลูกที่มัวแต่ทำงานจนไม่ค่อยมีเวลาให้
ชีวิตมันก็คือการลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ อย่างที่คุณป้าซุนด็อกว่า และมันคงไม่มีใครในโลกนี้ที่ไม่เคยทำผิดพลาด แต่สิ่งที่สำคัญก็คือความจริงที่ว่า เราจะสามารถยอมรับความผิดพลาดของตัวเองได้อย่างกล้าหาญและเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้นได้ดีแค่ไหน
Spoil
แจซูคือเพื่อนแท้ของซังแทและคังแทที่รักพวกเขาขนาดที่ว่า เขายอมย้ายกิจการร้านอาหารของตัวเองตามไปในทุกที่ที่สองพี่น้องย้ายเมืองไป
ครั้งนึง มุนยองเคยปรึกษาแจซูเรื่องคังแท และแจซูก็ยอมรับตรงๆ ว่า บางทีเขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจคังแทสักเท่าไหร่ เพราะคังแทเป็นคนที่ไม่ค่อยเปิดเผยความรู้สึก แต่เขาก็ทำสิ่งในที่เพื่อนอย่างเขาทำได้นั่นก็คือการอยู่เคียงข้างคังแทและคอยปลอบโยนเขา
สิ่งที่มิตรภาพระหว่างแจซูและคังแทบอกกับเราก็คือ บางครั้งเพื่อนก็อาจจะไม่ใช่คนที่ช่วยแก้ปัญหาทุกอย่างในชีวิตเราได้ เพราะปัญหาหลายๆ อย่างก็เป็นสิ่งที่เราต้องผ่านมันไปด้วยตัวเอง แต่สิ่งที่สำคัญจริงๆ ก็คือการที่เขาอยู่เคียงข้างเราในช่วงเวลาแย่ๆ และทำให้เรารู้สึกว่า เราไม่ได้กำลังเผชิญปัญหาเพียงลำพัง
Spoil
อีซังอินคือเจ้าของสำนักพิมพ์ที่ดูแลผลงานของมุนยอง และเป็นคนที่คอยตามล้างตามเช็ดเวลาที่มุนยองไปก่อเรื่องตามที่ต่างๆ ดูเผินๆ ประธานอีก็คือคนที่คิดถึงแต่เรื่องเงินและผลประโยชน์ของตัวเอง แต่ที่จริงแล้ว เขาคือคนที่ห่วงใยมุนยองมากๆ คนนึง
ในวันที่มุนยองคิดจะวางปากกา ยูซึงแจบอกประธานอีว่ามันน่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้เซ็นสัญญากับนักเขียนคนอื่นบ้าง แต่ประธานอีกลับบอกว่า ที่เขาทำไปทั้งหมดนั้นไม่ใช่เพราะเงินแต่เขาทำไปเพราะเป็นห่วงมุนยอง นิทานนั้นเป็นช่องทางเดียวที่มุนยองใช้สื่อสารกับโลกได้ และการเลิกเขียนนิทานก็จะทำให้ชีวิตของเธอยิ่งแย่ลง
ในตอนสุดท้าย ประธานอีก็ยังเลือกที่จะพิมพ์หนังสือนิทานเล่มใหม่ของมุนยองแทนที่จะพิมพ์ ‘การสังหารของแม่มดตะวันตก’ ของโดฮีแจที่มีโอกาสทำเงินได้มากกว่า ถึงแม้ว่าประธานอีจะพยายามเก็บต้นฉบับหนังสือของโดฮีแจเอาไว้ แต่อย่างน้อยมันก็แสดงให้เห็นว่า เขาแคร์ความรู้สึกของมุนยองมากแค่ไหน
Spoil
ฉากที่สะเทือนใจมากในซีรีส์เรื่องนี้ก็คือตอนที่ซังแทตกลงไปในหลุมน้ำแข็งและคังแทเกิดลังเลขึ้นมาว่าเขาควรจะช่วยพี่ชายหรือไม่ แม้ว่าสุดท้ายแล้ว เขาจะตัดสินใจช่วยซังแทแต่มันก็กลายเป็นความรู้สึกผิดที่ติดอยู่ในใจไปทั้งชีวิต และมันก็เป็นฉากที่ทำให้เราได้เห็นว่าแม้แต่คนที่จิตใจดีอย่างคังแทก็ยังมีความคิดดาร์กๆ ในหัวได้เหมือนกัน
