[RE: 10 สุดยอดมนุษย์กินคน]
อันดับ 4 อาร์มิน เมเวส (Armin Meiwes) 1961-??
อาร์มิน เมเวส ช่างเทคนิคคอมพิวเตอร์ชาวเยอรมันวัย 42 ซึ่งได้รับฉายาว่ามนุษย์กินคนแห่งโรเธนบวร์ก เยอรมัน ถูกศาลตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต แต่รายนี้มาแปลกเพราะเหยื่อเป็นคนยินยอมให้ฆ่าและกินตัวเองได้
เรื่องราวจากในคดีจริงนั้น อาร์มิน เมเวส ได้ใช้มุมมืดของไซเบอร์สเปสเป็นที่หาเหยื่อประมาณว่าทิ้งข้อความว่า ต้องการหาเหยื่อเหยื่อ" ที่เป็นชายมีอายุระหว่าง 18-25 ปี ให้มาพบแล้วจะกินเป็นอาหาร สนใจติดต่อมาที่ XXX) จนกระทั้งได้พบกับเหยื่อของเขาคือเบิร์นด์ เจอร์เกน แบรนเดส (Bernd-Juergen Brandes ) ชายวัย 43 ปีซึ่งมีอาชีพเป็นผู้จัดการฝ่าย IT ในบริษัทแห่งหนึ่ง หลังจากที่ได้ตอบรับคำโฆษณาของเขาที่ฝากทิ้งไว้ในอินเทอร์เน็ต โดยผ่านทางการพบปะบนอินเตอร์เน็ตเมื่อปี 2001 แบรนเดส พูดว่าเขากำลังมองหาคนที่สามารถช่วยทำลายร่างกายของเขาให้สิ้นซากโดยที่ไม่ ทิ้งร่องรอยใดๆ เอาไว้ ซึ่ง อาร์มิน เมเวส ตอบสนองโดยการใช้มีดแทงลำคอของเขา แขวนเขาเอาไว้บนตะขอแขวนเนื้อ หั่นศพของเขาออกเป็นชิ้นๆ และนำเนื้อบางส่วนมากิน ภายหลังศาลตัดสินให้เขาต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต ถึงแม้ว่าเขาจะอ้างว่า แบรนเดส เป็นคนที่ขอให้เขากินเนื้อของตัวเองก็ตาม คดีของอาร์มิน เมเวส ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์และกระแสความสนใจอย่างกว้างขวาง โดยถูกนำมาเขียนเอาไว้ในหนังสือหลายเล่ม นอกจากนี้ยังนำมาทำเป็นภาพยนตร์และแต่งเพลงอีกด้วย
อันดับ 3 เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ (Jeffrey Dahmer) 1960-1994
22 กรกฎาคม 1991 เวลา 23.30น.รัฐวิสคอนซิน เมืองมิลวอกี้ อเมริกา ขณะที่นายตำรวจสายตรวจ 2 คนกำลังลาดตระเวณอยู่บริเวณดาวน์ทาวน์ มีชายผิวดำซึ่งใส่กุญแจมือไว้ยังมือข้างซ้ายวิ่งเข้ามาขอความช่วยเหลือ เมื่อตำรวจตามชายดังกล่าวไปยังออกซ์ฟอร์ดอพาร์ทเมนท์ ห้อง 213 ก็พบกับชายหนุ่มผิวขาวผมบรอนด์เปิดประตูออกมารับด้วยท่าทีสงบเงียบใจเย็น
เขาแนะนำตัวว่าชื่อ เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์
จากนั้นตำรวจก็รู้สึกว่ามีกลิ่นเหม็นแปลก ๆ และพวกเขาก็พบที่มาของกลิ่นเหม็น.....หัวคนในตู้เย็น มีหัวคน 4 หัวกับชิ้นเนื้อและเครื่องในมนุษย์ที่ถูกแพ๊คไว้ในถุงพลาสติก ชั้นบนของที่วางของมีกระโหลกมนุษย์ 3 หัวเก็บอยู่ ส่วนชั้นล่างวางกระดูกชิ้นส่วนอื่นๆ ในกล่องกระดาษมีกระโหลกอีก 2 หัวและอัลบั้มภาพถ่ายอันสุดจะบรรยาย หม้อบนเตากำลังต้มส่วนศีรษะมนุษย์ 2 หัวซึ่งกำลังเปื่อยได้ที่ บนพื้นมีเศษผิวหนังกับนิ้วมือตกอยู่และในถังสีฟ้าซึ่งวางไว้ที่โถงประตู ภายในคือส่วนร่างกายมนุษย์ 3 คนซึ่งถูกทำให้ละลายด้วยกรดเกลือ
