ขอบคุณครับ

ตอบถามที่ผมเข้าใจนะครับ

DEV = Developer ตรงๆตัวเลยผู้พัฒนา ก็คือคนเขียนโปรแกรม เขียนโค้ด

SIT = System Integration Test คือตัวอย่างโปรแกรมๆนึงถูกเขียนขึ้นมา ต้องมีแผนก Tester คอยช่วงเทสความถูกต้องของโปรแกรมก่อนการส่งไปให้ลูกค้า ส่วนๆนี่ผมจะเรียกว่า SIT

UAT = User Acceptance Test คือในส่วนของการเทสใช้โปรแกรมกับ user ผู้ใช้งานโดยตรง มีการเซ็นต์รับว่าโปรแกรมถูกต้องหรือเปล่า หรือต้องเปลี่ยนตรงนู้นตรงนี้อีกก็ว่าไป เลยเรียกว่า UAT

ตอบถามที่ผมเข้าใจนะครับ

DEV = Developer ตรงๆตัวเลยผู้พัฒนา ก็คือคนเขียนโปรแกรม เขียนโค้ด

SIT = System Integration Test คือตัวอย่างโปรแกรมๆนึงถูกเขียนขึ้นมา ต้องมีแผนก Tester คอยช่วงเทสความถูกต้องของโปรแกรมก่อนการส่งไปให้ลูกค้า ส่วนๆนี่ผมจะเรียกว่า SIT

UAT = User Acceptance Test คือในส่วนของการเทสใช้โปรแกรมกับ user ผู้ใช้งานโดยตรง มีการเซ็นต์รับว่าโปรแกรมถูกต้องหรือเปล่า หรือต้องเปลี่ยนตรงนู้นตรงนี้อีกก็ว่าไป เลยเรียกว่า UAT

Dev ช่วงพัฒนาครับ

Sit คือให้ user เล่นได้ครับอารม ส่งงาน dev

Uat เทสก่อนขึ้น production ครับ

Dev = play ground ของ developer โปรแกรมอาจไม่เป็นชิ้นเป็นอันก็ได้

SIT = System Integration Testing คือที่ๆ โปรแกรมมันรันได้ตาม requirement ไหม (พวก SA, BA หรือ PM จะมาดูความคืบหน้าในนี้)

UAT = User Acceptance Testing เอาไว้ให้พวกผู้ใช้งานระบบทดสอบใช้งานเสมือนจริง

สรุป
dev = สร้าง
sit = ทดสอบ
uat = ส่งมอบ (ลูกค้าลองใช้งานแล้วผ่าน/ไม่ผ่าน....ผ่านก็เซ็น ไม่ผ่านก็ตีกลับ)

เพิ่มเติมส่วนของ SIT
อันนี้คือเทสต์ทั้งระบบ ดูทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง ว่ากระทบ กระเทือนอะไรมั้ย

เมื่อเรียบร้อยแล้ว ครบถ้วน ตามที่ตั้งใจจะส่งงาน
(ถ้าไม่ OK ก็ตีกลับไปแก้ bug อีกที, จะย้อน phase หรือไม่ก็แล้วแต่รูปแบบของแต่ละที่)
...ก็กวักมือเรียกให้ User มาทำ UAT อีกที
เพื่อให้ User ได้เห็นว่า feature ต่าง ๆ ที่เราคุยกัน

ที่ User จะมี check list ว่า มันต้อง ๆ ๆ ๆ แต่ละหัวข้อ
(น่าจะเราทำให้ User confirm list อีกทีแหล่ะครับ)

User จะได้เล่น Program ของเราก็ที่ phase นี้แหล่ะ
(ไม่นับนอกรอบ ที่อาจจะเปิดให้ User เข้ามาแจมใน project นะครับ)


ตามปกติ SIT กับ UAT จะเป็นระบบที่ setup ลงคนละ Environment กัน
เช่น
SIT set ลงเครื่องของ บ. เรา เพราะเทสต์เอง
แต่พอทำ UAT ก็ set ลงเครื่องลูกค้า ที่เค้าอาจจะเตรียมไว้ให้
ซึ่งจะเป็น environment ตามที่ user อยากได้หรือใกล้เคียงที่สุด

