[สงครามญี่ปุ่น] ยุคเซ็นโกคุ ตอนที่ 4
กำเนิดกองกำลังพันธมิตรต่อต้านโนบุนางะ
กองกำลังพันธมิตร !!
โนบุนางะได้อำนาจอันยิ่งใหญ่มาอยู่ในมือก็จริง แต่ทั่วประเทศก็ยังคงเต็มไปด้วยไฟสงคราม เพราะยังมีเหล่าไดเมียวอีกมากมายที่มีกำลังเข้มแข็ง มีดินแดนในปกครองที่กว้างใหญ่ และทรัพย์สมบัติมากพอที่จะสู้กับตระกูลโอดะได้
ยุคนั้นเป็นยุคของโอกาส หากใครมีความทะเยอทะยานและความสามารถมากพอก็สามารถจะสร้างชื่อได้ ทุกคนล้วนคิดเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่มีตระกูลไดเมียวใดคิดที่จะยอมก้มหัวให้โนบุนางะง่ายๆ เขาเองก็รู้ดีว่าตระกูลเหล่านั้นล้วนมีศักดิ์ศรียิ่งใหญ่มานาน เช่นตระกูลโฮโจ โมริ อุเอสึงิ ทาเคดะ พวกเขามีกองทัพอันยิ่งใหญ่ ปกครองแว่นแคว้นต่างๆของญี่ปุ่น จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่โนบุนางะจะปราบพวกเขาลง
การที่แต่ละตระกูลครองความเป็นใหญ่มาช้านานนั้น นอกเหนือจากอำนาจทรัพย์ กำลังทหาร ดินแดนในปกครอง และขุนพลที่เก่งกาจแล้ว ส่วนหนึ่งเป็นแต่ละตระกูลต่างก็มีกองทัพที่มีจุดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง โนบุนางะจึงคิดจะสร้างรูปแบบกองทัพที่มีเอกลักษณ์พิเศษที่ไม่เหมือนใครขึ้น และจะต้องเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดด้วย
ส่งที่เขาคิดไว้ก็คือกองทัพรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น นั่นคือกองพลปืนไฟ เนื่องจากที่ผ่านมานั้นแม้ว่าจะมีการนำปืนไฟมาใช้ในการรบ แต่ก็เป็นเพียงการนำปืนไฟมาแจกจ่ายให้ทหารแต่ละหน่วย อย่างมากก็เพียงร้อยกว่ากระบอกเท่านั้น แต่ไม่เคยมีการจัดตั้งกองพลปืนแยกออกมาเป็นกองกำลังเอกเทศ
ดังนั้นเขาจึงได้ระดมซื้อปืนไฟเข้ามาด้วยจำนวนมหาศาล และสร้างกองทัพปืนไฟอันเป็นหน่วยรบที่ใช้ปืนในการรบโดยเฉพาะหน่วยแรกของญี่ปุ่น และเขายังให้ความสำคัญกับเรื่องของการข่าวและการจารกรรมเป็นพิเศษ ซึ่งเขาก็ได้ตั้งให้ฮิเดโยชิเป็นผู้ดูแลหน่วยพิเศษนี้ โดยจะเป็นหน่วยที่มีหน้าที่ในการสืบหาความลับและปล่อยข่าวเพื่อบ่อนทำลายฝ่ายศัตรูโดยเฉพาะ ซึ่งความจริงการรบแบบข่าวสารนี้ไดเมียวคนอื่นๆก็ใช้วิธีการนี้กันมาช้านาน โดยอาศัยเหล่านินจาในการสืบข่าวและเกอิชาในการลอบสังหาร แต่โนบุนางะเป็นผู้ที่ริเริ่มสร้างและบรรจุให้จารชนเหล่านั้นเป็นกองทัพพิเศษแบบเป็นทางการ
ผลงานการรบแบบจารกรรมและอาศัยไหวพริบเล่ห์กลนี้เป็นของถนัดของฮิเดโยชิ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมภายหลังเขาถึงกลายเป็นซามูไรที่มีผลงานมากที่สุดในบรรดาผู้ใต้สังกัดทั้งหมดของโนบุนางะไป
ในช่วงที่โนบุนางะกำลังทำการขยายกองทัพให้แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่มากขึ้น โชกุนโยชิอากิ ก็เริ่มรู้สึกระแคะระคายในความทะเยอทะยานของโนบุนางะ โดยจุดเริ่มก็มาจากการที่โนบุนางะไม่ยอมรับตำแหน่งรองโชกุน แต่ไปขอสิทธิ์ปกครองหัวเมืองที่เป็นดั่งขุมทองอย่างซาไกแทน และที่ถือเป็นจุดแตกหักเลยก็การที่โนบุนางะทำการสั่งเคลื่อนทัพเข้าตีตระกูลอาซากุระ
