[RE: จารบอกไม่ล้ำ!?ราฮีมแฮตทริก 'เรือ' ปลดล็อคลูกกังขาอัดแตน 3-1 ทิ้งหงส์ 4 แต้ม]
PRO TONY พิมพ์ว่า:
Man City เหนือกว่าเยอะทั้งรูปเกมและฟอร์มการเล่น รวมถึงสถิติต่างๆ สมควรชนะ.....ก็จริง
แต่ ลูกแรก 1-0 ที่เปิดแผลทีมที่มาตั้งรับน่ะ มันสำคัญ
และ ไม่ว่าจะมองยังไง มันก็ล้ำหน้านะ
คือ กุน พักอกส่งต่อให้ ริ่ง และริ่ง อยู่ในตำแหน่งล้ำหน้า อันนี้ชัดเจนมาก
แต่.....ถ้ามองในมุมของคนได้รับประโยชน์หรือ กรรมการ(ที่กลับคำตัดสินของไลน์แมนที่ยกธงล้ำ...แบบที่เราเห็นไม่ค่อยบ่อย) น่ะ อาจจะอ้างได้ว่า เป็นการสกัดของกองหลังมาโดนริ่งเข้าประตูไปในจังหวะสุดท้าย.................
แต่ถามหน่อยว่า จังหวะนั้น "ริ่ง จะเล่น หรือไม่เล่น?"
คำตอบอย่างที่เราเห็นกันชัดเจน คือ ปรี่เข้าไปเล่น
และทำให้กองหลังต้องสกัด ใช่มั้ย?
มันควรจะล้ำหน้าไปแล้วตั้งแต่จังหวะนั้น
ไม่อย่างนั้นต่อจากนี้ กองหลังต้องหยุดเล่น วัดใจ ไลน์แมน และกรรมการเอาเหรอวะ?
(นี่ตามกฏ VAR เค้ายังให้เล่นไปก่อนเลยนี่ แล้วค่อยมาตัดสิน)
ตามกฎ มันรีเซ็ทการเช็คล้ำหน้าทันทีที่บอลโดนกองหลังครอบครองบอล ยกเว้นแค่มันแฉลบกองหลังแบบไม่ตั้งใจ
สเตอริ่ง ก็ยังไม่โดนบอล มันไม่ส่วนในการขัดขวางการเล่นของกองหลัง ก่อนที่กองหลังจะครองบอล
ดังนั้นก่อนกองหลังจะเตะบอล สเตอริ่งยังเป็นตัวที่มาจากแนวไกลอยู่ ยังไม่ได้ล้ำหน้า เพราะยังไม่ได้เล่นบอล
พอกองหลังเตะบอล ตำแหน่งของสเตอริ่งก็ไม่ได้ล้ำหน้าแล้ว
แล้วการสกัดของกองหลังจะไม่รีเซ็ทตำแหน่งล้ำหน้า เฉพาะจังหวะเซฟประตูเท่านั้น อันนี้กองหลังเครียบอลไม่ดีเอง
ไปเตะอัดสเตอริ่งเข้าประตูเอง มันยังไม่ได้ยิงด้วยซ้ำ
ถ้าลูกนี้มี var ยังมันก็ได้ประตู ตามกฎ แต่ถ้าไม่มี var แล้วผู้ตัดสินคัดสินแค่ตามตำแหน่ง ไม่ได้สนใจเรื่องครองบอล
ลูกนี้คงยกล้ำหน้าเพราะคิดว่าสเตอริงเข้ามายิงประตู ไม่ได้เห็นกองหลังครองบอล
4
เช็คล้ำหน้าแค่เฉพาะตอนที่เพื่อนร่วมทีมสัมผัสบอล. จะไม่มีการจับล้ำหน้าแค่เพียงเพราะผู้เล่นยืนอยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าแน่นอน เพราะผู้ตัดสินจะเช็คตำแหน่งของผู้เล่นแนวรุกแค่ตอนที่เพื่อนร่วมทีมของเขาสัมผัสบอลเท่านั้น และทันทีที่ผู้เล่นแนวรุกจ่ายบอล สถานะการล้ำหน้าและไม่ล้ำหน้าของเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ จะถูก “จับตามอง” ทันที และผู้เล่นทุกคนจะอยู่ในสถานะนั้นต่อไปไม่ว่าพวกเขาจะขยับไปทางไหน ซึ่งสถานะนี้จะเปลี่ยนไปก็ต่อเมื่อลูกบอลไปสัมผัสกับเพื่อนร่วมทีมคนอื่น (ส่งผลให้มีการ “ตรวจจับล้ำหน้า” อีกครั้ง) หรือ
เมื่อฝ่ายตรงข้ามได้กลับมาครองบอลอีก (ยกเลิกการตรวจจับล้ำหน้าทั้งหมด)
นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราถึงมักจะได้เห็นผู้เล่นแนวรุกรีบวิ่งผ่านผู้เล่นแนวรับของฝ่ายตรงข้ามในเกือบจะทันทีที่บอลถูกสัมผัส และถึงแม้ว่าผู้เล่นบางคนจะวิ่งผ่านผู้เล่นแนวรับเมื่อตัวเองได้บอลแล้ว แต่เขาก็ยังคงระวังตัวเองเวลาที่บอลถูกจ่ายออกมาว่าตัวเขาอยู่ข้างหลังแนวรับฝ่ายตรงข้ามอยู่หรือเปล่า
2
ทำความเข้าใจเรื่องการรีเซตการล้ำหน้า. เมื่อทีมที่เป็นฝ่ายรับเข้าครองบอลได้ สถานะการล้ำหน้าของฝ่ายรุกจะถูกรีเซตตามไปด้วย และนั่นหมายถึงว่า ผู้เล่นฝ่ายรุกคนใดก็ตามที่เคยอยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าสามารถที่จะเข้าทำเกมได้โดยที่ไม่ต้องรับโทษได้แล้ว อย่างไรก็ตาม ยังมีกรณีพิเศษบางกรณีที่อาจจะไม่บ่งบอกชัดเจนว่าสถานการณ์แบบนี้ได้เกิดขึ้นจริงๆ หรือเปล่า ซึ่งผู้ตัดสินมักจะเป็นผู้ตัดสินใจในกรณีนี้ แต่ว่าคุณก็สามารถดูตามข้อแนะนำทั่วไปที่ด้านล่างนี้ประกอบได้ด้วย[10]
หากผู้เล่นฝ่ายรับ
บังเอิญไปเปลี่ยนทิศทางลูกบอล หรือบอลเด้งมาโดนตัวเขาออกไปทางอื่น ก็จะไม่มีการรีเซตการล้ำหน้า สิ่งนี้รวมไปถึงปฏิกิริยาต่อลูกบอลที่เป็นไปตามสัญชาตญาณของผู้เล่นด้วย แม้ว่าผู้ตัดสินจะสามารถตัดสินลงโทษในกรณีนี้ได้ก็ตาม
หากผู้เล่นฝ่ายรับ
เข้าตัดบอลไม่ให้เข้าประตูได้ ก็จะไม่มีการยกเลิกการจับล้ำหน้า (เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้เล่นที่อยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าใช้ข้อได้เปรียบจากการยืนรออยู่ใกล้ๆ กับประตูฝ่ายตรงข้าม)
ผู้เล่นฝ่ายรับจะต้องเข้าครองบอลให้ได้ก่อนที่ผู้เล่นในตำแหน่งล้ำหน้าจะสามารถเข้ามาทำเกมได้ (วิธีนี้อาจจะขึ้นอยู่กับตัวผู้เล่นเอง แต่ว่าจริงๆ ผู้เล่นในตำแหน่งล้ำหน้าก็มักจะปลอดภัยจากการถูกจับล้ำหน้าอยู่แล้ว หากตัวเขามาจากระยะไกล)
พิจารณาดูผู้เล่นในตำแหน่งล้ำหน้าที่เข้ามามีส่วนทำเกมจากระยะไกล. ผู้เล่นในตำแหน่งล้ำหน้าที่ไม่ได้วิ่งเข้าหาบอลจะยังคงสามารถรับโทษได้อยู่ดี หากเขาเข้าไปบดบังวิสัยทัศน์ของผู้เล่นในแนวรับจนทำให้เล่นต่อลำบาก ซึ่งตั้งแต่มีการปรับแก้ไขกฎในปี 2013 นี่คือ[b]วิธีเดียวที่จะทำให้ผู้เล่นที่อยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าสามารถรับโทษได้โดยที่ไม่ต้องเข้ามาสัมผัสกับผู้เล่นในแนวรับหรือเข้าแย่งลูกบอล
[/b]