วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2019 กองทัพเรือสหรัฐฯ(USN: US Navy) ได้ทำพิธีย่ำพระสุริย์ศรี(sundown ceremony) เป็นการอำลาสำหรับฝูงบินปฏิบัติการฝูงสุดท้ายของเครื่องบินขับไล่ McDonnell Douglas F/A-18C Hornet
โดยฝูงบินขับไล่โจมตี VFA-34 "Blue Blasters" ได้ทำการบินหมู่เครื่องบินขับไล่ F/A-18C Hornet เป็นครั้งสุดท้ายเหนือสถานีอากาศนาวี(NAS: Naval Air Station) Oceana ก่อนที่ฝูงจะทำการเปลี่ยนแบบอากาศยานใหม่
กองทัพเรือสหรัฐฯทำการบินเครื่องบินขับไล่ F/A-18 Hornet ตั้งแต่ปี 1978 โดยวางกำลังประจำการเครื่องบินขับไล่ F/A-18A/B ครั้งแรกในปี 1983 และรุ่นปรับปรุงต่อมาคือเครื่องบินขับไล่ F/A-18C/D ในปี 1987
ตามข้อมูลจากกองบัญชาการระบบอากาศนาวี(NAVIR: Naval Air Systems Command) เครื่องบินขับไล่ Hornet รุ่นดั้งเดิมที่มีอายุเกือบ 40ปีนี้ได้ถูกใช้งานร่วมกับเครื่องบินขับไล่ Boeing F/A-18E/F Super Hornet รุ่นใหม่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นตั้งแต่ปี 1999
ตอนนี้ก็ได้ถึงช่วงเวลานั้นตามที่คณะอากาศนาวีสหรัฐฯได้มองไปยังกองบินเรือบรรทุกเครื่องบินในอนาคตด้วยเครื่องบินขับไล่ Super Hornet ที่จะประจำการร่วมกับเครื่องบินขับไล่ Lockheed Martin F-35C Lightning II Joint Strike Fighter(JSF) รุ่นประจำเรือบรรทุกเครื่องบิน CV(Carrier Variant)
ฝูงบินขับไล่โจมตี VFA-34 ซึ่งเป็นฝูงบินปฏิบัติการฝูงสุดท้ายของเครื่องบินขับไล่ F/A-18C Hornet รุ่นที่นั่งเดี่ยวที่ประจำการมาตั้งแต่ปี 1996 จะเริ่มการเปลี่ยนแบบไปปฏิบัติการด้วยเครื่องบินขับไล่ Boeing F/A-18E Super Hornet รุ่นที่นั่งเดี่ยวในปี 2019 นี้
"เครื่องบินขับไล่ Hornet เป็นที่รู้จักในหลายๆอย่าง ระบบดั้งเดิม, ความน่าเชื่อถือสูง, เครื่องบินขับไล่โจมตีพหุบทบาท... แต่สำหรับเราพวกเธอจะเป็นเพื่อนเก่าเสมอไป เครื่อง Hornet จะยังคงประการต่อไปในนาวิกโยธินสหรัฐฯ(USMC: US Marine Corps) และหน่วยสนับสนุนกองทัพเรือสหรัฐฯ
แต่สำหรับฝูงบินปฏิบัติการกองทัพเรือสหรัฐฯ มันถึงเวลาที่ต้องกล่าวคำลาแล้ว ดังนั้นจากบุรุษและสตรีผู้ทำการบินและบำรุงรักษา F/A-18 Hornet ในตำนานนี้ เราขอขอบคุณสำหรับการรับใช้ชาติและการทำงานเป็นอย่างดี" นาวาโท William Mathis ผู้บังคับการฝูงบิน VFA-34 กล่าวในพิธี
เครื่องบินขับไล่ F/A-18 Hornet ได้เข้าประจำการวางกำลังปฏิบัติการครั้งแรกสำหรับฝูงบินในปี 1984 การปฏิบัติการรบภารกิจจริงครั้งแรกของเครื่องคือยุทธการ El Dorado Canyon ปี 1986 ในการโจมตีลิเบียทางอากาศ และได้เข้าร่วมปฏิบัติการในหลายๆปฏิบัติการทางทหารหลักของกองทัพสหรัฐฯ
เช่น สงครามอ่าว Persia 1991, สงครามอิรัก, ยุทธการ Enduring Freedom อัฟกานิสถาน 2001, ยุทธการ Iraqi Freedom อิรัก 2003 และยุทธการ Inherent Resolve ต่อต้านกลุ่มติดอาวุธก่อการร้ายในซีเรียและอิรักปี 2014 เป็นต้น