โดฮีแจคือตัวละครที่คอยกระตุ้นด้านมืดในตัวทุกคนออกมา และคนที่ได้รับผลพวงจากมันมากที่สุดก็คือมุนยอง ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าเธอมีแนวโน้มที่จะใช้ความรุนแรงอยู่บ่อยๆ และการที่คังแทคอยเอาตัวเองมารับมีด รับปากกาของมุนยองก็คือสิ่งที่ป้องกันไม่ให้เธอกลายไปเป็นปีศาจอย่างที่แม่ของเธออยากให้เป็น
ผีเสื้อในซีรีส์เรื่องนี้เป็นตัวแทนของทั้งด้านมืดและด้านสว่าง เพราะเราจะแปลความหมายว่ามันคือ ‘ไซโค’ หรือ ‘การเยียวยารักษา’ ก็ได้ และมันก็ทำให้นึกไปถึงคำพูดจาก Harry Potter ที่ว่า “คนทุกคนต่างก็มีด้านสว่างและด้านมืดในตัวเองด้วยกันทั้งนั้น แต่สิ่งสำคัญก็คือเราจะเลือกใช้ด้านไหนมากกว่ากัน”
สุดท้ายแล้ว เราทุกคนต่างก็เป็นมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์แบบและมันก็คงไม่มีใครที่จะคิดบวกได้อยู่ตลอดเวลา แต่มันสำคัญที่ว่าเราจะควบคุมกระทำของตัวเองได้ดีแค่ไหน และนั่นก็คือสิ่งที่บ่งบอกตัวตนที่แท้จริงของเรา
Spoil
It’s Okay to Not Be Okay คือซีรีส์ที่พูดถึง Toxic Parenting (พ่อแม่ที่เป็นพิษ) ในหลายๆ รูปแบบและถ่ายทอดให้เราได้เห็นว่า ลึกๆ แล้วในตัวเราทุกคนยังมี ‘เด็กน้อย’ คนนึงที่ยังคงโหยหาความรักจากพ่อแม่อยู่เสมอ แม้ว่าเราจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม
เคสที่หนักสุดก็น่าจะเป็นโกมุนยองที่เติบโตมากับแม่ที่มองว่าเธอคือผลงานสร้างสรรค์ของตัวเองและบังคับจิตใจเธอทุกอย่าง แต่ที่เจ็บกว่าการโดนแม่ทำร้ายจิตใจก็คือการที่พ่อเพิกเฉยต่อสิ่งที่เกิดขึ้นและไม่ลุกขึ้นมาปกป้องเธออย่างที่ควรจะทำ
นอกจากนี้ เราก็ยังเห็นเคสของคนไข้อื่นๆ อีกมากมายทั้งพ่อที่พยายามฆ่าลูกสาวตัวเองในอีพีแรก พ่อของควอนกีโดที่มองว่าลูกเป็นคนไร้ประโยชน์ หรือยูซอนแฮที่กลายเป็นโรคหลายบุคลิกเพราะโดนแม่ทำร้ายในวัยเด็ก
สำหรับมุนคังแท แม้ว่าเขาจะมีแม่ที่จิตใจดี แต่ความคาดหวังที่มีในตัวคังแทและคำพูดที่เคยบอกกับเขาว่า เธอให้คังแทเกิดมาก็เพื่อปกป้องซังแท มันก็กลายเป็นแผลในใจที่ทำให้เขาเลือกที่จะเก็บกดความรู้สึกของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ซีรีส์เรื่องนี้ได้เตือนใจให้พ่อแม่ทุกคนได้เห็นว่า ทุกๆ คำพูด ทุกๆ การกระทำของพ่อแม่มันส่งผลบางอย่างกับจิตใจของลูกอยู่เสมอ แม้แต่คำพูดหรือการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ที่คิดไม่ถึงก็ตาม และมันก็อาจจะกลายเป็นบาดแผลที่ติดอยู่ในใจลูกไปทั้งชีวิต
ในทางกลับกัน การกระทำดีๆ หรือคำพูดดีๆ ของพ่อแม่ก็จะกลายความทรงจำดีๆ ที่จะอยู่กับลูกไปตลอดเช่นกัน เช่นเดียวกับความทรงจำในตอนที่พ่อเล่านิทานให้มุนยองฟัง ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญของเธอไปตลอดทั้งชีวิต
Spoil
‘มังแท’ คือตุ๊กตาไล่ฝันร้ายที่เป็นตัวแทนของความรักที่มุนคังแทมีให้กับทั้งมุนซังแทและโกมุนยอง