ในสมัยที่โยชิอากิยังเป็นโชกุนตกยาก เคยไปพึ่งพาและขออาศัยอยู่กับอาซากุระ โยชิคาเงะ (Asakura Yoshikage) ยอดขุนศึกแห่งเอจิเซ็น ดังนั้นโยชิอากิจึงถือว่าอาซากุระมีบุญคุณ แต่การที่โนบุนางะสั่งเคลื่อนพลเพื่อบุกโจมตีอาซากุระนั้น ถือเป็นการไม่ไว้หน้าโยชิอากิอย่างแรง และเป็นดั่งการแสดงออกว่าเขาต่างหากที่เป็นผู้กุมอำนาจในเมืองหลวงตัวจริง
ปีค.ศ. 1570 โยชิอากิจึงตัดสินใจคิดการณ์ล้มล้างโนบุนางะลงให้สิ้นซาก จึงได้ส่งจดหมายไปที่ตระกูลอาซาอิ ผู้ปกครองแห่งโอมิ ให้ส่งกำลังทหารเข้าขนาบกองทัพโอดะที่กำลังอยู่ระหว่างยกทัพไปตีอาซากุระ
การกระทำนี้ สร้างความลำบากใจให้แก่บุตรชายคนโตและนักรบอันดับหนึ่งของตระกูลอาซาอิ ผู้มีนามว่าอาซาอิ นางามาสะ (Azai Nagamasa) อย่างยิ่ง เพราะภรรยาของเขาคือเจ้าหญิงโออิจิ (Oichi) นั้นคือน้องสาวของโอดะ โนบุนางะ และตัวเขาก็คือน้องเขยของจอมมาร ที่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจอย่างสูงยิ่ง
กล่าวถึง อาซาอิ นางามาสะ เขาเป็นบุตรชายของ อาซาอิ ฮิซามาสะ ผู้นำตระกูลอาซาอิ ซึ่งเป็นผู้ปกครองแห่งโอมิ
เมื่อปีค.ศ. 1564 เขาได้แต่งงานกับเจ้าหญิงโออิจิ น้องสาวของโนบุนางะ เขาจึงมีศักดิ์เป็นน้องเขยของจอมมาร และการศึกกับมิโนะในปีถัดมา เขาก็แสดงความสามารถในการทำศึกจนมีชื่อเสียง จากนั้นในปี ค.ศ. 1569 กลุ่มสามคนมิโยชิทีได้ทำศึกแพ้โนบุนางะและเสียอำนาจการปกครองในเมืองหลวงไปเมื่อปีก่อน ได้อาศัยช่วงที่โนบุนางะกลับไปกิฟุ นำกองทัพเข้าโจมตีเมืองหลวงเพื่อปลิดชีวิตโยชิอากิ แต่นางามาสะ ซี่งอยู่ใกล้กัน ก็ได้นำกองทัพเข้ามาช่วยเหลือไว้ได้ทัน ซึ่งผลจากเรื่องนี้ได้ทำให้โนบุนางะไว้เนื้อเชื่อใจนางามาสะอย่างมาก เพราะเขามีโอกาสสังหารโยชิอากิได้ แต่ก็ไม่ทำ และรอจนโนบุนางะกลับมาควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ กระนั้นการกระทำของเขากลับถูกผู้คนรอบข้างมองว่าอ่อนหัดและไร้ความทะเยอทะยานอย่างยิ่ง
แต่ในเมื่อบิดาของเขาเลือกที่จะร่วมเป็นพันธมิตรกับอาซากุระ ซึ่งเดิมทีทั้งสองฝ่ายก็เป็นมิตรที่มีไมตรีดีกันมาถึงสามชั่วรุ่นอยู่แล้ว และได้ก่อตั้งกองกำลังพันธมิตร อาซาอิ อาซากุระ ในการ ต่อต้านโนบุนางะ เขาก็จำเป็นต้องทำตามคำสั่งบิดา และได้นำกองทัพเข้าโจมตีอย่างฉับพลันในระหว่างที่ทัพหลักของโอดะกำลังตั้งมั่นอยู่ที่เทือกเขาโคนาซาดาเกะ โดยมีกองกำลังจลาจลของพวกอิกโกะ ซึ่งเกลียดชังโนบุนางะมาเข้าร่วมด้วยจำนวนมาก
ด้านหน้ามีกองทัพของอาซากุระ ส่วนทางถอยมีกองทัพของอาซาอิปิดล้อมเอาไว้ เรียกว่าเป็นวิกฤติอันรุนแรงที่สุดเท่าที่โนบุนางะเคยเผชิญมา แต่เขาก็ยังสามารถล่าถอยกลับมายังเมืองหลวงได้สำเร็จ แต่กระนั้นความสัมพันธ์ของโนบุนางะและนางามาสะก็ขาดสะบั้นลงอย่างชนิดที่ไม่มีวันกลับมาเป็นเช่นเดิมได้อีก