ฝูงบินขับไล่โจมตี VFA-34 ถูกกำหนดในปี 2016 ให้เป็นฝูงบินสุดท้ายที่วางกำลังปฏิบัติการด้วยเครื่องบินขับไล่ F/A-18C Hornet รุ่นดั้งเดิม และได้วางกำลังตามวงรอบครั้งสุดท้ายในกองบินเรือบรรทุกเครื่องบินที่2(CAW2: Carrier Air Wing 2) ประจำเรือบรรทุกเครื่องบิน CVN-70 USS Carl Vinson
ฝูงบิน VFA-34 ได้ออกจาก San Diego ในเดือนมกราคม 2017 เพื่อวางกำลังบนเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Carl Vinson ในการวางกำลังที่มหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก โดยเฉพาะที่คาบสมุทรเกาหลีช่วงที่สหรัฐฯมีความตึงเครียดกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี
เรือบรรทุกเครื่องบิน USS Carl Vinson ได้วางกำลังในแปซิฟิกอีกครั้งในเดือนมกราคม 2018 เป็นเวลาอีกหลายเดือน ซึ่งรวมการเดินทางเยี่ยมท่าเรือที่สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามครั้งประวัติศาสตร์หลังสิ้นสุดสงครามเวียดนาม
เรือบรรทุกเครื่องบิน USS Carl Vinson ได้เดินทางกลับฐานทัพเรือใน San Diego ก่อนที่จะออกเดินเรือเข้าร่วมการฝึก Rim of the Pacific 2018 (RIMPAC 2018) ที่ Hawaii
ระหว่างการฝึก RIMPAC 2018 เรือเอก Kevin Frattin นักบิน F/A-18C Hornet และเจ้าหน้าที่ช่วยการปฏิบัติการฝูงบิน VFA-34 ได้กล่าวกับ USNI News ว่าหลังการฝึก RIMPAC และการฝึกดำรงความพร้อมที่ California ภายหลังในปี 2018 นั้น
"เท่านั้นละ คุณจะไม่ได้เห็นเครื่อง Hornet บนเรือบรรทุกเครื่องบิน อย่างน้อยในสีของกองทัพเรือสหรัฐฯอีกต่อไป" เรือเอก Frattin ผู้ทำการบินเพียงเครื่อง Hornet และไม่ได้เปลี่ยนไปบินเครื่อง Super Hornet ใหม่ พูดถึงเครื่อบินของเขาด้วยความรัก
แต่เขาก็ยอมรับว่า Hornet "อาจต้องการวงรอบอายุเทคโนโลยี(TLC: Technology Life Cycle) มากขึ้นเล็กน้อย" ในหลายปีที่ผ่านมา Frattin กล่าวขณะวางกำลังบนเรือ USS Carl Vinson ว่ามันอาจจะมีเครื่อง Hornet ที่หมดสภาพในจำนวนมากกว่า Super Hornet
เนื่องจากเครื่องบินเก่าเหล่านี้เริ่มเสื่อมสภาพจากการลงจอดอย่างรุนแรงอย่างบ่อยครั้งบนดาดฟ้าบินของเรือบรรทุกเครื่องบิน ในขณะที่นักบินพยายามที่จะนุ่มนวลกับเครื่องบิน แต่การลงจอดบนดาดฟ้าเรือบรรทุกบินระหว่างที่ทะเลมีคลื่นลมแรงทำให้ต้องเกิดสภาพการลงจอดรุนแรงดังกล่าว
ตามที่ได้เริ่มกล่าวมา Frattin เสริมว่ากองทัพเรือสหรัฐฯมีบางภารกิจเท่านั้นสำหรับการใช้เครื่อง Hornet เนื่องจากผลการทดสอบการตั้งอาวุธที่ได้รับการดำเนินการกับ Hornet แต่ไม่เคยเกิดขึ้นซ้ำกับเครื่อง Super Hornet
"เรามีขีดความสามารถเอกลักษณ์บางอย่างที่ผมสงสัยว่าใครกำลังจะไปหยิบเจ้าเฉื่อยนี่ ในเมื่อเราไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไป เพราะสำหรับบางสิ่งที่เราทำเราเป็นคนเดียวที่ทำมันได้" เขากล่าว