แต่บางครั้ง SIT กับ UAT อาจจะเป็นระบบเดียวกัน ก็เป้นไปได้สำหรับบาง บ.
แล้วแต่ ไม่มีอะไร fixed

ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และสันดานของแต่ละพื้นที่

จริงๆ Dev+Unit Test ทำเองทดสอบเอง

SIT การเอาส่วนที่พัฒนาไปต่อกับระบบเติมที่มีแบบไร้รอยต่อไม่มีปัญหาเรื่องการสื่อสาร

UAT คือผู้ใช้งานจริง ทำงานจริงตามสถานะการณ์ เพื่อรับรองว่าระบบสมบูรณ์

เพิ่มอีกอัน PVT ทดสอบหลังจากขึ้นระบบเสร็จหมาดๆ

DEV --> Developer ทีมพัฒนาโปรแกรม
SIT --> System Integration Test การทดสอบโปรแกรม เน้นการทดสอบร่วมกับระบบอื่นๆ สมมติว่าจ้าง ซื้อโปรแกรม ชำระเงินผ่านQR ผ่านApplication จะต้องนำระบบมาเชื่อมต่อกับ ระบบซื้อขายเดิมๆ ที่เป็นการยิงบาร์โค้ด หรือคีย์รหัสแบบเดิมให้ได้

UAT --> User Acceptance Test การทดสอบระบบ โดยเน้นการทดสอบรวมกับระบบอื่นๆ เชื่อมต่อให้สมบรณ์เรียบร้อย และทำการทดสอบตาม ToR ที่ร่างเป็นข้อๆอะครับ เช่น ข้อการทดสอบการซื้อสินค้า ชนิดเดียวกัน10ชิ้นสามารถรับ ส่วนลด 10% การทดสอบจะต้องทำงานทดสอบให้ได้ตามเงื่อนไขเลยครับ

ขยายความเพิ่มเติมครับ
บริษัทพัฒนาโปรแกรมจะมี process มากกว่าน้้นขึนกับกระบวนการพัฒนาครับ เช่น Requirement --> System Design --> Module Design --> Functional Design --> Coding --> Functional Test--> Module --> System Test
ให้มั่นใจว่า ออกแบบพัฒนาโปรแกรทำงานได้ตามนั้นจริงไหม

เมื่อไปต่อกับระบบอื่น หรือส่งลูกค้า
๊UAT แล้วส่วนใหญ่จะมี FAT ต่ออีกครับ
เท่าที่เจอFAT จะเป็นเต็มรูปแบบเลยครับ มีทดสอบหัวข้อแบบ ระบบสามารถรองรับการconcurrent transaction 10,000 หรือ ระบบต้องมีการทำ Load Balance ..... ในขณะที่หัวข้อUAT อาจต้องนำมาทดสอบซำ้ไปด้วย โดยเพิ่มรายละเอียดไปอีกนิด

ผมสงสัยมานานละ transaction ในศัพท์ไอทีมันแปลว่าอะไร

ถ้าเป็นทางการเงินมันแปลว่า ธุรกรรม(ทางการเงิน)

แต่พอเป็นศัพท์ไอที ผมแปลไม่ถูก ไอ่คำว่า transaction ในที่นี้

UAT ไม่เชิงส่งมอบครับ เป็นการให้ User เทสการใช้งานเฉยๆ ว่าถูกต้องตาม requirements หรือเปล่าถ้าตามก็เซ็นรับรู้หรือรับทราบ ส่งมองจะต้องทำเป็นเอกสารมาอีกฉบับนึงที่รวมรวมทุกอย่างก่อน Go-Live ครับ UAT Sign-Off

มันก็คือธุรกรรม(ทาง Programming)
เช่น มีคน connect เข้ามา, Request ข้อมูล, ส่งกลับไป, เก็บเข้า DB, Query ออกมา เป็นต้นครับ

เหมือนเป็น activity เลยครับ

1 activity(กิจกรรม) ที่เกิดขึ้น = 1 transaction

หาอ่าน sdlc ละเอียดๆครับ