จากนั้นสองเดือนถัดมา พันธมิตรอาซาอิอาซากุระก็เปิดฉากรบกับกองทัพโอดะอีกครั้งที่อาเนกาว่า โดยฝ่ายโนบุนางะนั้นได้โตกุกาว่า อิเอยาสึเป็นพันธมิตรร่วมในศึกนี้ และทัพของอิเอยาสึก็สามารถเอาชนะทัพของอาซากุระลงได้ และในศึกนี้ก็เป็นศึกที่ช่วยสร้างชื่อเสียงโด่งดังให้แก่ขุนพลคนหนึ่งของทัพโตกุกาว่า ซึ่งภายหลังคนผู้นี้ได้รับการยอมรับในฐานะสุดยอดขุนพลแห่งยุค นั่นคือ ฮอนดะ ทาดาคัตสึ (Honda Tadakatsu)
ในเวลาเพียง 10 ชั่วโมง กองทัพโอดะ-โตกุกาว่าก็สามารถเอาชนะต่อกองทัพอาซาอิ-อาซากุระลงได้อย่างไม่ยากเย็น
และการแตกหักอย่างถาวรระหว่างโนบุนางะกับนางามาสะในครั้งนี้เองที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม ศึกปราสาทโอดานิ ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ในหลายปีให้หลัง
โดยศึกแรกกับอาซาอิและอาซากุระที่เขาโคนาซาดาเกะนั้น พวกอิกโกะหรือพวกก่อจลาจลที่ไร้สังกัดได้เข้าร่วมในกองทัพของอาซาอิและอาซากุระด้วย ซึ่งโนบุนางะต้องเกือบเอาชีวิตไปทิ้งเพราะคนกลุ่มนี้ เขาจึงรู้สึกชิงชังเหล่าอิกโกะพวกนี้มาก และเขาก็ยึดถือนโยบายกำราบพวกอิกโกะด้วยความรุนแรงชนิดถอนรากถอนโคนไปจนตลอดชีวิตของเขา ซึ่งการกำราบพวกอิกโกะที่นับถือศาสนาพุทธด้วยความรุนแรง ไม่สนว่าจะเป็นผู้หญิงหรือเด็กนี่เอง ที่ทำให้ชาวพุทธทั่วแผ่นดินประณามโนบุนางะว่าเป็นจอมมารผู้โหดเหี้ยม และภาพพจน์ของเขาก็เป็นทางลบในประวัติศาสตร์เพราะเรื่องนี้เป็นเหตุหลัก
พวกอิกโกะหรือพวกก่อจลาจลนี้ เป็นชาวบ้านที่มีความนับถือและศรัทธาในในศาสนาพุทธอย่างบ้าคลั่ง ชนิดที่พร้อมจะตายได้ทุกเมื่อ และเสาหลักของคนกลุ่มนี้ทั่วประเทศญี่ปุ่น ก็คือวัดเอ็นเรียคุแห่งภูเขาฮิเอ และวัดฮอนกันจิ แห่งเอจิเซ็น ซึ่งทั้งสองวัดนี้คอยสนับสนุนเหล่าอิกโกะให้คอยก่อจลาจลต่อโนบุนางะอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะเหล่าอิกโกะและพระนักรบแห่งดินแดนคางะ ซึ่งจะก่อกบฏอย่างรุนแรงต่อเนื่องอีกหลายปี
ในปีค.ศ.1571 เดือน 9โนบุนางะตัดสินใจทำสิ่งที่ทกคนในแผ่นดินต้องตกตะลึง นั่นคือการยกกำลังหลายหมื่นเข้าบกทำลายและเผาภูเขาฮิเอจนราบเป็นหน้ากลอง เด็ก ผู้หญิง คนแก่ พระ ไม่ว่าจะผู้ใดที่มีชีวิตอยู่ล้วนถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหด
การกระทำของเขานั้นได้รับการต่อต้านจากเหล่าไดเมียวที่นับถือศาสนาพุทธทั่วประเทศ โดยเฉพาะทาเคดะ ชินเก็น (Takeda Shingen) ไดเมียวผู้ปกครองดินแดนคาอิ
ข้อมูลจาก :
http://www.thaisamkok.com/
ตอนที่ 1
http://www.soccersuck.com/boards/topic/893033
ตอนที่ 2
http://www.soccersuck.com/boards/topic/893350
ตอนที่ 3
http://www.soccersuck.com/boards/topic/893989