เอาไว้อ่านเพลิน ๆ เผื่อใครไม่รู้จัก
ปิดฉากบัลลังก์เจ้าพ่อเมืองกรุงสยอง "เฮียเหลา" หรือ "แคล้ว ธนิกุล"
ยุทธจักรผู้กว้างขวาง เมืองหลวง ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของ “แคล้ว ธนิกุล” ผู้สามารถกุมกลไกได้ แทบครบวงจรสมบูรณ์แบบ ตามฉบับแห่ง “ก็อดฟาเธอร์” อย่างแท้จริง เพราะเขาคือ...เจ้าพ่อเมืองกรุงหมายเลข 1 ตัวจริงเสียงจริงในสมัยเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา..แต่ในที่สุดต้องมาจบชีวิตตามวิถีเส้นทางโคจรของผู้กว้างขวาง เหมือน อดีตบรรดาเจ้าพ่อรายอื่น ๆ
รายการปิดฉากเจ้าพ่อเมืองหลวง “แคล้ว ธนิกุล” อุบัติขึ้นเมื่อค่ำวันที่ 5 เม.ย. 2534 เมื่อตำรวจ สภ.อ.สามพราน จ.นครปฐม รับแจ้งมีเหตุยิงกันตาย 2 ศพบริเวณหลัก กม.ที่ 54-55 ถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรี หมู่ 1 ต.ทรงคะนอง อ.สามพราน จ.นครปฐม โดยผู้บังคับบัญชาสมัยนั้นมี พ.ต.อ.สุรัตน์ ยุทธโยธินผกก.ภ.นครปฐม พ.ต.ท.มาโนช จรดล สวญ. พ.ต.ท.มนต์ชัย ตั้งมั่น สวป.รีบออกไปสอบสวน
ที่ เกิดเหตุพบรถปิกอัพอีซูซุสีดำ ทะเบียน 1ณ-5228 กรุงเทพมหานคร ข้างรถเขียนว่า “สมาคมมวยสมัครเล่นแห่งประเทศไทย” ด้วยแรงอานุภาพของกระสุนอาวุธสงครามทั้ง เอ็ม 16, อาก้า และเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ทำให้รถพรุนเป็นรูโหว่ไป ทั้งคัน ภายในที่นั่งคนขับพบศพนายสกุลยุทธ ทองสายพาน หรือ “ตี๋ ดำเนิน” ฉายาในวงการรับจ้างฆ่าคน “มือปืนร้อยศพ” นอนตายในสภาพหัวพิงพวงมาลัยถูกกระสุนปืนกะโหลกเปิดมันสมองไหลนอง มือขวากำปืนขนาด 11 มม. กระสุนเต็มแมกกาซีน
ส่วนที่นั่งเบาะหลังพบ ศพ นายแคล้ว ธนิกุล หรือ “เฮียเหลา” นายกสมาคมมวยสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ผู้เป็น “เสาหลัก” ของวงการหมัดมวยถูกกระสุนปืนพรุนไปทั้งร่าง นอนเสียชีวิตซุกอยู่กับเบาะเลือดโชกไปทั่วตัว จากการตรวจสอบภายในรถของเหยื่อกระสุนปืนบริเวณท้ายรถพบกองเลือดนองพื้น น่าเชื่อว่ามีผู้บาดเจ็บอีก 1 คน แต่หายตัวไปอย่างปมปริศนามีพิรุธ ซึ่งตำรวจเชื่อว่า น่าจะเป็น กุญแจไข ไปสู่คดี
ทันทีที่เจ้าพ่อคน ดังถูกปลิดชีพ ทาง พล.ต.อ. สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ อ.ตร.ในสมัยนั้น ส่งมือสอบสวน พล.ต.ท.สนั่น ตู้จินดา ผู้ช่วย อ.ตร.พร้อมทีมสีกากีฝีมือดีลงพื้นที่สอบพยานแวดล้อม-พยานปากในที่เกิดเหตุ เพื่อติดตามแกะรอยหาเบาะแสของทีมนักฆ่าทมิฬ ที่ปฏิบัติการโจมตีเหยื่อเหมือนกับการถูกฝึกฝนมาจากหน่วยรบบางหน่วย ด้วยการติดตามไล่ล่าเป้าหมาย เมื่อถึงพื้นที่ที่ลงมือสังหาร ก็จะจัดการเก็บเหยื่อทันควันหรือภาษาทหาร “คิลลิ่งโซน”