การทะเลาะกันเพื่อแย่ง ‘ตุ๊กตามังแท’ ของมุนยองและซังแทเป็นฉากนึงที่ตลกมาก แต่ในความตลก มันก็คือสิ่งที่บอกใบ้ถึงปมขัดแย้งของมุนยองและซังแทเกี่ยวกับคังแทที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมา และความรักที่ล้นเกินของทั้งคู่ก็คือสิ่งที่ฉีกคังแทออกเป็นเสี่ยงๆ เช่นเดียวกับตุ๊กตามังแท
ด้วยปมในวัยเด็กของทั้งคู่ ซังแทเองก็กลัวว่าจะถูกน้องทอดทิ้ง และมุนยองเองก็เป็นโรคขาดความรัก และนั่นก็ทำให้ทั้งคู่กลัวว่าอีกคนจะมาแย่งความรักของตัวเองไป จนทำให้คังแทต้องเจอกับคำถามที่น่าลำบากใจอยู่เสมอว่า ระหว่างมุนยองและซังแท เขารักใครมากกว่ากัน
สิ่งสำคัญที่พวกเขาทั้งสองคนได้เรียนรู้ก็คือ ความรักนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะลดน้อยลงไปเมื่อมันถูกแบ่งปันออกไป แต่มันกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้น เพราะมุนยองเองก็ได้มีพี่ชายเพิ่มขึ้นอีกคน และซังแทก็ได้มีน้องสาวเพิ่มขึ้นอีกคนเพื่อมาช่วยดูแลกันและกัน และนั่นก็ยิ่งทำให้พวกเขาทุกคนมีความสุขเพิ่มมากขึ้น
Spoil
มุนยองเติบโตขึ้นมากับแม่จอมบงการที่มองเธอเป็นแค่ผลงานชิ้นนึง แต่สิ่งที่ทำให้เธอเจ็บปวดยิ่งกว่าการโดนแม่ทำร้ายจิตใจก็คือความรู้สึกที่ว่าพ่อไม่ยอมปกป้องเธอ
การได้มาพบกับมุนคังแทและมุนซังแทคือจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของมุนยอง เพราะมันคือครั้งแรกที่เธอได้พบกับ ‘ครอบครัว’ ที่แท้จริง นั่นก็คือคนที่พร้อมที่จะดูแลและปกป้องเธอ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เกี่ยวพันกับเธอทางสายเลือดก็ตาม
ครอบครัวก็เหมือนกับ ‘การวิ่งสามขา’ อย่างที่ผู้อำนวยการโอเคยพูดไว้เพราะมันคือการที่คนแต่ละคนต้องพึ่งพากัน ต้องยืนหยัดเพื่อกันและกันในวันที่อีกคนล้มลง และแม้ว่าคนทุกคนจะอ่อนแอและไม่สมบูรณ์แบบ แต่ตราบใดที่พวกเขายังคงดูแลกันและกัน ทุกคนก็จะไม่เป็นอะไร
ในช่วงอีพีหลังๆ เราได้เห็นพัฒนาการที่สำคัญมากๆ ของตัวละครในซีรีส์นี้ เมื่อคนที่ดูเข้มแข็งมาตลอดอย่างคังแทและมุนยองนั้นเริ่มเปิดเผยด้านที่อ่อนแอของตัวเองออกมา ในขณะที่คนที่ดูเหมือนจะเป็นภาระของคนอื่นมาตลอดอย่างซังแทนั้นกลับกลายเป็นคนที่ยืนหยัดขึ้นมาดูแลปกป้องน้องๆ ทั้งสองอย่างเข้มแข็ง
ครอบครัวที่แท้จริงก็คือคนที่เราอยากจะปกป้องดูแลเขา คนที่ทำให้เราอยากเป็นคนที่เข้มแข็งมากขึ้น แต่แน่นอนว่าไม่มีใครที่จะเข้มแข็งได้อยู่ตลอดเวลา และในช่วงเวลาที่เราอ่อนแอ คนในครอบครัวนั่นแหละก็คือคนที่จะย้อนกลับมาดูแลและปกป้องเรา
Spoil
คำพูดนึงในซีรีส์เรื่องนี้ที่ผมชอบมากก็คือคำพูดที่ว่า “ร่างกายโกหกไม่ได้ เวลาเจ็บน้ำตามันก็้เลยไหลออกมา แต่หัวใจของคนเรามันชอบโกหก บางครั้งมันก็ยังทำเป็นเงียบแม้ว่าจะเจ็บอยู่ก็ตาม”
