ผมทวนทำพูดของแม่หนูน้อยทุกอย่าง ภรรยาผมและพยาบาลนั่งจำและจดไว้ทุกคำพูด
ผมจึงถามต่อไปว่า "เมื่อไหร่จะชดใช้กรรมนี้หมดเสียที?"
แม่หนูตอบว่า พ่อทำไว้มาก ทั้งกรรมดี และกรรมชั่ว กรรมก็สลับกันไป กรรมดีทำให้พ่อเกิดมาอย่างนี้ กรรมชั่วก็ตามมาสนองอย่างนี้ "
ภรรยาผมนั่งฟังอยู่ตลอด ก็ขอให้ผมถามว่าเมื่อชาติก่อนเธอเป็นอะไร?
แม่หนูตอบว่า คุณแม่ เมื่อชาติก่อนนี้เป็นแม่ชี บวชเป็นแม่ชีถือศีลกินเพล อยู่วัดใต้ ผมก็ไม่ทราบว่า วัดใต้ ไหน
แม่หนูบอกว่า เวลาผมปวดประสาทมาก ๆ ให้นึกถึงเธอ เธอจะมาช่วยให้บรรเทาเบาบางลง
แล้วก็เอามือมากุมศีรษะข้างที่ปวด พลางก็พูดว่า....
พรุ่งนี้แปดนาฬิกา หมอจะเอาพ่อไปผ่ากระโหลกศีรษะ
ผมย้ำว่า "พรุ่งนี้เช้าหรือ จะผ่ากระโหลกศีรษะพ่อหรือ?"
เธอก็พยักหน้ารับคำ แล้วก็บอกว่า ....หนูจะไปก่อนล่ะ
ภรรยาผมนั่งสงบอย่างบอกไม่ถูก แล้วก็ม่อยหลับกันไปทั้งหมด...
รุ่งขึ้นเวลา 8 นาฬิกา....
อาจารย์หมออุดม มาตรวจเยี่ยม ได้รับรายงานว่า เมื่อคืนนี้ปวดประสาทมาก ปวดจน ดิ้นถึงสองครั้ง ท่านยืนคิดสักครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดว่า....
แปดโมงเช้านี้ จะเอาตัวไปผ่าตัด ผ่าเอาปมประสาทที่ปวดออก
แล้วหันมาสั่งพยาบาลให้ไปบอกหัวหน้าตึกให้เตรียมนำคนไข้รายนี้ไปผ่าตัด....
ภรรยาและพยาบาลมองหน้ากันด้วยความงุนงงเต็มที่....
เพราะไม่มีใครเชื่อว่าจะนำผมไปผ่าตัด ที่งงเพราะเมื่อคืนนี้ได้ยินผมพูดคนเดียว คือทวนคำพูดของแม่หนูว่า พรุ่งนี้ 8 นาฬิกา หมอจะเอาไปผ่าตัด
ตอนนั้นเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง....
มาตอนนี้เชื่อแล้ว เชื่อไม่มีความสงสัย !
สักครู่พยาบาลก็เข้ามาในห้องผม จัดแจงโกนหัวโกนคิ้วด้านขวา ขึ้นไปถึงกลางศีรษะ แล้วทำความสะอาด
ต่อจากนั้นก็ฉีดยาให้สะลืมสะลือก็ประเภทมอร์ฟีน จวนๆ 8 นาฬิกา รถเข็นคนไข้ ก็เข้ามาเทียบเอาตัวผมนอนเปลเข็นไปในห้องผ่าตัด โดยมีภรรยาผมตามไปดูด้วย ผมเองตอนนั้นเปลเข็นไปในห้องผ่าตัด โดยมีภรรยาผมตามไปดูด้วย ผมเองตอนนั้นก็จะหลับมิหลับแหล่อยู่แล้ว และแล้วผมก็สิ้นสติไปเมื่อได้รับยาสลบที่ห้องผ่าตัด.
ผมมาทราบตอนหลังว่า ในวันรุ่งขึ้น คือวันที่ผมได้รับการผ่าตัดนั้น....