ตามแนวทาง การสอบสวนของตำรวจ พบว่าก่อน “เฮียเหลา” จะมาพบจุดจบอย่างสยองขวัญ ได้เดินทางไปร่วมพิธีเปิดการแข่งขันมวยสากลสมัครเล่นชิงถ้วยพระราชทานคิง สคัพ อาคารกีฬาเวสน์ สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่นดินแดง หลังเสร็จสิ้น นายแคล้วเดินออกจากสนามขึ้นนั่งรถมุ่ง หน้าไป จ.สมุทรสงคราม
พยาน ปากเอกให้การกับทีมคลี่คลายคดี ว่ารถของทีมนักฆ่าที่ไล่ล่าชีวิตปลิดชีพ “เฮียเหลา” เป็นรถปิกอัพสีดำ 2 คัน ไล่ติดตามรถปิกอัพของเหยื่อทันที ที่รถวิ่งเข้าประกบ มือปืนที่นั่งอยู่ในกระบะหลังเป็นชายวัยฉกรรจ์ มีผ้าคลุมหน้า “สีแดงคล้ายไอ้โม่ง” คว้าปืนสงครามออกสาดกระสุนถล่มใส่เป้าหมายจนตายด่าวดิ้นดังกล่าว
อย่าง ไรก็ตามช่วงที่นายแคล้วถูกล่าสังหาร เป็นช่วงตรงกับที่ สภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) กุมอำนาจรัฐอยู่ โดยมี พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ผบ.ทหารสูงสุด นั่งเป็นประธาน รสช. มีนโยบายให้กรมตำรวจ “สยบ เจ้าพ่อ” จัดการกับพวกมาเฟียอิทธิพลและบรรดานายบ่อนมีคำสั่งให้ธนาคารพาณิชย์และ สถาบันการเงิน จัดทำรายงานสถานภาพทางการเงินของผู้มีอิทธิพลใน ขั้นต้นจำนวน 7 คน ซึ่ง 1 ใน 7 คน มี นายแคล้ว ติดร่างแห อยู่ใน “บัญชีดำ” ด้วย
เค้า ร่ำลือกันว่า ไอ้คนที่รอดตาย หน่ะ เป็นสายให้กะ รสช. เองด้วย เอ้อ... ลืม คุยไป วันนั้น เฮียแคล้ว ก่อนจะออกจาก นิมิบุตร เพราะมีมวยคิงส์คัพ แกยังเดินมายืนเยี่ยว ในห้องน้ำ ข้างๆ กระพ้ม เลยครับ ก่อนแก จะออกเดินทางไปต่อไป สมุทรสงคราม ซึ่งมีโปรแกรม เขาทราย จะขึ้นชกหน่ะ
ระหว่าง ทางมาถึงจุดเกิดเหตุ ก็เข้าโซนสังหาร หรือ ที่ภาษาทหาร เค้าเรียก "คิลลิ่ง โซน" นั่นแหละ การทำงาน แบบ มืออาชีพ ก็ฝึกมาอย่างดี เพราะใช้หน่วยคอมมานโด นี่ครับ รสช. สั่งมา ให้ปิดบัญชีดำ ซะ เนื่องจาก เฮียแคล้ว กะลังจะล้างมือ จากวงการนักเลง เพื่อโจนเข้าเล่นการเมือง
ปืนกลนับสิบ รัวกระสุนนับร้อย เอ็ม-79 ซัดก่อนตูมแรก เข้าหน้ารถ ถูกคนขับคู่ใจ หัวหายไปแถบนึง ที่เหลือรถเข้ากระกบ มือสังหารคนหนึ่งโดดขึ้นหลังคา เพื่อยิงกราดลงมาจากด้านบน เพราะข่าวว่าเฮียแคล้ว แกหนังเหนียว โดนระเบิดที่ลุมพินี มาแล้ว ยังรอดเลย
เฮียแคล้ว ก็นักเลงพอตัว กัดฟันอดพระสมเด็จฯ ใส่ปาก แต่ คนถึงคราว คราวจะถึงฆาต และพระท่าน ก็ไม่ช่วย นักเลงมือเปื้อนเลือด ตลอดไป ในที่สุด เฮียฯ ก่อนจะสิ้นใจ ก็บอกลูกน้องว่า "กู... ไม่ ... ไหว แล้ว" จากนั้น ก็สิ้นลม อยู่ในรถนั่นแหละ