ปัญหาสำคัญของการมีบาดแผลในจิตใจก็คือ คนอื่นมักจะทำเหมือนว่าเราไม่เป็นอะไรทั้งๆ ที่มันเป็น แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือการที่เราโกหกตัวเองว่าเราไม่เป็นอะไร และสิ่งสำคัญที่ซีรีส์เรื่องนี้บอกกับเราก็คือ มันโอเคนะ ถ้าบางครั้งเราจะรู้สึกว่าตัวเองไม่โอเค
อารมณ์ต่างๆ ของมนุษย์ต่างก็มีบทบาทหน้าที่ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความโกรธที่ช่วยปกป้องเราจากการโดนเอารัดเอาเปรียบ ความกลัวที่ป้องกันเราจากอันตรายต่างๆ หรือความเศร้าที่ช่วยให้เราเยือกเย็นลงในเวลาที่กำลังเจ็บปวด และเราก็ควรที่จะโอบรับอารมณ์เหล่านี้ และพยายามฟังสิ่งที่มันบอกกับเรา มากกว่าที่จะเพิกเฉยต่อมัน
เราทุกคนต่างก็เป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อและมันก็คงไม่มีใครที่จะร่าเริงได้อยู่ตลอดเวลา สุดท้ายแล้ว ความสุขที่แท้จริงมันคงไม่ได้เกิดจากการวิ่งหนีความทุกข์ แต่มันเกิดจากการเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันอย่างเข้าใจ และใช้มันเป็นบทเรียนเพื่อช่วยให้เราเติบโตขึ้น
Spoil
เรื่องราวใน It’s Okay to Not Be Okay จบลงอย่างงดงามด้วยนิทาน ‘การผจญภัยตามหาใบหน้าที่แท้จริง’
ตลอดการเดินทาง หนุ่มน้อยสวมหน้ากาก เจ้าหญิงกระป๋องเปล่า และคุณลุงกล่อง ได้พบกับตัวละครมากมายซึ่งก็มีที่มาจากคนไข้ในโรงพยาบาลจิตเวชรื่นรมย์ และทุกครั้งที่พวกเขาได้ช่วยใครบางคน บางส่วนในตัวเขาก็ได้รับการเยียวยาไปพร้อมๆ กัน
ในตอนจบของนิทาน คุณลุงกล่องได้รวบรวมความกล้าเพื่อถอดกล่องที่คลุมหัวตัวเองออกเพื่อช่วยหนุ่มน้อยและเจ้าหญิงออกมาจากโพรงตุ่น และใบหน้าที่เปรอะเปื้อนของลุงกล่องก็ทำให้ทั้งสองคนได้หัวเราะออกมาจนทำให้หน้ากากของหนุ่มน้อยหลุดออกมา และกระป๋องเปล่าของเจ้าหญิงก็ร่วงหล่นลงไป และพวกเขาทุกคนก็ได้พบกับความสุข
สิ่งสำคัญที่พวกเขาค้นพบก็คือ ที่จริงแล้วสิ่งที่แม่มดเงาขโมยไปจากพวกเขาไม่ใช่ใบหน้าที่แท้จริงของพวกเขาทั้งสามคน แต่มันคือความกล้าที่จะตามหาความสุขต่างหาก
หลายครั้ง อุปสรรคที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เราไม่มีความสุขก็คือการคิดว่าตัวเราเองไม่คู่ควรกับความสุข การคิดว่าตัวเราเองไม่คู่ควรที่จะได้รับความรัก และนั่นก็ทำให้เราเลือกที่จะปิดกั้นตัวเองจากอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ และปิดกั้นตัวเองจากมิตรภาพและความรักจากคนที่อยู่รอบตัวเรา
แต่เมื่อไหร่ที่เรากล้าที่จะปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากกรอบความคิดที่จำกัดเราอยู่ เมื่อไหร่ที่เรากล้าที่จะเปิดหัวใจตัวเองให้กว้างขึ้น เราก็อาจจะได้พบว่าความสุขนั้นไม่ได้อยู่ไกลตัวอย่างที่คิดเลย
ขอบคุณ Cr.
https://www.facebook.com/tumruenglen/posts/1662181467294178