พระราชวังต้องห้ามหรือพระราชวังกู้กง the Imperial Palace หรือ The Palace Museum หรือ The Forbidden City ชื่อเก่าชื่อ “จื่อจิ้นเฉิง” ตั้งอยู่ใจกลางเมืองปักกิ่ง ทางทิศเหนือของจตุรัสเทียนอันเหมิน
พระราชวังต้องห้าม เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี 1406 (ปีที่ 4 รัชสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อของ
ราชวงศ์หมิง) สร้างเสร็จเมื่อปี 1420 ใช้เวลาประมาณ 14 ปี ทั้งสี่ด้านของพระราชวังต้องห้ามมีกำแพงที่มีความสูงสิบกว่าเมตรและยาวโดยรอบ จึงเป็นเมืองที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม นอกวังมีคูวังที่มีความกว้างราวห้าสิบเมตรล้อมรอบ พระราชวังต้องห้ามมีทั้งหมดสี่ประตู ประตูทิศใต้…อู่เหมิน ประตูทิศตะวันออก…ตงหวาเหมิน ประตูทิศตะวันตก…ซีหวาเหมิน ส่วนทิศเหนือ…เสินอู่เหมิน โดยทิศนี้ติดกับมีภูเขาจิ่งซานซึ่งก่อสร้างขึ้นด้วยดินและหิน และครอบคลุมไว้ด้วยป่าต้นสนและต้นไป่ มองโดยรวม ภูเขาจิ่งซานนับว่าตามหลักฮวงจุ้ย ด้านหน้ามีแม่น้ำเล็กๆ ชื่อว่า The Golden river
พระราชวังแห่งนี้มีพื้นที่ทั้งหมดกว่า 720,000 ตารางเมตร รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีอาคารทั้งหมดกว่าแปดร้อยหลัง ห้องทั้งหมดกว่าเก้าพันห้อง พระที่นั่งหลายสิบองค์ ในอดีตจักรพรรดิจะประทับอยู่ที่นี่ โดยมีสนมนางใน ขันที ข้าหลวงรับใช้ซึ่งอาศัยอยู่นับหมื่นชีวิต
การก่อสร้างนั้นใช้เวลาสิบกว่าปีใช้ช่างและแรงงานมากมาย ใช้วัตถุดิบจำนวนมากทั้งไม้เนื้อดีจากเมืองต่างๆ หินและอิฐปูพื้น ซึ่งใช้ระยะเวลาและแรงงานอีกทั้งยุ่งยากในการขนส่งเป็นอย่างมาก สิ่งก่อสร้างส่วนมากสร้างด้วยไม้ในระหว่างการก่อสร้างจึงเกิดไฟไหม้ไปหลายครั้งจนต้องสร้างใหม่ ส่วนหลังคานั้นมุงกระเบื้องเคลือบสี และยังมีภาพวาดใต้ชายคาอย่างงดงามบรรจงอีกด้วย
พระราชวังต้องห้ามจะเข้าทางจตุรัสเทียนอันเหมิน ผ่านประตูต่วนเหมิน มาจนถึงประตูอู่เหมิน ส่วนต่างๆ ในพระราชวังนั้น ด้านภายในจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ก็คือวังนอกและวังใน โดยทั้งสองส่วนนั้นจะมีประตูเฉียนชิงเหมิน เป็นเส้นแบ่ง ทางใต้คือวังนอก ทางเหนือคือวังใน
วังนอกนั้นเป็นส่วนของพระที่นั่งต่างๆ เมื่อผ่านเข้าไปจะพบแม่น้ำทองคำ จุดเด่นประกอบด้วยอาคารตำหนักสามหลัง พระตำหนักไท่เหอ ซึ่งเป็นตำหนักที่ใหญ่สุดหรูหราที่สุดในราชวัง ตั้งอยู่บนแท่นหินหยกขาว ล้อมรอบด้วยรั้วหินหยกขาวแกะสลักสวยงาม หลังคาสองชั้นมุงกระเบื้องสีทองสวยงาม ด้านในมีบัลลังก์มังกรสีทองอร่าม ใช้เป็นสถานที่ออกว่าราชการ ต้อนรับแขกเมืองและพิธีการสำคัญ ถัดไปนั้นเป็นพระตำหนักจงเหอ เป็นพระตำหนักทรงสี่เหลี่ยมยอดแหลม ใช้เป็นสถานที่พักผ่อนก่อนออกว่าราชการตรวจเอกสารฎีกา และงานพิธีการสำคัญภายใน และตำหนักสุดท้ายคือพระตำหนักเป่าเหอ ขนาดประมาณพระตำหนักจงเหอ มีบัลลังก์ที่งดงาม ตำหนักนี้ใช้สำหรับงานพิธีสำคัญรองลงมา เช่นเลี้ยงรับรองขุนนางหัวหน้าเผ่า พิธีเสกสมรสโอรสธิดา และใช้เป็นสถานที่สอบจอหงวน
ส่วนวังในนั้นถือเป็นเขตหวงห้ามสำหรับบุรุษ ซึ่งบุรุษที่เข้าได้นั้นจะมีเฉพาะขันทีเท่านั้น ภายในนี้มีพระตำหนักสำคัญคือ พระตำหนักเฉียนชิง เป็นที่ประทับของจักรพรรดิ อีกทั้งเป็นส่วนประทับส่วนประองค์ ทั้งห้องทรงพระอักษร ด้านตะวันตกเฉียงใต้มีพระที่นั่งหยางซินเตี้ยน เป็นพระที่นั่งรับรองขุนนางส่วนพระองค์ของจักรพรรดิ พระนางซูสีไทเฮาเคยใช้ตำหนักนี้เป็นสถานที่ว่าราชการด้วย
ส่วนของพระอัครมเหสี จะมีพระที่นั่งเจียวไท่ ซึ่งเป็นพระที่นั่งรับรองของพระอัครมเหสี พระตำหนักคุนหนิงซึ่งเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของพระอัครมเหสี ส่วนที่เหลือจะเป็นอุทยานที่ประทับพักผ่อน ซึ่งมีภูเขาหิน ต้นสน หอชมวิว เก๋ง ศาลา และอาคารตำหนักเล็กๆ ที่ประทับของพระราชวงค์และพระโอรสธิดา
พระราชวังต้องห้ามถือเป็นสิ่งก่อสร้างยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลก เป็นสิ่งก่อสร้างด้วยไม้ที่กว้างและใหญ่โตที่สุด สมบูรณ์ที่สุดในโลก แม้ว่าปัจจุบันประเทศจีนจะไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์แล้วแต่…สถานที่แห่งนี้ก็ยังเป็นสัญษลักษณ์บ่งบอกถึงความเจริญรุ่งเรืองในยุคอดีตของแผ่นดินแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี
จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1987 (พ.ศ. 2530) ยูเนสโกได้ประกาศให้พระราชวังต้องห้ามร่วมกับพระราชวังเสิ่นหยางเป็นมรดกโลกในนาม ‘พระราชวังหลวงแห่งราชวงค์หมิงและราชวงค์ชิงในปักกิ่งและเสิ่นหยาง’
CR:
http://smmpublishing.com/