เหตุการณ์นั้น มีเพียงลูกน้องคนสนิทอีกคน นั่นแหละ ที่นั่งท้ายรถ โดดหนีเข้าป่าหญ้า รอดตายไปได้ราวปาฏิหาริย์
จริงๆ ก็ไม่น่าเป็น ปาร์ฏิหาริย์ อะไรหรอก ถ้าไม่เป็นสาย.. ให้ เจ้าหน้าที่ หน่ะ
แคล้วเคยโดนเต็งโก้ ขอนแก่น ลอบยิง และวางระเบิด ที่สนามมวย 2 ครั้ง ซึ่งครั้งนึงคนที่ถูกลูกหลงเสียชีวิต คือ คนนามสกุล โลหะชาละ เป็นที่ฮือฮาในหมู่นักเลงสมัยนั้นอย่างมาก เพราะเป็นการกระทำที่อุกอาจ มีรัฐมนตรี และ นายตำรวจหลายท่านอยู่ในเหตุการณ์ แต่เต็งโก้ก็ยังกล้าลงมือ แต่แคล้วรอดมาได้ทุกครั้ง สุดท้ายกลับเป็นไอเต็งโก้ ที่โดนแคล้วเอาคืนถึงตายที่ขอนแก่นบ้านเกิด
ส่วนเรื่องพระที่แคล้ว ห้อย ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ถ้าใครเห็นศพของตี๋ดำเนิน กับศพเฮียเหลา จะเห็นได้ชัดว่าต่างกันราวฟ้ากะเหว ตี๋ดำเนิน หัวสมองแบะเป็น 2 ซีก เหมือนลูกแตงโม สมองเละกระจาย แต่แคล้วมีแค่เลือดท่วมตัว
ก่อนตายมี ลูกน้องอีกคนที่ไม่โดนยิง (ว่ากันว่าเป็นสาย) บอกให้แคล้วหนีไป แต่เฮียเหลาหนีไม่ไหว เอาพระมาอมในปาก บอกว่ากูไม่ไหวแล้ว (คุณ)ไปเหอะ
อาชญากรรม จากมือปืนรับจ้าง เป็นอาชญากรรมที่มีความรุนแรง เนื่องจากเป็นสิ่งที่ทำลายความสงบสุข ทำให้สังคมขาดความมั่นคงในด้านชีวิต ทรัพย์สินของบุคคล ส่วนรวม ตลอดจนประเทศชาติ มือปืนรับจ้างส่วนใหญ่ มักมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลัง โดยให้การช่วยเหลือในเรื่องการ หลบซ่อน ให้ความคุ้มครองในการหลบหนี เพื่อให้หลุดพ้นจากการจับกุมจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อหลบหนีคู่อริ รวมทั้งญาติพี่น้องของเหยื่อที่ติดตามล้างแค้น (พงษ์ศักดิ์ ขำเพชร, 2540:150) นับว่าปัญหาจากอาชญากรรมมือปืนรับจ้างเป็นปัญหาหนึ่งที่ยากที่จะกำจัดให้หมด สิ้นไป เนื่องจากมีการโยงใยไปถึงผู้มีอิทธิพลในวงการต่าง ๆ ทั้งวงการธุรกิจ วงการการเมือง รวมทั้งวงการหมัดมวย ดังเช่น กรณีนายแคล้ว ธนิกุล หรือ “เฮียเหลา” ซึ่งเกิดจากฝีมือของมือปืนรับจ้าง เมื่อค่ำวันที่ 5 เมษายน 2534 เกิดเหตุยิงกันตาย 2 ศพ บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 54-55 ถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรี หมู่ 1 ตำบลทรงคะนอง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ที่เกิดเหตุ พบศพ 2 ศพ ในรถปิกอัพอีซูซุ สีดำ ทะเบียน 1 ณ-5228 กรุงเทพมหานคร หนึ่งในจำนวน 2 ศพนั้นคือ นายแคล้ว ธนิกุล หรือ “เฮียเหลา”
นายกสมาคมมวยสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ผู้เป็น “เสาหลัก” ของวงการหมัดมวย ซึ่งเมื่อพลิกแฟ้มประวัติของ “แคล้ว ธนิกุล” แล้ว จะพบว่า เขาถูกปองร้ายหมายชีวิตจากคู่อริ ถึง 2 ครั้ง 2 ครา คือ ในปี 2524 และปี 2525
(เดลินิวส์ : 12 มิ.ย. 2547)
พลิกแฟ้มคดีดัง : ปิดตำนานเจ้าพ่อสะพานเหลือง "เต็งโก้" ปรปักษ์ตัวเอ้ "เฮียเหลา สวนมะลิ"
เหตุระเบิดในสนามมวยราชดำเนินและลุมพินีสองครั้งสองครา กลายเป็นชนวนแตกหักของสองผู้ยิ่งใหญ่อย่าง "เฮียเหลา สวนมะลิ" กับ "เต็งโก้ สะพานเหลือง" นำมาสู่การปิดตำนานฉากสำคัญในเวลาต่อมา
เมื่อดาวรุ่งพุ่งแรงถือกำเนิดมาเป็นคู่แข่งขันกัน เหมือน "จิวยี่" กับ "ขงเบ้ง" สองตัวละครเอกในนวนิยายจีน สามก๊ก อันลือลั่น ซึ่งทั้งสองขับเคี่ยวชิงไหวชิงพริบกันนับครั้งไม่ถ้วน จนสุดท้ายจิวยี่ถึงกับปรารภว่า "ฟ้าให้จิวยี่มาเกิดแล้วไยจึงให้ขงเบ้งมาเกิดด้วยเล่า" ก่อนจะกระอักเลือดตาย จะว่าไปแล้วในชีวิตจริงก็มีลักษณาการเช่นว่านี้ให้เห็นอยู่เหมือนกัน
ย้อนหลังไปเมื่อ 50 ปีก่อน ระหว่างปี 2500-2510 ชื่อเสียงของ "เฮียเหลา สวนมะลิ" หรือ แคล้ว ธนิกุล เริ่มเป็นที่รู้จักมักคุ้นบนถนนสายนักเลง เติบโตและแผ่ขยายอิทธิพลจนกลายเป็นผู้กว้างขวางที่มีผู้นับหน้าถือตามากมาย แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่ก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้า ทว่ายังมีชายอีกคนหนึ่งชื่อว่า "เต็งโก้" เด็กบ้านนอกที่ชะตาชีวิตนำพาให้เข้าเมืองกรุงมาแสวงหาโชคอีกคนหนึ่ง ชื่อเสียงของทั้งสองเคียงคู่กันมาในฐานะ "ดาวรุ่ง" แห่งถนนสายลูกผู้ชาย
เฮียเหลา ปักหลักอยู่สวนมะลิ ส่วนเต็งโก้ ยึดหัวหาดอยู่สะพานเหลือง แม้ทางการจะไม่มีหลักฐานมายืนยันว่า ทั้งสองเกี่ยวข้องพัวพันกับสิ่งมอมเมาและอบายมุขหลายต่อหลายอย่าง แต่จากพฤติกรรมในฐานะผู้กว้างขวางแล้ว ชาวบ้านร้านตลาดส่วนใหญ่ต่างก็คิดและปักใจเชื่อเช่นนั้น
ไม่นานนักชื่อเสียงของทั้งสองก็ก้าวขึ้นสู่ทำเนียบ 10 เจ้าพ่อ ด้วยเป็นคนน้ำใจกว้างขวาง จึงมีผู้คนมากหน้าหลายตาโดยเฉพาะนักเลงหัวไม้ไปจนถึงคนมีประวัติต้องคดี เข้าไปอาศัยพึ่งพาอำนาจบารมี เช่นนี้เองจึงกลายเป็นจุดกระทบกระทั่งระหว่างดาวรุ่งพุ่งแรง 2 ดวง บางครั้งการกระทบกระทั่งรุนแรงถึงขั้นเสียเลือดเสียเนื้อ เพิ่มความเคียดแค้นชิงชังให้แก่ฝ่ายตรงข้ามมากขึ้นๆ
