BLOG BOARD_B
ติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Email: sale@soccersuck.com
ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออฟไลน์
ผู้ทรงธรรม
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 25 Jul 2008
ตอบ: 33
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Thu May 29, 2014 15:48
เข้าใจธรรมะ[คำถาม๑๐๕๖-โกรธดั่งไฟสุดท้ายก็เผาตนเอง]
เป็นธรรมะ กับเรื่องใกล้ตัวดีครับ น่าจะนำไปใช้ และเข้าใจกันได้ง่าย
หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกท่านครับ

อนุโมทนาบุญแก่ผู้ที่สนใจทุกท่าน และ ขอให้บุญรักษาครับ

-โทษคนอื่นได้กิเลส โทษตนเองได้ปัญญา
-กิเลสไหลท่วมท้นใจทั้งคืนวัน คิดว่าปัญญาเพียงน้อยนิดจะเอาชนะกิเลสได้

*ควรใช้ปัญญาพิจารณาทุกครั้งในการรับข้อมูล ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อครับ


ขอบคุณ เวป raksa-dhamma ครับ
--------------------------------------------------------------------------


คำถาม
สวัสดีและอนุโมทนาคนเดินทางค่ะ ไม่ทราบว่าอดทนต่อกิเลสของตนเองนั้นเป็นอกุศลใหมค่ะ และสังเกตุว่ามันจะดูเหมือนเป็นความอดทนที่มันจะต้องระเบิดออกมาจนได้ ทุกครั้งหากต้องอดทนนานๆ ปกติเมื่อก่อนเป็นคนมักโกรธ ขี้น้อยใจมาก และปัจจุบันได้ศึกษาพระธรรมมาบ้างก็นำมาหัดกับตัวเอง แล้วพยายามสำรวมกาย วาจา ใจ มากแต่สังเกตุอีกว่าดูเหมือนอึดอัดพอควร เป็นเพราะอะไรค่ะ และควรทำวิธีใหนดีค่ะ ขอยาแรงนะค่ะ ขอบคุณค่ะ

คำตอบ
คือคำว่า อดทน อดกลั้น คือ ขันตินั้น เป็นความดี ..หากความดีมีกำลังแล้วย่อมไม่เกิดความเดือดร้อนต่อการข่ม หรือกดดันแต่ประการใด...
เหมือนบุคคลผู้ตั้งหม้อน้ำบนเตาที่ปราศจากไฟ..แม้จะมีฝาปิดหรือไม่ก็หาได้เกิดอาการหวั่นไหวไม่...หากบุคคลที่ข่มกิเลสเอาไว้ เพราะกำลังกุศลไม่พอ หรือเพราะไม่แยบคายพอ กิเลสย่อมเกิดขึ้นสลับชวนะไปกับกุศลด้วยมากมาย กิเลสเกิดสลับกับหิริโอตตัปปะ ดังนั้นก็เหมือนบุคคลตั้งหม้อข้าวปิดฝามิดชิดแต่ตั้งอยู่บนเตาไฟนั่นเอง
พึงเห็นความดี มีหิริโอตตัปปะ เป็นต้น ดุจหม้อข้าวที่มีฝาปิดเอาไว้ พึงเห็นเตาไฟนั้นคือกิเลสโทสะ โลภะของตนนั่นเอง
หากกำลังของกิเลสไม่มาก ก็ย่อมไม่อาจจะก่อให้เกิดความหวั่นไหวเดือดร้อนจิตใจมากเกินไปนัก ย่อมกำจัดได้แต่เนิ่นๆ ก็เหมือนหม้อข้าวนั้น ไม่ได้เดือดปุดๆ จนถึงการเดือดกระเทือนฝาหม้อข้าวได้
แต่หากกิเลสมีกำลังมากกว่ามาก... คราวใดแม้บุรุษ จะพยายามปิดฝาหม้อข้าวเอาไว้ แต่อำนาจแห่งความพลุ่งพล่านด้วยความเดือดร้อนของกิเลสย่อมปรากฏอาการดุจเดียวกับหม้อข้าวเดือดพล่าน พาฝาหม้อนั้นสั่นไหวได้เพราะแรงของไฟ
กิเลสนั้น ชื่อว่าไฟ