พยาบาลในห้องได้ไปคุยกับหัวหน้าตึกแล้วคุยกันต่อๆ กันไป ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้น ทุกคนก็อาการเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็แปลกใจทุกคน ที่ประหลาดใจมากก็คือ ในเมื่อผมเรียนจบจากศิริราชไปตั้งกว่าสิบปี จบแล้วออกไปเลยไม่ทำงานอยู่ในนั้น
เหตุไฉนจึงทราบเรื่องเด็กผู้หญิงที่เป็นโรคอ้วน และเด็กผู้นั้น ก็ถึงแก่กรรมที่เตียงผมป่วยในตึกวิบูลลักษณ์นั้น และเธอตายในปีนั้น
ด้วยความสนใจพยาบาลหัวหน้าตึกได้ไปค้นประวัติ และสืบประวัติของผู้ป่วยในตึกนี้
ในปี พ.ศ. 2502 2503 ค้นอยู่นาน เพราะไม่ทราบชื่อผู้ป่วย
และในที่สุดก็ค้นพบว่า....ได้มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งป่วย และถึงแก่กรรมด้วยโรคอ้วน
ในห้องนี้จริง!
ความประหลาดใจในหมู่คนที่รู้เรื่อง ก็ชักจะกลายเป็นความเชื่อขึ้นมาทีละน้อย ๆ
แต่พอพยาบาลที่เฝ้าเธอบอกว่า เด็กที่มาหาคุณหมอที่บอกว่าเป็นลูกในชาติก่อน
เมื่อคืนนี้มาบอกว่าจะถูกผ่าตัดเช้าวันนนี้ พอรุ่งขึ้นเช้าอาจารย์อุดมก็มาเอาตัวไปจริงๆ
....แปลกนะเธอ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ.... พยาบาลสาวพึมพำกันทั้งตึก และจากตึกนี้ไปตึกโน้น ไปจนทั่วโรงพยาบาลภายในไม่กี่วัน....
อาจารย์หมออุดม ท่านเคยรักษาโรคนี้ผมมาสองสามครั้งแล้ว....
โดยฉีดยาเข้าไปในกะโหลกศีรษะ หมายจะให้ยาไปทำลายประสาทส่วนที่ปวด
แต่ไม่ได้ผล มันเหมือนกับตีงูให้หลังหัก โรคก็อาละวาดใหญ่
ที่ฉีดยาเข้าไปในศีรษะนี้ประมาณ 4 ครั้งในสองปี เมื่อฉีดยาไม่ได้ผล
ท่านก็เลยผ่าลงไปในสมองตัดปมประสาทเสียเลย....
โดยเจาะกระโหลกศีรษะด้านขวาเหนือหูขึ้นมาหน่อย....
คงจะเหมือนกับชาติก่อนที่ไปบีบขมับเขา ตามที่แม่หนูเธอบอก....
เจาะแล้วเอากระดูกกะโหลกออกมา ขนาด ราวๆ เหรียญสองสลึง ทำให้มีรูเกิดขึ้น
จากนั้นก็เอามีดเอากรรไกรเข้าไปตัดเส้นประสาทที่ห้า
แต่อาจารย์ท่านว่าการผ่าตัดทำได้ด้วยความยากลำบาก เพราะรื้อรังมานาน....
ประกอบกับได้รับการฉีดแอลกอฮอล์เข้าไปหลายหน มันก็เกิดพังผืดขึ้น ....
ผลการผ่าตัดไม่ค่อยน่าพอใจเท่าไหร่ แต่เชื่อว่าคงได้ผลไม่น้อย....
การผ่าตัดประสาทสมองนี้กินเวลาราวๆ สี่ชั่วโมง เพราะความยากลำบากดังกล่าว
พอราวๆ เที่ยงเขาก็เข็นรถกลับมาที่เดิม ที่ในห้องมีแม่ผม ภรรยา พ่อตา แม่ยาย
ซึ่งทั้งสองท่านนี้มีศักดิ์ เป็นลุง เป็นป้าผมด้วย ทุกคนคิดว่าผมคงตายไปแล้ว
เพราะนานเหลือเกิน ระหว่างที่คอยรอรับผมในห้องภรรยา และพยาบาลได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกท่านฟัง ต่างก็รับฟังโดยไม่มีข้อสงสัยใด ๆ
ค่ำวันนั้นก็เกิดอาการปวดขึ้นมาอีก....
ทีนี้ปวดสองอย่างคือ ปวดเจ็บในสมองที่ผ่า ปวดแผล มิหนำซ้ำโรคปวดเดิมก็ไม่ทุเลา ทำให้เกิดทุกข์ทรมานมากกว่าเก่า มือทั้งสองก็กุมที่แผล กุมศีรษะ ร้องปวดดิ้นไป และแล้วก็นึกขึ้นได้...
หนู! ช่วยพ่อด้วย ผมตะโกนออกมาดัง ๆ
ในห้องนั้นมีญาติพี่น้องมาเยี่ยมกันมากมาย ต่างก็ได้รับฟังเรื่องราวโดยละเอียด....
ต่างก็สงบ มีแต่ผมผู้เดียว ทุรนทุรายอยู่บนเตียง....
ชั่วอึดใจเดียว....
