หลังจากตัวผมออกล่องเรืออยู่นาน ก็ได้มีโอกาสนั่งรถไฟเสียที
โดยวันนี้ผมเลือกที่จะนั่งชั้น 3 ดู แบบว่าอยากลุยๆบ้าง
(ที่จริงจองตั๋วไม่ทัน 55)
เป็นรถไฟชั้นสามจากนครศรีธรรมราชไปกรุงเทพ
น่าจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 16ชั่วโมงเห็นจะได้(นานไปไหน)
พอขึ้นไปถึงเบาะที่นั่งก็เหมือนๆกับชั้น 2 นั่นแหละ
แต่โล่งๆ ไม่มีเตียงข้างบน นั่งลงไปบางครั้ง
ก็อาจมีเหล่าแมลงริ้นไรออกมาทักทายบ้าง
บางครั้งที่เรานั่งดุ๊กดิ๊ก ก็จะมีฝุ่นทองคลุ้งขึ้นมาเต็มรถ
เหมือนเราได้เดินฉวัดเฉวียนในทุ่งข้าวสาลีอย่างไรอย่างนั้น
ส่วนหมายเลขที่นั่งนั้น ประทับไว้ด้วย
หมึกปากกาเพอร์มาเน้นท์เขียนอย่างดี ดูแล้วได้มาตรฐานยิ่งนัก
แต่ถ้าเราไม่ได้หงุดหงิดใจกับสิ่งที่ผ่านมาแล้วละก็
รถไฟชั้นสามก็เป็นอีกสถานที่ดีๆ
ที่ทำให้เราได้เห็นมุมมองชีวิตจากผู้คนมากมาย
ที่ยามปกติเราคงไม่ค่อยได้เห็นนัก
ตอนที่ผมโดยสารนั้น ผมไปเจอกับ คุณพ่อลูกสอง
แต่แกดันนั่งอยู่ที่หมายเลขของผม
แกบอกขอนั่งแปปนะ เดี๋ยวสถานีหน้าลงแล้ว
เราก็โอเคไม่เป็นไร ระหว่างนั้นเราก็นั่งดูลูกของแกสองคน
ซึ่งนั่งดูดน้ำขวดกันหนุกหนาน พอดูดหมดขวด
แกก็บอกลูกเลยว่าให้โยนออกนอกหน้าต่างไปเลย
"เฮ้ย ทำงี้ได้ไงวะ มันทิ้งขยะไม่เป็นที่แล้ว"
พ่อแกจึงบอกลูกแกต่อว่า ทำแบบนี้ พอรถออก
เขาได้มาเก็บไปขายได้เลย แบ่งปันกัน อืมซึ้งเลยครับ ^^
…แล้วรถไฟก็ฉึกฉักจากสถานี
ผมเอนกายลงกับเบาะนั่งแข็งๆพร้อมมองไปรอบๆตู้ของผม
ที่ผมสังเกตได้ชัดคือ ชั้นนี้นั้นแทบทั้งตู้ประกอบด้วยเด็กกว่าครึ่ง
พวกเขาดูตื่นเต้นราวกับนั่งรถไฟเหาะก็ไม่ปาน
แทบทุกคนชะโงกหัวออกนอกหน้าต่างแล้วรับสายลม
ที่ผ่านเส้นผมจนฟูฟ่อง แล้วก็กลับมากระโดดเล่นในรถไฟกันต่อ
ไม่มีใครดูเบื่อหน่ายกับการเดินทางที่เชื่องช้านี้เลย
อารมณ์ร่าเริงลิงโลดเช่นนี้อาจจะพบยากสักนิดหากคุณ
เดินทางผ่านรถไฟตู้ที่ดีกว่านี้ หรือโดยเครื่องบิน
มันเป็นอารมณ์ที่บอกไม่ถูกจริงๆ อารมณ์แบบว่า
