ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่เขาจะได้งานดีกว่าเดิมไหม ประเด็นอยู่ที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิด แล้วทำงานได้ดี คุณไปเอาเขาออกทำไม? เขาทำอะไรผิดให้ต้องถูกลงโทษด้วยการเลิกจ้าง
.
ถ้าองค์กรมี ethic จริง ก็ต้องให้เขามีงานที่ดีกว่าหรืออนาคตที่ดีกว่ารับเขาไปทำก่อน แล้วค่อยปล่อยเขาออกไป ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆก็เอาเขาออกโดยที่เขาไม่ได้ทำความผิดอะไรครับ หรือไม่ได้อยากออกไปทำงานที่อื่นครับ
.
.
.
ปล. ตอนนี้คนเก่งตกงานเยอะแยะครับ อย่าคิดว่างานดีๆในช่วงเศรษฐกิจแบบนี้หากันได้ง่ายๆนะครับ

ดูจากหัวมู้สงสัยจะเฟลอยู่ สู้โว้ยยยยย ในเบื้องต้นก่อนเลยครับ

งานสมูท ทั้งส่วนที่เราต้องทำโดยตรง และส่วนที่คนอื่นต้องมาประสานงานกับเรา
ต้องใช้ข้อมูลหรือความคิดเห็น ข้อปรึกษาจากเรา ส่วนตัวมองว่าโอเคในเบื้องต้นครับ

ขอแต่ไว้นิดนึง คือ ในหลายๆ งานเมื่อหน้าที่รับผิดชอบกว้างขวางขึ้น
หรือการจะได้อัพเกรดเป็นซีเนี่ย หัวหน้าทีม หัวหน้า... บลาๆ
ปัจจัยเรื่องการเข้ากับคนหมู่มากได้ ก็จะเข้ามามีส่วนร่วม ต้องสื่อสารมากขึ้น
การเข้าใจมนุษย์ที่แสนหลากหลาย บลาๆ

ลองสังเกตความก้าวหน้าของคนในออฟฟิตดูครับ (ไม่ต้องไปเมาส์นินทาใครแบบที่ไม่ชอบครับ)
เราไม่รู้ปัจจัยความเป็นไปทั้งหมดของเค้าหรอก แต่มันจะพอเรียนรู้ มีตัวอย่างให้เห็นได้ครับ
ลองเรียนรู้ดูครับ

*พอเห็นภาพแล้วมันก็ไม่ได้สรุปว่าจะเป็นอย่างงั้น อย่างงี้เหมือนกันหมดไปซะทุกที่นะครับ
ต่างบริษัท ต่างเป้าหมาย ต่าง Culture เป็นเรื่องที่แสนจะปกติ เรียนรู้ปรับตัวไปเรื่อยๆ ครับ

ไม่ต้องซีเรียสชิวๆ ปสก เยอะกว่านี้จะสวิทโหมดได้แบบเก่งๆเอง
ไม่ต้องห่วงใครๆก็เป็น เราอาจะไม่ได้คนเก็บตัวขนาดนั้น แต่แค่ขี้เกียจคุยกับคนที่ทำงาน
ฝึกไว้ก็ได้ครับ มีไรน่าสนใจเต็มไปหมด แม้กะทั่งเสือกเรื่องชาวบ้าน ซักวันนึง

ที่ปสก มากพอ ท่านจะเชื่อมโยงได้เองครับ ว่าอะไรยังไง คือมันไม่มีอะไรเกิดจากความไม่มีอะไรครับ
มันมีแน่ๆ สาเหตุที่ต้องเชื่อมโยง ในโลกการทำงาน ท่านต้องดูคนให้ออก ดูคนได้ ก็พอดูสังคมได้ครับ
มันเป็นการคาดคะเนนะ แต่มาจากเหตุผล แต่เหตุผลก็ถูกยกมาทีหลัง ให้ดูมีน้ำหนักในความเชื่อเฉยๆ

ท่านลองไปอ่าน Carl jung สิ คนคิดทฤษฎีนี้ ตอนนี้คนทั้งโลกปั่นป่วนประเด็นนี้กันชิบเป๋ง
แต่ผมชอบ Susan Cain มากกว่านะ มันทันสมัยกว่าและเกี่ยวข้องพวก neuroscience
คือมันพอบอกสาเหตุได้ และการตอบสนองของสมอง ของเหตุการณ์ตรงหน้า
คือมันลึกถ้าท่านจะศึกษานะ แต่ถ้าเก็บตัว กับออกสังคม อันนั้นมันทั่วไป

Introvert เรื่องส่วนตัวผมไม่ว่านะ อย่าให้กระทบงาน หลังๆน้องในทีมหลายคนละ เป็น introvert ไม่สะดวกคุยลูกค้าไร ไม่สะดวกคุยกับทีมอื่นไรงี้ ปวดหัว

สมัยก่อน คือ เช้าชามเย็นชามรึเปล่า

อินก็อินไปแต่อย่ามีปัญหาเรื่องสื่อสารกับทีมและฝ่ายที่เกี่ยวข้องอะ ไม่งั้นโดนเม่งแน่ๆ

ไม่ผิดหรอกครับ แต่ผมนี้ตรงข้ามกับ จขกท.แบบ300% เลย

ยิ่งเจอกลุ่มเพื่อนแบบไทป์เดียวกัน พากันไปทุกที่เม้ากันสนุก

แต่เวลาเป็นงานก็เป็นงาน แต่เลิกงานแล้วลุยยย

อาจจะเพราะออฟฟิศผม อายุเฉลี่ยไม่เกิน 35ปีด้วยมั้ง อายุมากสุด 43 ในออฟฟิศ

ไม่ค่อยเข้าใจงานบางประเภทเหมือนกันที่แบบไม่สุงสิงใครแต่ทำงานเสร็จได้ตลอดๆ ถ้ามีงานนั้นเป็นระดับลูกน้องน่าจะได้ แต่ถ้าจะขยับขยายเติบโตน่าจะยาก เพราะเข้ากับคนอื่นไม่ได้

ไม่นะ ทุกวันนี้ผมก็แบบจขกท. เลย

รู้สึกแบบว่าอยากทำงานให้เสร็จ กลับบ้าน สิ้นเดือนรับเงินไรแบบนั้น

ผมเคยโดนหัวหน้าตำหนิว่ารู้จักออกมาจากพื้นที่ของตัวเองบ้าง แต่ก็ช่างมันครับ ไม่ได้สนใจ งานเราทำเต็มที่ซะอย่าง

พวกผมน่ะไม่คิด แต่เพื่อนร่วมงานท่านน่ะคิดมั้ย

ก็เน้นคบคน ex ที่โอเคแทนครับ ในที่ทำงานก็มีเพื่อนได้ มุมองผมนะ

บางทีเขาแนะนำไรดีๆให้เราได้ เรื่องงาน เรื่องอื่นๆ บางคนพาเราไปเจอคนดีๆ ด้วยความเข้ากับคนง่ายของมัน

แต่เข้าใจบางวันมัันก็ไม่อยากคุยกับใคร ยิ่งสกิล chit chat วันไหนฟีลไม่มา มันไม่ได้จริงๆ

เหตุผลที่แฟนท่านห้ามปาร์ตี้กับเพื่อนคืออะไรครับ ปาร์ตี้หลังเลิกงานมันปกติมากเลยนะ อาทิตย์ละครั้งไรงี้