ก็ปรากฏร่างของเด็กหญิงที่เคยบอกว่าเคยเป็นลูกผมเมื่อชาติก่อนมานั่งอยู่ข้างเตียง
ผมจึงถามว่า.... มาแล้วหรือลูก ช่วยพ่อที ตอนนี้ปวดเหลือจะทนแล้ว!
แม่หนูก็เอามือมาวางที่ศีรษะ แล้วพูดว่า เดี๋ยวจะทุเลา
ก็เป็นจริงดังว่า อาการปวดก็ทุเลา พยาบาลซึ่งถือเข็มฉีดยามาก็เลยไม่ต้องฉีด
คุณใบ ก็ช่วยยกเก้าอี้มาให้แขกที่แลไม่เห็นตัวนั่งอย่างเคย....
แม่หนูก็นั่งข้างเตียง เอามือเท้าคางตามเดิม ผมก็ถามว่า.... หนูอ้วนไปไหนล่ะ!
เธอตอบว่า.... วันนี้ไม่ได้มา
ทุกคนในห้องฟังผมคุยกับแม่หนู ผมถามต่อไปว่า.... หนูชื่ออะไรจ๊ะ?
เธอตอบว่า ก่อนที่จะตายนี้หนูชื่อ.... พิมพวดี
หนูเป็นอะไรตาย?
หนูเป็นไข้เลือดออกตายค่ะ
"ตายที่นี่หรือ?"
ตายที่ตึกเด็กค่ะ
ตายเมื่อไหร่จ๊ะ?
เมื่อปี 2502 ค่ะ
หนูมีพี่น้องกี่คนจ๊ะ
มีสามคนค่ะ
ผู้หญิง ผู้ชาย กี่คน
หนูเป็นผู้หญิงคนเดียว
พ่อแม่คงจะเสียใจมากที่หนูตายไป
พ่อแม่เสียใจมาก เพราะหนูเป็นลูกผู้หญิงคนเดียว พ่อสร้างศาลาอุทิศส่วนกุศลให้หนูที่วัดมกุฎฯ เอาชื่อหนูไปตั้งศาลานี้ มีรูปหนูและมีคำจารึก มีกระดูกที่เผาแล้วของหนู ฝังอยู่ในนี้ด้วยค่ะ....พ่อดีขึ้นแล้ว หนูลาไปก่อน แล้ว จะมาหาพ่ออีกค่ะ
คำพูดทุกคำระหว่างแม่หนูพิมพวดีกับผม ทุกคนในห้องได้ยินได้ฟัง และฟังอย่างตั้งอกตั้งใจจริงๆ พยาบาลฉีดยาให้ผมอีก แล้วผมก็หลับไปจนเช้า โดยไม่มีอาการปวดรุนแรง มารบกวนอีกเลยในคืนนั้น....
เหมือนกับยังไม่สิ้นเวรกรรม อาการของโรคที่สงบไปคืนหนึ่งนั้น....
พอรุ่งขึ้นเช้ามันก็เอาอีก ปวดอีก ทุรนทุรายร้องครวญครางอีก อาจารย์ท่านมาดูอาการทุกเช้า ทุกวัน สั่งการรักษาทุกวัน เช้าสบาย สายปวด กลางวันสบาย บ่ายปวดดิ้น หรือพอตอนเย็นสบายชื่นฉ่ำ พอค่ำก็ร้องครวญคราง เป็นอยู่อย่างนี้ อีกสามหรือสี่วัน
ทุกครั้งที่ปวดผมก็จะนึกถึงหนูพิมพวดีทันที ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน ถ้าเป็นกลางวัน ก็จะได้ยินเสียงพูดว่า พ่อ หนูมาแล้ว.... แล้วเธอก็เอามือมาช่วยกุมที่ปวดจนผมทุเลา คำพูดที่ผมพูดก็คือ.... มาแล้วหรือลูก
ทุก ๆ คนที่มาเยี่ยมผม หรือมาอยู่ในห้องจะเงียบสงบ....
คอยฟังคำพูดของผมที่พูดกับวิญญาณในเรือนร่างของหนูพิมพ์ อย่างใจจดใจจ่อ
เหมือนนัดกันไว้....
ในเย็นวันนั้น เย็นมากแล้ว....