จากการตรวจสอบรูปถ่าย ตำรวจพบภาพสยองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพที่ถ่ายเป็นร่างของเหยื่อจะถูกตัดออกเป็นชิ้นเป็นท่อน เล็กท่อนน้อย ใส่ลงในอ่างน้ำ ผสม ทา ราดด้วยน้ำกรดและน้ำยาเคมี เนื้อถูกย่อยสลายส่งกลิ่นร้ายกาจเช่นเดียวกับกระดูกที่ถูกกัดจนเป็นสีดำ กลิ่นน่าคลื่นไส้ และยังมีของสะสมต่างๆ เป็นกะโหลกที่ถูกทาสีเทาและองคชาติที่ตัดออกมาจากศพที่ดองเก็บไว้ในขวดแก้ว บรรจุยาฟอร์มัลดีไฮด์ ส่วนหัวที่ตัดออกเขาเอาไปต้มหม้อจนเปื่อยยุ่ย จากนั้นลอกเนื้อหนังให้เหลือแต่กะโหลกแล้วทำความสะอาดให้สวยงามเหมือนของ เล่นพลาสติก
เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ถูกจับกุม และถูกตัดสินในข้อหาสังหารคนไป 17 ราย แต่เนื่องจากรัฐวิสคอนซินได้ยกเลิกโทษประหารไปแล้ว เจฟฟรีย์จึงถูกตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิต และในวันที่ 28 พฤศจิกายน 1994 ก็ถูกนักโทษคนอื่นทุบด้วยท่อนเหล็กจนตายขณะรับเวรทำความสะอาด
อันดับ 2 เผ่าคาริบ(Carib West Indian Tribes)
เผ่ากินคนนี้แหละครับที่เป็นต้นกำเนิดของคำว่า คานิบาลิสม์(Cannibalism) เป็นชนเผ่าที่คณะนักสำรวจคริสโตเฟอร์ โคลัมปัสและคณะไปพบเขาที่หมู่เกาะเวสท์ อินดิส ที่นั้นเขาได้พบชาวพื้นเมืองคาริบ ซึ่งเป็นเผ่ากินคนกินเป็นอาหาร
ทว่าคริสโตเฟอร์แกเป็นสเปนนะครับเขาสะกดชื่อชาวพื้นเมืองนี้ผิดจากคำว่า คาริบ กลับเขียนเป็น คานิบส์ จากนั้นก็เพี้ยนมาเป็นคำว่า คานิบาเลส อันมีความหมายว่าดุร้ายกระหายเลือด และชาวอังกฤษก็เปลี่ยนคำนี้มาเป็น คานิบาลิสม์ ในที่สุด ซึ่งความหมายจริงๆ ของมันนคือมนุษย์ที่ทำร้ายมนุษย์ด้วยกันเองอย่างโหด* ไม่เอา ไม่พูด *มทารุณวิปริตผิดแผก ไปจากมนุษย์โดยทั่วไป
กลับมาที่เผ่าคาริบ เป็นเผ่าชาวอินเดียน เผ่านี้อยู่ในเกรนาดาเป็นเกาะภูเขาไฟเล็ก ๆ ในทะเลแคริบเบียน ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของตรินิแดดและโตเบโก และเวเนซุเอลา และอยู่ทางทิศใต้ของเซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ชาวอินเดียน เผ่าคาริบมีประเพณีกินเนื้อคน เวลาจับเชลยได้ ชาวอินเดียนเผ่านี้ก็จะใช้ไฟจี้ตามตัวจนเป็นแผลพุพองแล้วเอาพริกทา และเมื่อเชลยเสียชีวิตลงเนื้อของเชลยก็จะถูกแล่เอาไปปรุงด้วยพริกเป็นอาหาร
