เผยฝีมือทหาร ใช้ปืนเอ็ม16ยิงทะลุเก๋ง ดับหนุ่มแม่สรวย
เมื่อวันที่ 10 มกราคม ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มารดาและญาติกว่า 20 คน ของนายศรชัย สถิตย์รักษ์ดำรง อายุ 35 ปี ที่ถูกยิงเสียชีวิต หลังขับรถยนต์ยี่ห้อนิสสัน สีขาว ทะเบียน 2กอ 2137 กรุงเทพมหานคร ผ่านด่านชุมชนของฝ่ายปกครอง พื้นที่หมู่บ้านแม่ต๋ำ หมู่ 4 ต.ท่าก๊อ อ.แม่สรวย จ.เชียงราย ใกล้ถนนสายเชียงราย-เชียงใหม่ เมื่อคืนวันที่ 2 มกราคม ที่ผ่านมา เข้าร้องทุกข์กับพล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.) เพื่อขอให้โอนสำนวนคดีมายังกองบังคับการปราบปราม(บก.ป.) เนื่องจากเกรงอิทธิพลของผู้ต้องหาที่เชื่อว่าเป็นคนมีสีในพื้นที่ และยังไม่ปักใจเชื่อว่าผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านที่ถูกตำรวจจับกุมไปก่อนหน้านี้ จะเป็นคนยิงเพียงคนเดียว
นางนาสอ จะยอ มารดาของผู้เสียชีวิต กล่าวว่า ลูกชายเป็นคนดี เป็นเสาหลักของครอบครัว อยากทราบว่าคนยิงลูกชายเป็นใคร ยืนยันว่าจะไม่เผาศพจนกว่าตำรวจจะจับกุมคนร้ายได้
ส่วนนางสาวศิริรัตน์ แยเปียง แฟนผู้เสียชีวิต ที่อยู่ในเหตุการณ์ กล่าวว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่กล้าออกจากบ้านไปไหนคนเดียว เนื่องจากเกรงว่าผู้ต้องหาที่ได้รับการประกันตัวจะมาทำร้าย เพราะบ้านอยู่ไม่ไกลกัน หลังเกิดเหตุไม่ได้ไปทำงาน โดยลางาน 1 เดือน
ทั้งนี้ พล.ต.อ.ศรีวราห์ สั่งการให้ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย และตำรวจท้องที่ ดำเนินการโดยเร็วที่สุด โดยภายในวันที่11มกราคม ก่อนเวลา 12.00 น. จะต้องรายงานผลเปรียบเทียบกระสุนปืน
จากการตรวจสอบกระสุนที่พบในศีรษะผู้เสียชีวิต เป็นหัวกระสุน ชนิด .223 ความเร็วสูง เชื่อว่าเป็นกระสุนปืนเอ็ม 16 ทั้งนี้อาวุธปืนที่ส่งมาตรวจสอบมีทั้งหมด 6 กระบอก ขนาด 9 มม. 5 กระบอก เป็นปืนที่ตำรวจยึดมาได้ ส่วนอีก 1 กระบอกเป็นปืนเอ็ม 16 ที่ทหารนำมามอบให้ จากการตรวจสอบพบมีการใช้งานปืน 2 กระบอก คือปืนเอ็ม 16 และปืนของผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน นอกจากนี้ยังสั่งการให้ตรวจสอบปลอกกระสุนปืนในที่เกิดเหตุที่หายไป รวมถึงสั่งการให้เรียกผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านมาสอบสวนเพิ่มเติม หลังระบุว่าวันเกิดเหตมีผู้ยิงปืนทั้งหมด 3 คน พร้อมกำชับคดีจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จไม่เกิน3วัน ทั้งกระบวนการออกหมายจับ และให้เอาตัวคนร้ายมาลงโทษให้ได้
ล่าสุดมีรายงานข่าวว่า ผู้ที่ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิง คือเจ้าหน้าที่ทหารที่อยู่ประจำด่านในช่วงนั้น ขณะนี้ได้เข้ามอบตัวกับแม่ทัพภาค 3 แล้ว
https://www.matichon.co.th/news/797757