การชิงไหวชิงพริบของสองเจ้าพ่อเกิดขึ้นตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับว่าใครจะพลั้งเผลอและอีกฝ่ายสามารถช่วงชิงจังหวะลงมือได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วเฮียเหลากลับเป็นผู้กำชัย เขายึดครองพื้นที่ทำกินของเต็งโก้เอาไว้ได้ทั้งหมด จนอดีตเจ้าพ่อต้องหนีหัวซุกหัวซุนอย่างเสือลำบาก พร้อมกับพกพาความแค้นสุมอก ออกจากเมืองกรุงไปตั้งหลักสั่งสมบารมีใหม่ ณ เมืองดอกคูนเสียงแคน จ.ขอนแก่น
ชาติเสือย่อมไม่ทิ้งลายฉันใด เต็งโก้อดีตเจ้าพ่อสะพานเหลืองก็เป็นฉันนั้น เขาอยู่ขอนแก่นได้ไม่นานก็ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการประกอบอาชีพอย่างที่เคยทำเมื่ออยู่กรุงเทพฯ ดังนั้น จะเรียกว่าปี 2515-2520 เป็นปีที่เขากลับเข้ามาเดินบนเส้นทางสายนักเลงได้อย่างเต็มตัวอีกครั้งก็ว่าได้
ในขณะที่เต็งโก้กำลังก่อร่างสร้างฐานใหม่ให้ตัวเอง ด้านเฮียเหลากลับเดินหน้าไปไกลยิ่งกว่า เมื่อมีมิตรมากขึ้นก็ไม่อาจปฏิเสธศัตรูที่เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ต่อมาเฮียเหลาพยายามผันตัวเองเข้าสู่วงการมวย ด้วยการรั้งตำแหน่งนายกสมาคมมวย ทุกคนตระหนักดีว่าวงการนี้มีผลประโยชน์มากมายมหาศาล มือใครยาวสาวได้ก็สาวเอา ต่างชิงไหวชิงพริบกันชนิดพลาดไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว จึงไม่แปลกอะไรที่ไม่ว่าเฮียเหลาจะย่างกรายไปไหน ก็มักจะมีสมุนรอบกายแวดล้อมไปด้วยนับสิบคน
แต่การปรากฏตัวต่อสาธารณชนบ่อยๆ ก็ไม่เป็นผลดีต่อเจ้าพ่อนครบาล เพราะจะกลายเป็นเป้าใหญ่ให้ฝ่ายศัตรูดักเล่นงานเอาเมื่อไรก็ได้ แล้ววันนั้นก็มาถึง !!!
4 ทุ่ม 45 นาที 22 ตุลาคม 2523 หลังจากมวยคู่เอกจบลง เฮียเหลาและลูกน้องทุกคนต่างเบิกบานใจ ด้วยมวยมุมที่ถือหางอยู่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างปราศจากข้อกังขา พวกเขาจึงไม่ทันสำเหนียกถึงภัยที่กำลังจะเกิดขึ้น หากใครสักคนในทีมงานจะเพิ่มความสังเกตสังกาเหมือนอย่างที่แล้วๆ มา พวกเขาจะพบว่าบริเวณโคนเสาริมทางเข้าสนามมวยราชดำเนิน มีวัตถุต้องสงสัยชิ้นหนึ่งวางอยู่ และห่างออกไปหน้าสนามมวย มีชายคนหนึ่งถือรีโมทคอนโทรลนั่งรออยู่บนรถจักรยานยนต์
ผู้คนนับร้อยส่วนใหญ่เป็นเซียนมวย ทยอยเดินตามกันออกมา เสียงพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจฟังไม่ได้ศัพท์ บ้างอารมณ์ขุ่นมัว บ้างแจ่มใส ยิ้มหัวกับเพื่อน แต่เรื่องส่วนใหญ่ก็ยังสาละวนอยู่กับมวยที่เพิ่งชกจบไป
บึ้มมมมมมมมม !!! เสียงระเบิดซีโฟร์ดังสนั่นหวั่นไหวกึกก้องไปทั่วบริเวณ แรงอัดจากดินขับแรงดันสูงทำให้กระจกบริเวณใกล้เคียงแตกกระจาย เศษกระจกปลิวไปทุกทิศทุกทาง บัดนี้ความโกลาหลเข้าครอบงำสนามมวยราชดำเนินเสียแล้ว เสียงพูดคุยเล่นหัวเมื่อแรกกลายเป็นเสียงร้องด้วยความตื่นตระหนกและเจ็บปวด จากผู้บาดเจ็บที่ยังมึนงงจับต้นชนปลายไม่ถูกว่า เกิดอะไรขึ้น