กูโม้เพื่อนได้อ่ะว่าเคยขึ้นรถไฟแล้วประมาณนั้น
ต่อมา ผมก็ได้เจอของคู่รถไฟชั้นสามอีกหนึ่งอย่าง
นั่นคือ พ่อค้าแม่ขายที่วิ่งขึ้นลงขายของกัน โดยแน่นอน
แต่ละคนไม่ใช่เล่นๆ เขาและเธอพยายามทำให้ตัวเอง
มีสินค้าเยอะที่สุด จะได้เรียกลูกค้าได้เยอะสุด ที่เจอมาก็เช่น
-ขายปลาเส้น ทาโร่ ฟิชโช่คร๊าบ หมากฝรั่ง ชิเคล็ตก็มีคร๊าบ
-ข้าวไหมคร๊าบ ข้าวกะเพราไก่ไข่ดาว ข้าวไข่ดาวกะเพราไก่
กะเพราไก่ไข่ดาวกินกับข้าวคร๊าบ
-น้ำไหมคร๊าบ เบียร์เย็นโค้กเย็นเป๊ปซี่เย็นคร๊าบ
กาแฟเบียร์โค๊กเป๊ปซี่เย็นๆคร๊าบ
-ผ้าเย็นไหมคร๊าบ เช็ดหัว เช็ดหน้า เช็ดแขน เช็ดขา เช็ดหัวล้าน
เช็ดให้เพื่อน เช็ดพ่อ เช็ดแม่ ก็ได้คร๊าบ เช็ดเลยครับห้าบาทคร๊าบ
แต่ที่ขัดใจอาจจะมีนิดนึงคือ คำว่าครับ/ค่ะ ของพวกเขา
ดูเหมือนจะพูดตามหน้าที่มากกว่าที่จะพูดเพื่อให้ดูสุภาพ
สมอาชีพบริการจริงๆ
…ว่ากันต่อเรื่องอาหาร ถ้าใครที่เบื่อกะเพราไก่ไข่ดาวสลับคำ
ไปมาเต็มที่ หรือเบื่ออาหารแสนแพงของทางรถไฟทุย
ก็ยังมีโอเอซิสช่วยนักเดินทางอยู่คือตามสถานีรถไฟตามทาง
ซึ่งชั้นอื่นของจะขายน้อยกว่าชั้นสามนะครับ ขอบอกเลย
โดยรถไฟสายใต้ที่ผมเดินทางนั้นมีอยู่หลายที่ทีเดียว
จะแนะนำเด็ดๆสักสองที่ละกัน...เริ่มจากสถานีสุราษฎร์ธานี
ที่มีข้าวแกง ซาลาเปา ลูกชิ้นให้เลือกกินกัน ในราคาโอเค
พอประทังความหิวได้เลยล่ะ แต่ถ้าจะเอาสุดยอดเลยจริงๆ
แบบพลาดไม่ได้ ขอยกให้สถานีนี้เท่านั้น “สถานีชุมพร”
สถานีนี้มีอาหารเยอะจริงๆ จอดนานด้วย
อาหารแนะนำมีข้าวต้มผัดขิงไก่ เป็นข้าวต้มร้อนราดด้วยผัดขิงไก่
ในยามหนาวๆนี้ กินแล้วชุ่มคอชุ่มพุงนัก นอกจากนี้ก็ยังมี
โรตี ลูกชิ้น ข้าวเหนียวไก่ย่าง ชากาแฟเย็น
ซึ่งบอกเลยว่าราคาโอเคเช่นกัน แต่ถ้าพลาดสถานีนี้ไป
ก็คงต้องไส้กิ่วถึงบางกอกเลยทีเดียว
หลังจากอิ่มท้องกันไปแล้ว ก็คงถึงเวลานอนล่ะ แต่ช้าก่อน
รถไฟชั้นสามไม่ได้จะนอนได้ง่ายขนาดนั้น เพราะบรรยากาศ
มันแทบไม่ต่างกับหอผู้ป่วยสามัญช่วงที่ให้ญาติเข้าเยี่ยมเลยจริงๆ