ดังนั้น ขันติโดยแท้จริงจึงชื่อว่า ไม่หวั่นไหวทั้งต่ออารมณ์ที่ดี ใจก็ไม่พล่านออกตามอารมณ์ไป หรือในยามประสบอารมณ์ที่ไม่ดี ก็ไม่รู้สึกเสียใจ เสียดายหรือเร่าร้อนเพราะความร้อนแห่งไฟโทสะเลย ด้วยรู้เท่าทันอารมณ์ ไม่หลงอารมณ์จนเกินไป
นี่ต้องเกิดแก่ผู้มีกำลังแห่งกุศลมากทีเดียว
ดังนั้น การที่อาการของท่านผู้ถามนั้น พึงเห็นว่า ไฟโทสะนั้นแรงกว่ากุศล จึงปรากฏความกดดัน อึดอัดมาก ดุจหม้อข้าวเดือดพล่านแต่ถูกกดข่มด้วยฝา กระนั้นก็พึงเห็นไอน้ำพวยพุ่งออกตามขอบฝาหม้อเพราะแรงดันภายใน ฉะนั้น
พึงเข้าใจสภาวธรรมอย่างนี้เป็นเบื้องต้นก่อนค่ะ
หากเป็นโรค ก็เรียกว่า โรคขาดกุศล คือ กำลังกุศลไม่พอรับมืออย่างแท้จริง ณ ที่ตรงนั้น จึงต้องเสริมกำลังกุศลขึ้นมา เรื่องนี้ต้องเป็นการงานของปัญญาที่จะขึ้นมาพิจารณาเห็นความจริง
วิธีการนั้น มีหลายอย่าง เลือกทำตามขั้นตอนนี้ได้นะคะ

๑. เมื่อรู้สึกโกรธ ให้กลับมารู้สึกในนามธรรมที่เป็นโทสะภายใน อย่างนี้ให้กลับมารู้สึกตัว รู้เนื้อรู้ตัว..แต่โดยมาก พวกเราจะหลงอารมณ์ไปจนสุดกู่..
จริงอยู่ในฐานะของปุถุชน เราก็ย่อมโกรธขึ้นมา แต่เพราะอาศัยได้ฟังธรรม ได้ฝึกที่จะย้อนกลับมารู้ตัวไว้บ้าง คือ รู้ถึงจิตใจที่เป็นไปกับความโกรธที่กำลังทำงาน อันเป็นอารมณ์ภายในของตน.... ก็จะไม่หลงอารมณ์ภายนอกเตลิดไป เมื่อรู้ตัวแล้ว ก็ย่อมตัดกระแสการรู้เรื่องที่ถูกกิเลสพาแล่นออกไป ทำไม ทำไม ทำไม? จึงปรากฏคำถามที่ไม่มีคำตอบพร้อมๆกับความเสียใจ ไม่สบายใจ ทุกข์ใจ บีบคั้น...เมื่อรู้ตัว ใจดีเกิดแล้ว ย่อมไม่บีบคั้น ย่อมไม่เพ่งโทษ ย่อมละวางอารมณ์ภายนอกเสีย

๒. พอจิตใจที่เป็นกุศลเกิดขึ้นมาพอสมควรที่รู้ตัวขึ้นมาบ้าง ไฟก็เริ่มไม่ได้เชื้อก็อ่อนกำลังลงไป ในฐานะของท่านผู้ถาม ก็พึงปรารภต่อไปเถิดว่า

" เราโกรธแล้ว บาปก็เกิดแก่เราเท่านั้น เป็นความวิบัติของเราเท่านั้น หาได้เกิดแก่คนอื่น หาได้ทำให้คนอื่นวิบัติก็หาไม่...เราจะโกรธคนอื่นให้ตัวเองบาปมากขึ้นทำไมกันเล่า?" หรือ

"โอหนอ คนๆนี้ ทำร้ายด้วยวาจาของเขาเพียงชั่วครู่ เสียงนั้นก็ดับไปแล้ว แต่ใจโง่เขลาของเรานี่เอง ยังเก็บเอาของเน่าเหม็นมากองไว้ในใจ ทำความเดือดร้อนรำคาญใจเป็นอันมาก ใจเรานั่นเองที่แสนโง่เขลาทำความเดือดร้อนให้ตนไม่รู้จบสิ้น ไม่ใช่คนอื่นเลย...." หรือ

"โอหนอ..วันนี้ กุศลอะไรๆไม่เกิดแก่เราเลย ที่พึ่งของเราไม่มีเลย เราช่างว่างเปล่าความดีเสียแล้วหนอ.. เราช่างเป็นคนกันดารนัก..เราเป็นโรคขาดบุญ เหมือนคนไข้ขาดอาหาร ย่อมเป็นอยู่ได้ยาก เต็มไปด้วยความลำบาก ...เห็นทีเราจะฉวยโอกาสทองนี้แหละ ทำการให้อภัยคนอื่นเสียบัดนี้ทีเดียว.."