นายตำรวจติดตามและมือปืนคุ้มกันเฮียเหลา สวนมะลิ เสียชีวิตจากแรงระเบิด 2 ศพ ส่วนเฮียเหลานั้นลูกน้องพาขึ้นรถเบนซ์สีดำ หลบออกจากบริเวณนั้นหลังเสียงระเบิดดังขึ้น
เหตุระเบิดสนามมวยราชดำเนินเมื่อ 27 ปีก่อน ทุกฝ่ายต่างลงความเห็นว่า คนลงมือต้องการกำจัดเฮียเหลาให้พ้นทาง เพราะคนร้ายเลือกลงมือกดรีโมทตอนที่เฮียเหลาเดินออกมาจากสนามมวย จะเป็นด้วยโชคเข้าข้างเฮียเหลาหรือเพราะชื่อดีเป็นมงคล ส่งผลให้คลาดแคล้วสมชื่อก็ตามแต่ ระเบิดทำงานช้าไปเสี้ยววินาที เฮียเหลาจึงรอดตายปาฏิหาริย์
แม้จะไม่มีหลักฐานยืนยันว่าใครเป็นคนกระทำ แต่เจ้าพ่อเมืองหลวงมั่นใจว่าเป็นฝีมือของอดีตเจ้าพ่อพลัดถิ่นอย่างเต็งโก้ ทุกอย่างผ่านพ้นไปตามวิถีทางของมัน เฮียเหลายังปรากฏตัวตามสาธารณชนเช่นเดิม เพียงแต่เพิ่มความระมัดระวังตัวมากขึ้น ใช้คนติดตามมากขึ้น
ทว่าคืนวันที่ 2 เมษายน 2525 หรือ 2 ปีถัดมา เหตุลอบสังหารเฮียเหลาก็เกิดขึ้นเป็นคำรบสอง !!!
สนามมวยลุมพินีคืนนั้น จัด "ศึกดังทะลุฟ้ามหากุศล" ท่ามกลางการดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างแข็งขันของตำรวจกว่า 100 นาย เนื่องจากชั้นริงไซด์มีทั้ง "ชวน หลีกภัย" รมว.เกษตรและสหกรณ์ "วีระ มุสิกพงศ์" รมช.มหาดไทย รวมถึง พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ มานั่งชมศึกดวลกำปั้นครั้งนี้ด้วย
แน่นอนว่าคืนนั้นเฮียเหลาย่อมไม่พลาดไปร่วมอยู่ในสนามมวยลุมพินีด้วย เหตุการณ์ช่วงแรกผ่านพ้นไปด้วยดี กระทั่งถึงคู่เอก "หนองคาย ส.ประภัสสร" กับ "เริงศักดิ์ เพชรยินดี" เซียนมวยต่างลุ้นกันตัวโก่ง เสียงเฮละโลโห่ร้องเชียร์นักมวยในดวงใจดังขึ้นเป็นระยะๆ เมื่อออกอาวุธจะแจ้ง คะแนนสูสีคู่คี่กันตลอด 4 ยก จนถึงยกสุดท้ายต้องชิงดำ อีกเพียง 30 วินาทีจะหมดยก วัตถุแปลกปลอมสีดำมะเมื่อมปลิวข้ามหัวคนนับร้อย ตรงไปที่ชั้นริงไซด์ด้านมุมระฆัง ซึ่งมีเฮียเหลานั่งอยู่
เสียงเชียร์ถูกแทรกด้วยเสียงตูมมมมมมม !!! ดังสนั่นหวั่นไหว ตามมาด้วยเสียงหวีดร้องด้วยความเจ็บปวด พร้อมกับผู้คนแตกกระจายหนีตาย กลิ่นควันระเบิดลูกแรกยังไม่ทันจาง ระเบิดลูกที่สองก็ปลิวตามลงมาติดๆ เสียงระเบิดอีกตูมดังสลับกับเสียงปืนจากคนติดตามเจ้าพ่อเมืองหลวง ที่ยิงสุ่มไปยังที่มาของระเบิดกว่า 10 นัด
กว่าความวุ่นวายจะจบลงก็กินเวลานานกว่า 10 นาที ร่างอันปราศจากชีวิตปรากฏอยู่บริเวณมุมระฆัง 4 ราย บาดเจ็บอีกนับไม่ถ้วน ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นลูกชายอดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ พ.ต.ท.สุรศักดิ์ โลหะชาละ
เฮียเหลารอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดอีกครั้ง โดยปะปนมากับฝูงชนที่กระเสือกกระสนหนีตายกันอลหม่านได้อย่างหวุดหวิด เพราะลูกน้องคู่บารมีคนหนึ่งเอาร่างกายรับคมกระสุนแทนผู้เป็นนาย ทอดกายพลีชีพเป็น 1 ใน 4 ศพ อยู่ ณ สนามมวยลุมพินีนั่นเอง
แม้จะมีคนดังในสังคมอยู่ในเหตุการณ์มากหน้าหลายตา แต่เมื่อวิเคราะห์จากจุดระเบิด ทุกคนต่างลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า เป้าหมายสังหารจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก "แคล้ว ธนิกุล"
สองครั้งสองครามาแล้ว ที่เจ้าพ่อนครบาลถูกหมายปองเอาชีวิต แต่ก็รอดพ้นมาได้อย่างหวุดหวิดเหมือนมีปาฏิหาริย์มาดลใจ แล้วใครล่ะคือผู้อยู่เบื้องหลัง ? ถึงวันนี้ วันที่เขารอดตายจากเหตุระเบิดเป็นหนที่สอง เฮียเหลา ปักใจเชื่อเสียแล้วว่าจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากปรปักษ์ตัวเอ้ตั้งแต่เมื่อวันวาน "เต็งโก้" เจ้าพ่อพลัดถิ่น นั่นเอง
รัวดับคารัง
หลังเกิดเหตุระเบิดหมายเอาชีวิตในสนามมวยลุมพินี เฮียเหลาสืบทราบว่าผู้ที่ลงมือเป็นเด็กของ "เต็งโก้" จึงเอ่ยกับคนใกล้ชิดว่า "ถ้าต้องการฆ่าผมเอาคนอื่นมาเดือดร้อนทำไม"
เต็งโก้เองก็ตระหนักดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง หากเจ้าพ่อเมืองหลวงปักใจเชื่อเช่นนั้นว่า ระเบิดทั้ง 2 ครั้ง เป็นฝีมือของเขา ดังนั้นเจ้าพ่อพลัดถิ่นจึงหลบเข้าไปหวังพึ่งบารมีของ "เล้ง ขอนแก่น" ระหว่างนี้มีคนจำนวนหนึ่งที่ปรากฏกายให้เต็งโก้เห็น ซึ่งไม่อาจเข้าใจให้เป็นอื่นไปได้นอกจากการตามล่าตามเก็บ แต่จนแล้วจนรอดเขาก็รอดพ้นเงื้อมมือมัจจุราชมาได้อย่างน้อยก็ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
กระทั่ง 7 มิถุนายน 2526 หรือ 1 ปีให้หลังเหตุระเบิดสนามมวยลุมพินี "ซิตี๋" มือปืนตัวฉกาจที่สะกดรอยตามเต็งโก้ทุกก้าวย่างมานาน 2 สัปดาห์ ก็สบโอกาสลงมือ เต็งโก้หลบอยู่ในบ้านกับภรรยาและลูกน้องไม่กี่คน ซิตี๋บุกเดี่ยวเข้าไปยิงถึงในบ้าน โดยที่อดีตเจ้าพ่อสะพานเหลืองไม่มีโอกาสได้ทันตั้งตัว
ส่วนซิตี๋เองก็หนีกรรมที่ก่อเอาไว้ไม่พ้น โดยถูกลูกน้องของเต็งโก้ตามเอาชีวิตที่ถนนเจริญกรุง กทม. แม้จะไม่มีอะไรมายืนยันว่า การตายของเต็งโก้เกิดจากประกาศิตของเฮียเหลา แต่ก็เป็นการปิดตำนานเจ้าพ่อสะพานเหลือง และปิดฉากความขัดแย้งระหว่าง อดีตดวงรุ่งสองดวงที่ขับเคี่ยวกันมาบนถนนสายนักเลง