มันวุ่นวายมาก จู่ๆเด็กร้อง ไม่หยุดด้วย ไม่รู้ว่าร้องไห้หาพ่อเธอหรือ
เห็นเธอตะโกนหาพ่อหรือเปล่า บางทีก็มีมนุษย์ป้าที่ชอบโทรศัพท์
ชอบโทรจังอ่ะตอนที่ไม่มีสัญญาณอ่ะ แล้วก็พูดอยู่ได้ ห๊า อะไรนะ
อะไรนะ ไม่ได้ยินเลย(เอ่อ แต่ทั้งขบวนได้ยินป้าชัดสรัดเลยครับ)
ผมไม่ได้มีความอยากรู้แม้แต่น้อยเลยครับว่าเมื่อวาน
งานบวชหลานป้าใครเป็นเจ้ามือป้อกเด้ง ไอ้อ้นหายท้องผูกรึยัง
แหม่ เอาไว้สัญญาณดีๆค่อยโทรหากันก็ได้นะครับ
ถ้าคุณเจอประมาณนี้ โอกาสได้นอนเกินสิบห้านาทีก็คงยากมากๆ
ไม่ต่างกับคุณเป็นหมอเวรที่รพ. หรือเป็นเจ้าของร้านเกมส์เลย
แต่ด้วยความที่ผมถูกพร่ำสอนด้วยการอยู่เวรทั้งคืนมาหนึ่งปีเต็มๆ
จึงทำให้การอดนอนบนรถไฟชั้นสามเช่นนี้ทำอะไรผมไม่ได้เลย
แต่แล้ว จู่ๆเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ระหว่างที่ผมตื่น
ทุกสิบห้านาทีนั้น จนได้สักตีสี่เห็นจะได้ ก็มีเสียงประกาศว่า
“ขออภัยผู้โดยสารทุกท่านค่ะ รถไฟขบวนนี้จำเป็นต้องหยุด
ให้บริการค่ะ ตอนนี้หัวรถจักรพังค่ะ ให้ทุกคนที่ต้องการไปต่อ
ลงจากรถไปรอที่ราง2 เพื่อรอรถอีกขบวนนึงค่ะ”
อือหือ แม่งกุรู้เลยว่าตอนเรือไททานิคจะจมเป็นยังไง
ทุกคนยังกะหนีตายยังไงอย่างงั้น รู้สึกโชคดีมากที่ไม่ได้นั่ง
ตู้ที่ดีกว่านี้ ไม่งั้นคงติดตายอยู่ในรถไฟอีกนานแน่
ผมกับอีกหลายคนไปยืนหน้าง่วงเฝ้าคอยที่ราง2อย่างมีความหวัง
แล้วอีกขบวนก็มาจริงๆ กลายเป็นตู้ชั้นสามของอีกคัน
แน่นเป็นสองเท่าเลยคราวนี้ ยืนบ้าง นั่งที่วางแขนบ้าง
แต่อารมณ์ตอนนั้นทุกคนเหมือนญาติกันเลย พยายามเขยิบเต็มที่
เพื่อให้ได้นั่งกัน แบบว่าที่แคบแต่ใจกว้างอ่ะ ชอบมากเลย
ในที่สุด ขบวนรถไฟที่ชั้นสามมีคนอัดกันเป็นปลากระป๋อง
ก็มาถึงกรุงเทพสำเร็จ ผมประทับใจในมิตรภาพของคนตู้ชั้นสามมาก
ผมดีใจที่ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพวกเขาแม้เป็นเวลาสั้นๆก็เหอะ
เมื่อไหร่ว่างๆเราอาจได้ผจญภัยด้วยกันอีกนะ
แล้วเจอกันใหม่นะ "รถไฟชั้นสาม"
By ชาวประมงเปรู