Frattin เสริมว่าเขาได้รับการบอกว่าเครื่อง Hornet มีความปราดเปรียวเล็กน้อย และว่องไวมากว่าเครื่อง Super Hornet และขณะที่มันจะไม่ชนะการแข่งขันบินตรงจากเส้นทางการบินเครื่อง Hornet ดั้งเดิมในท้ายที่สุดจะเข้าถึงความเร็วสูงสุดมากสูงกว่าเครื่องบินใหม่ที่เป็นคู่แข่ง
เขายกย่องการดำเนินการเปลี่ยนแบบของกองทัพเรือสหรัฐฯโดยกล่าวว่า "ที่จริงพวกเขาให้งบประมาณ, ชิ้นส่วนเครื่องไอพ่นแก่เราตามที่เราต้องการ-เราได้รับพวกของเรี่ยราด" ตามที่ฝูงบินอื่นได้เริ่มการเปลี่ยนแบบไปใช้ Super Hornet
Frattin กล่าวว่าเขาคิดว่าฝูงบินของเขาได้ยอมรับและส่งมอบเครื่องบินเป็นจำนวนมากว่าฝูงบินอื่นขณะที่เขาอยู่ในนั้น ตามที่เหล่านักบินและช่างอากาศยานมีสามารถเลือกเกี่ยวกับโครงสร้างอากาศยานซึ่งพวกเขาเชื่อมโยงการทำงานกัน และกับสิ่งที่พวกเขาต้องการที่จะทิ้งไปได้
ฝูงบินขับไล่โจมตี VFA-34 มีกำหนดจะได้รับเครื่องบินขับไล่ F/A-18E จากสายการผลิตโรงงานอากาศยานของบริษัท Boeing ใน St. Louis ช่างอากาศยานของฝูงบินมีกำหนดจะเริ่มการเรียนในปลายปี 2018 เพื่อให้มีความเชี่ยวชาญในการบำรุงรักษาเครื่องบินแบบใหม่
ตอนนี้ที่พิธีย่ำพระสุริย์ศรีได้มีขึ้นแล้ว นักบินจะต้องผ่านหลักสูตร 10ชั่วโมงเพื่อการรับรองมาตรฐานการฝึกและขั้นตอนปฏิบัติการอากาศนาวี(NATOPS: Naval Air Training and Operating Procedures Standardization) กับเครื่อง Super Hornet ใหม่
ฝูงบิน VFA-34 ได้ต้องทำการบินเครื่อง Super Hornet และการฝึกการซ่อมบำรุงในการประสานงานกับฝูงบินเปลี่ยนแบบข้างเคียงจนกว่าที่กองทัพเรือสหรัฐฯจะประกาศว่าฝูงบินปลอดภัยสำหรับการบิน เมื่อมีการประกาศฝูงบินจะกลับมาปฏิบัติตามเส้นทางการบินของตนอย่างอิสระ
แม้ว่าเครื่องบินขับไล่ F/A-18C/D Hornet จะปลดประจำการจากฝูงบินปฏิบัติการของกองทัพเรือสหรัฐฯแล้ว แต่หน่วยกำลังสำรองเช่น ฝูงบินขับไล่ผสม VFC-12 จะยังคงใช้เครื่อง Hornet ในฐานะเครื่องบินข้าศึกสมมุติ Aggressor ในการฝึกต่อไปอยู่
นาวิกโยธินสหรัฐฯจะยังคงใช้เครื่องบินขับไล่ F/A-18A/B/C/D ไปจนถึงปี 2030s เมื่อฝูงเครื่องบินขับไล่ Hornet ทั้งหมดจะถูกแทนที่ด้วยเครื่องบินขับไล่ F-35B รุ่นบินขึ้นระยะสั้นลงจอดทางดิ่ง STOVL(Short Take-Off Vertical Landing) ครับ
แหล่งข่าว
https://aagth1.blogspot.com/2019/02/fa-18c-hornet.html
----------------------------------------------------------------------------------
ซึ่งไทยเราเป็นพันธมิตรนอกนาโต้ของสหรัฐ น่าจะสามารถขอใช้สิทธิซื้อกับทางการสหรัฐในราคาถูก 1 ฝูง ก่อนหน้านั้นก็เคยจัด เอฟ-16ADFมือสองมาประจำการ
ฐานะคนชอบเครื่องบิน ก็รู้สึกสนใจ
ถ้าเทียบแล้ว เรือรบผิวน้ำป้องกันภัยทางอากาศ 1 ลำ ผมว่าการมี F/A-18C/D มือสอง สัก จำนวนนึง น่าจะโอเคกว่า