"ความดีครั้งนี้ แม้บุคคลอื่น ก็หาได้มีส่วนในสมบัติแห่งความดีนี้ไปเป็นกรรมสิทธิ์ของเขาเองไม่ เราเองเท่านั้นกำลังสร้างสมบัติภายใน อันจะติดตามเราไปทุกภพทุกชาติทีเดียว.." หรือปรารภว่า

"โอหนอ..บุคคลนี้ ย่อมเปรียบเสมือนครูผู้มาสอนความดีแก่เราเสียจริงๆ..เขาย่อมสอนเราในเรื่องเมตตา ทำให้ความเมตตาที่ไม่เคยเกิดแก่เรา บัดนี้ก็ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา..
ทำให้จิตใจที่หยาบกระด้างเพราะพยาบาทของเรา ก็อ่อนโยนลง เพราะ การให้อภัย..ความดีอย่างนี้ ยอดเยี่ยมเสียจริง เพราะทำให้เรารู้สึกถึงคุณค่าแห่งความเป็นคน ที่เรียกว่า "คนดี" ขึ้นมาได้แก่เรา ..แม้ความดีอย่างนี้ หากปราศจากครูผู้นี้ เราหรือ? จะกระทำได้สำเร็จได้โดยการคิดนึกเอาโดยลำพังหาได้ไม่...
นี่คือความจริงที่เราต้องทำการเว้น ที่เราต้องละ ที่เราต้องสละกิเลสเพื่อทำ"การให้" แก่คนอื่นจริงๆ ....ความดีจึงเกิดได้จริง ไม่ใช่เป็นความดีที่เรานึกเอาเองว่า "เราเป็นคนดี" แท้ที่จริงมายานั้น ฉาบทาความเลวและปกปิดเอาไว้ทั้งสิ้น..
บัดนี้เราจึงชื่อว่า เป็นผู้สละคลายคืนความเลวนั้นออกไปจากตนแล้ว เราย่อมสุขสงบแล้วในบัดนี้"

จากนั้น ขอให้ท่านหาอารมณ์กุศลอย่างง่ายๆทำเสริมทันที เพราะมิฉะนั้นเจ้ากิเลสตัวดีจะลากออกไปอีก กำลังเขามาก เราต้องฉลาดให้มากๆนะคะ
หากท่านผู้ถามเพียรเร่งรับประทานอาหารเสริม บำรุงด้วยวิตามินต่างๆ คือบุญที่เกิดขึ้นในอาการอย่างนี้ โรคทุรนทุรายย่อมระงับลงไป จิตใจย่อมเบิกบานด้วยสภาวะของเขาเอง ความกดดันที่ใจหลงแบกมานานดับสลายๆพร้อมๆกับการให้อภัยอย่างแท้จริง เพราะเห็นโทษภายในของตน เห็นคุณแห่งความดีในตน..
นี่เป็นความยิ่งใหญ่ ย่อมก่อให้เกิดคว่ามร่าเริงแก่ท่านทีเดียว
ยานี้ไม่แรง เป็นยาสุขุมค่ะ เพราะคนที่ต้องใช้ยาแรงนั้น เรียกว่าโรคกิเลสรุมเร้าค่ะ หากุศลอะไรๆไม่ได้เพราะยังไม่รู้คุณ รู้โทษค่ะ ..หากคนที่พอรู้แล้ว แสบร้อนมาแล้วเพราะยาแรงในครั้งก่อน.. คราวนี้ ต้องใช้ยาสมานอันเป็นยาที่สุขุมค่ะ เป็นยาเย็นเพื่อดับพิษกิเลสที่หลงเหลืออยู่ให้คลายตัวลง อย่างค่อยเป็นค่อยไปค่ะ
หวังว่า ท่านจะหายจากโรค หายซึมเศร้า หายจากความทุรนทุรายโดยเร็วเพราะได้ยาขนานใหม่นี้นะคะ และยานี้ใช้ไปได้เรื่อยๆ ไม่ได้มีการกำหนดว่า "ห้ามดื่มเกินวันละสองขวดค่ะ".... ยิ่งใช้มากยิ่งเกิดประโยชน์ค่ะ

6
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ
ออฟไลน์
แข้งเจลีก
Status: You'll never walk alone.
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 12 Sep 2013
ตอบ: 1039
ที่อยู่: ฺBKK
โพสเมื่อ: Thu May 29, 2014 16:31
[RE: เข้าใจธรรมะ[คำถาม๑๐๕๖-โกรธดั่งไฟสุดท้ายก็เผาตนเอง]]
อนุโมทนาสาธุครับ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน


ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel