"เขาเป็นคนสอนพวกเราว่า ฟุตบอลเล่นกันยังไง" เปเล่
"แทบจะไม่มีใครในสนามหยุดเขาได้ " ฟรานซ์ เบ็คเคนเบาเออร์

697 คือจำนวนเกมที่สแตนลี่ย์ แมทธิวส์ เล่นให้กับ 2 สโมสรเท่านั้นคือสโต๊ค ซิตี้ สโมสรในเมืองเกิดและแบล็คพูล กับสโมสรแรกเขาค้าแข่งถึง 11 ฤดูกาล 2 ช่วง(ไม่มีแข่งขันฟุตบอลลีกในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2)ในช่วงแรกและย้ายกลับมาช่วยช่างปั้นหม้ออีก 4 ปี ระหว่างนั้นสแตนลี่ย์ย้ายมาสร้างตำนานในกับเดอะซีไซเดอร์

"คุณอายุ 32 คุณคิดว่าคุณจะเล่นให้เราสัก 2-3 ปีได้ไหม" คำพูดของโจ สมิธ ผู้จัดการทีมแบล็คพลู ที่ชวนสแตนลี่ย์ หลังเขาต้องการย้ายออกจากสโต๊คในปี 1947

ย้อนอดีตไป 2 ปีก่อนที่สแตนลี่ย์จะเซ็นกับแบล็คพลู ในปี 1945 แจ็คพ่อที่คอยปลุกปั้นส่งเสริมเขามาให้เป็นนักฟุตบอลตั้งแต่ 6 ขวบได้เสียชีวิตลง โดยแจ็คขอให้สแตนลี่ย์ทำ 2 สิ่งให้เขาให้ได้คือ 1. ดูแลแม่ 2.เอาแชมป์เอฟเอ คัพ มาประดับบ้าน

ในระหว่าช่วงค้าแข่งกับสโต๊ค สแตนลี่ย์ไม่เคยเข้าไปถึงแม้แต่รอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ แต่กับทีมใหม่ของเขาแบล็คพลู เพียงฤดูกาลแรกสแตนลี่ย์ พาทีมจบด้วยอันดับ 9 แต่เข้าไปถึงรอบชิงเอฟเอ คัพ หนึ่งวันก่อนหน้านั้นรางวัลนักฟุตบอลแห่งปีของสมาคมผู้สื่อข่าวฟุตบอลจัดขึ้นเป็นแรกและสแตนลี่ย์ ก็คว้าไปครอง เขาฝันหวานได้เพียงหนึ่งคืนก่อนจะโดนลูกทีมของเซอร์แมตต์ บัสบี แย่งถ้วยเอฟเอ คัพไปครอง

สแตนลี่ย์ ได้มีโอกาสทำตามความฝันของพ่อเขาอีกครั้งหนึ่งในฤดูกาล 1950-1951 หลังจากพาทีมเอาชนะเบอร์มิงแฮม ซิตี้ในเกมนัดรีเพล์ 2-1 แต่ก็ต้องมาน้ำตาตกในรอบชิงอีกครั้งหลังโดนแจ็กกี้ มิลเบิร์น กองหน้าหมายเลข 9 ของนิวคาสเซิล ยิงคนเดียว 2 ประตูให้สาริกาดงคว้าแชมป์ไป

"third time lucky" ครั้งที่ 3 โชคดีเสมอ เกือบ 10 ปีหลังคำพูดของพ่อเขา สแตนลี่ย์พาเดอะซีไซเดอร์เขาชิงเอฟเอ คัพอีกครั้งในวัย 38 ปีกับโบลตันวอนเดอเรอส์ ในวันนั้นแบล็คพลูตามอยู่ 3-1 กับเวลาที่เหลือครึ่งชั่วโมง สแตนลี่ย์พาทีมพลิกกลับมาชนะ 4-3 โดย ยิงตีเสมอในนาทีที่ 89 จากสแตน มอร์เตนสัน และเขาได้สร้างประติศาสตร์เป็นนักเตะคนเดียวที่ยิงแฮตทริกในนัดชิงเอฟเอ คัพ ส่วนลูกที่ 4 มาจากบิลล์ เพอร์รีในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ กลายมาเป็นแชมป์เอฟเอครั้งแรกและครั้งเดียวของแบล็คพลู หลังจากนั้นเกมนัดชิงปีนี้ในรับการขนาดนามว่า"แมทธิวส์ ไฟนอล"