ฯพณฯ ทวี บุณยเกตุ ซึ่งเป็นพี่ชายของผม ท่านได้ไปเยี่ยมพร้อมบุตรของท่านชื่อ คุณวีระวัฒน์ บุณยเกตุ หรือที่ญาติเรียกชื่อเล่นว่า บู๊ เป็นคนขับรถพี่ชายผมไปที่ศิริราช
และ(ตอนนี้)พี่ชายผมท่านถึงแก่อนิจจกรรมไปแล้ว จะเหลือก็คุณวีระวัฒน์ ซึ่งเดี๋ยวนี้ดำรงตำแหน่งเป็นรองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม คุณทวีฯเป็นประจักษ์พยานอีกท่านหนึ่ง
โดยในขณะนั้นอาการปวดของผมกำเริบปวดขึ้นมาก ๆ ผมนอนร้องเรียกหนูพิมพ์ให้มาช่วย คุณทวี ก็ทราบเรื่องอยู่บ้างแล้วจากคำบอกเล่าของญาติ ๆ ท่านก็เลยนั่งอยู่ ซึ่งปกติท่านไปเยี่ยมบ่อยมาก แต่ไปนั่งไม่นาน เพราะท่านทนความสงสารในความทุกข์ทรมานของผมไม่ไหว เย็นนั้นท่านนั่งอยู่นานหน่อย พอดีผมปวดมาก และร้องเรียกหนูพิมพ์ ว่า ลูกมาช่วยพ่อที
คุณทวีทราบเรื่องนั้นจากญาติพี่น้องหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ ท่านมาเห็นพอดี คือ พอผมเรียก หนูพิมพ์ หนูพิมพ์ ก็มา ผมก็ถามว่า.... ผ่าตัดแล้วทำไมยังไม่หายอีก
หนูพิมพ์ตอบว่า.... ยังไม่หาย ยังไม่หมดเวรหมดกรรมที่ทำไว้....
แล้วเมื่อไหร่จะหาย?
เธอตอบว่า.... ก็ราว ๆ อีกสี่ปี พ.ศ. 2508 นั่นแหละ
ผมก็ถามดังๆ ต่อไปว่า แล้วจะทำอย่างไรต่อไป
เธอตอบว่า พรุ่งนี้แปดโมงเช้า หมอจะเอาตัวไปผ่าตัดอีก จะต้องผ่าอีกสองครั้ง รวมเป็นสี่ครั้งในคราวนี้....
ผมก็ทวนคำพูดของเธอแล้วร้องว่า.... "ต้องผ่าถึงสี่ครั้งเชียวหรือ?"
คุณทวีนั่งฟังอย่างสงบ ทุกคนเงียบคอยฟังครู่ใหญ่ๆ อาการปวดก็บรรเทา....
หนูพิมพ์จึงบอกกับผมว่า หนูจะลาไปก่อน วันนี้รีบหน่อย เพราะจะไปรับส่วนกุศลที่เขาอุทิศให้ที่ศาลาพิมพวดี....
ทุกคนได้ยินคำพูดที่ผมทวนคำพูดของหนูพิมพ์....
ผมจึงถามเธอว่า ...."เขาอุทิศกุศลให้เรื่องอะไร?"
เธอตอบว่า เขาบำเพ็ญกุศลศพใครก็ไม่รู้ที่ศาลา คนตายมีเหรียญตรา มีสายสะพาย..
ผมก็ทวนคำพูด ออกมาดัง ๆ
คุณทวีก็อยากจะพิสูจน์ จึงให้คุณวีระวัฒน์บุตรชายขับรถยนต์ออกไปเดี๋ยวนั้น ไปดูซิว่าที่ศาลาพิมพวดี วัดมกุฎฯ มีการบำเพ็ญกุศลศพใคร ศพมีเหรียญตรา น่าจะรับพระราชทานเพลิงศพ ที่สุสานหลวงวัดเทพศิรินทร์ฯ เพราะหนูพิมพ์บอกว่ามีสายสะพาย....
คุณวีระวัฒน์ บุณยเกตุ จึงรีบขับรถออกจากศิริราชไปที่วัดมกุฎฯ ทันที....
ปรากฏว่าเป็นความจริง....
คืนนั้น มีการนำศพออกมาจากสุสาน นำมาบำเพ็ญกุศล....
พรุ่งนี้จะรับพระราชทานเพลิงศพ ....
เป็นศพของรองอธิบดีกรมเจ้าท่า ผมได้ลืมชื่อของท่านไปเสียแล้ว....
รูปถ่ายหน้าโกศเป็นรูปเต็มยศ ....
มีเหรียญตรา มีสายสะพายจริงๆ คุณวีระวัฒน์ฯ จึงรีบขับรถมาเรียนคุณทวีฯ ว่า....
เป็นจริงอย่างที่ผมทวนคำพูดทุกประการ....
คุณทวีฯ นั่งสงบนิ่ง กล่าวออกมาคำเดียว ว่า.... "แปลก แต่จริง!"