แม้จะยังไม่มีหลักฐานปรากฏเป็นที่แน่ชัดว่า การกระทำเช่นนี้มีจริงหรือเปล่า นักวิชาการบางคนกล่าวว่า เรื่องราวการกินเนื้อมนุษย์โดยชาวเผ่าคาริบ อาจเป็นเรื่องที่ถูกกุขึ้นโดยนักล่าอาณานิคม เพื่อใช้เป็นข้ออ้างถึงความจำเป็นที่ต้องทำให้คนป่าทั้งหลาย ได้พัฒนาตนเองให้มีอารยธรรมเหมือนซีกโลกที่เจริญแล้ว
อันดับ 1 นักรักบี้ผู้หิวโหย (Stekka Maris College Rugby Team)
วันที่ 12 ตุลาคม 1972 นักเล่นลักบี้ทีม"โอลด์คริสเตียนส์"ของมหาวิทยาลัยสเตลล่ามาริสกับเพื่อนสนิทและครอบครัว(อีกหลายคนเป็นผู้โดยสารทั่วไปที่กำลังเดินทางไปเยี่ยมญาติ ลูกเรือ 3 คนและนักบินอีกสองนาย) พากับบินจากอูรุกวัยไปยังชิลีโดยเครื่องบินสายอุรุกวัย แฟร์ไชด์ FH-227D(Uruguayan Air Force Flight 571) ขณะที่แฟร์ไชด์กำลังบินอยู่เหนือเทือกเขาแอนเดส พวกเขาประสบกับสภาพอากาศแปรปรวนอย่างหนักจน เครื่องบินโดยสารประสบอุบัติเหตุตกลงไปเทือกเขาแอนดิสที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ
มีผู้ถึงแก่ความตายทันที 13 ศพจากผู้โดยสารทั้งหมด 45 คน อีกหลายสัปดาห์ต่อมามีผู้บาดเจ็บจากเครื่องบินตกตายไปอีกหลายศพ ส่วนคนที่รอดหมดหนทางที่จะติดต่อจากโลกภายนอกได้ หิมะในบริเวณที่ เครื่องตกนั้นมีความหนาถึง 15 เมตร ไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร และไม่มีเครื่องมือรักษาพยาบาลหรือยาที่เพียงพอ ผู้ใหญ่ ประทังชีวิตด้วยช็อคโกแล็ตที่มีจำนวนจำกัดและน้ำที่ได้จากการละลายหิมะ เมื่อมีคนตาย พวกเขาก็ได้แต่ขนศพออกไปข้างนอกและฝังไว้ใต้กองหิมะ
วันที่ 9 นับจากเครื่องตก ความหิวโหยทำให้พวกเขาอ่อนแอลงจนอยู่ในขั้นอันตราย นักลักบี้คนหนึ่งได้เสนอให้กินศพเพื่อให้อยู่รอด มีหลายคนทำตาม หลายคนนำเนื้อมาย่างบนแผ่นฟอยล์ หลายคนกินดิบเพื่อให้ได้สารอาหาร และผู้ที่ไม่ยอมกินก็อดตายทีละคนสองคน สุดท้าย 72 วันนับจากเครื่องบินตกมี ผู้รอดชีวิตจำนวน 16 รายก็ได้รับการช่วยเหลือและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในซานดิเอโก้ในทันที และพวกเขาก็สารภาพสิ่งที่ได้กระทำลงไป (พวกเขาสารภาพกับคณะแพทย์และบาทหลวงไปเรียบร้อยแล้ว)
18 มกราคม 1973 กองทัพอากาศอุรุกวัยได้ส่งคนไปยังจุดที่เครื่องบินตกและรวบรวมศพผู้เสีย ชีวิตมาทำการฝังในที่นั้น พวกเขาตั้งกางเขนไว้เหนือหลุมศพแล้วจุดไฟเผาซากเครื่องบินที่เหลืออยู่
Cr.ลัทธิรักการอ่าน บุญเพ็ง หีบเหล็ก
ปล.สำหรับท่านที่อ่านแล้ว หรือผมตั้งกระทู้ซ้ำขออภัยด้วยนะครับ
เดี๋ยวจะนำเรื่องอื่นมาให้ติดตามต่อครับ