ในปี 1956 สแตนลี่ย์ แมทธิวส์คว้ารางวัลอันทรงเกียรติให้กับตัวเองคือรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรปหรือรู้จักกันต่อมาในนามรางวัลลูกบอลทองคำ(บัลลงดอร์) และสแตนลี่ย์ ยังเป็นคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้เหนืออัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ และเรย์มงด์ โกปา ยอดตำนานจากมาดริด

เจ้าของฉายาปีกพ่อมดรับใช้ทีมชาตินัดแรกในปี 1934 ช่วยยิงให้อังกฤษถล่มเวลส์ไป 4-0 ในวัย 18 ปี สแตนลี่ย์ลงรับใช้ทีมชาติกว่า 23 ปี 54 นัด ยิงไป 11 ประตู เขาลงเล่นในทีมชาตินัดสุดท้ายในฟุตบอลโลกปี 1957 กับเดนมาร์กด้วยวัย 42 ปีกับ 104 วัน กลายมาเป็นผู้เล่นอายุเยอะที่สุดที่ติดทีมชาติอังกฤษ

"ผมต้องการเล่นในนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะผมรักฟุตบอล ผมกระตือรือล้นอยู่ตลอดถ้าได้ยุ่งเกี่ยวกับมัน ผมได้รับคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ ว่าให้เริ่มกินสลัดหรือผลไม้มากขึ้น และทุกวันจันทร์ผมจะไม่กินข้าว แค่วันเดียวนะ แต่มันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นจริงๆ" สแตนลี่ย์ให้สัมภาษณ์กับสมาคมฟุตบอลถึงเคล็ดลับในลงเล่นฟุตบอลในระดับอาชีพได้ถึงอายุ 50

ในวันแรกของปี 1965 สแตนลี่ย์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นอัศวิน และเป็นนักเตะเพียงคนเดียวที่รับได้ยศอัศวินในขณะที่ยังเล่นฟุตบอลอาชีพอยู่ ต่อจากนั้น 5 วันหลังจากวันครบรอบวันเกิดในวัย 50 ปีในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 1965 สแตนลี่ย์ตัดสินใจ ลงเล่นเกมสุดท้ายให้กับสโต๊คในการเจอกับฟูแล่ม หลังจากมีอากาษบาดเจ็บเข่ารบกวนมา

การลงแข่งขันฟุตบอลนัดสุดท้ายของเซอร์ สแตนลี่ย์ แมทธิวส์ เกิดขึ้นในวัย 70 ปีโดยเขาลงให้กับทีมทหารผ่านศึกอังกฤษแข่งกับทีมทหารผ่านศึกบราซิล ที่ประเทศบราซิลในปี 1985 นัดนั้นทีมของเซอร์ สแตนลี่ย์ แมทธิวส์แพ้ไป 6-1

"ตลอด 80 กว่าปีมานี้ ฟุตบอลมันกลายเป็นส่วนประกอบสำคัญในชีวิตผมแล้ว" เซอร์ สแตนลี่ย์ แมทธิวส์ เสียชีวิตในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2000 เมื่ออายุ 85 ปี


ท่าประจำตัวของสแตนลี่ย์ แมทธิวส์ เรียกกันว่า "Matthews move" ที่ใช้กันจนปัจจุบันนี้




-----------------------------------
ชอบใจฝากเข้าไปกดไลค์เพจ A Part of Football ด้วยครับ
www.facebook.com/apartoffootball

1 ในนักเตะระดับโลกของทีมชาติอังกฤษ

ไม่ค่อยจะมีใครรู้จักบัลลงดอร์ชาวอังกฤษคนนี้สินะ เงียบเลย

50-60 ปีที่แล้ว คงไม่มีใครทันละครับ