ต่อยอดหมอลาออกที่บึงกาฬสักหน่อย
จริงๆ ผมไปอ่านรายละเอียดมาแล้วก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่(กึ่งสนับสนุนด้วย555) คนนอกวงการอาจจะงงๆว่า เห้ย มันเรื่องอะไรกันเนี่ย อยู่ๆหมอลาออกเกินครึ่ง จะเล่าว่า มันเป็นฤดูกาลย้ายถิ่นฐานของหมอในระบบราชการครับ

ฟีลทหารตำรวจอยู่ครบปีแล้วย้ายตามรอบนั่นแหละ ขอเล่าย้อนอดีตสักนิดหน่อยละกัน
ย้อนรอยไปสมัยผมเป็นอินเทิร์น1 (10 ปี+) สมัยนั้น ผมก็โดนไปลงพื้นที่เขตอีสาน จังหวัดหนึ่งเหมือนกัน(ไม่ใช่จังหวัดที่มีข่าว) แน่นอนว่าถึงเราจะเป็นเด็กตจว. คนนึงแต่การที่ต้องโดนโยนไปลงที่จังหวัดทางอีสานไกลๆ ห่างพ่อห่างแม่ห่างแฟน นี่เราก็ใจหวิวเหมือนกันนะ ยิ่งไปถึงรพ.จังหวัด เห็นสวัสดิการแล้วเพื่อนผมน้ำตาซึมเลย บางคนโทรหาแม่ที่กทม.ว่าขอลาออกเลยได้ไหม สภาพหอพัก บ้านพักใช้คำว่า"ทุเรศ" ก็ได้ครับ

นึกภาพบ้านพักข้าราชการไม้เก่าๆ อยู่สุดขอบรั้วรพ. ด้านหน้ามีหญ้ารก ส้วมเป็นส้วมซึม 1 ห้อง พื้นห้องเป็นไม้เก่าๆ เดินแล้วมีเสียงออดแอด เตียงเป็นฟูกตั้งพื้นเฉยๆ พร้อมผ้าห่มเก่าๆ สองผืน (ต้องแชร์ห้องกับเพื่อนด้วยนะ) เอาจริงๆผมคิดว่าพวกเราก็ไม่ได้ติดหรู อยู่สบายอะไรขนาดนั้น ขอแค่นอนได้ สะอาด ปลอดภัย แต่แค่นี้รพ.ยังจัดการให้ไม่ได้ ถามไปยังรองแพทย์ เค้าก็หัวเราะ บอกว่า โอ้ยยย สมัยผมลำบากกว่าน้องเยอะ อยู่ๆไปก่อน เดี๋ยวมีงบ(ไม่รู้ชาติไหน) มาเดี๋ยวผอ.ปรับปรุงให้ ห๊ะ
หลังเห็นสภาพห้องพัก พวกเรา 6 คนเลยตัดสินใจว่า หาหอนอกเช่านอนดีกว่า สบายใจกว่าเยอะ และหลายๆคนทราบดี สภาพอินเทริน1 6 เดือนแรก ไม่มีเงินเดือนให้นะครับ "ตกเบิกราชการ" เงินแต่ละเดือนคือเงินการลงเวร อยู่นอกเวลา รับงานนอกล้วนๆ อดหลับอดนอนแลกเงินมาจ่ายค่าเช่าบ้าน ค่าผ่อนรถ นี่คือคำถามแรกว่า พวกเรามาทำอะไรที่นี่กัน(วะ) ตอนนั้นในใจทุกคนเตรียมหาที่ลงใหม่กันตั้งแต่สามเดือนแรกหมดแล้ว ส่วนผมกับเพื่อนยังลังเล เพราะว่าที่บ้านก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรที่จะต้องหาเงินมาลาออก
เรื่องสภาพงานนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง รพ.ตจว.คนไข้ล้นหลาม ยิ่งเทศกาลยิ่งบ้าบอ นับไปถึงความมไม่พร้อมอุปกรณ์ เช่น คนไข้ปวดท้อง อยากตรวจอัลตร้าซาวน์ เครื่องเสีย ทั้งรพ.มีเครื่องดีอยู่ 3 เครื่อง ต้องไปขอหมอคิวเอ็กซเรย์ ที่ไม่รู้ดุยังกับหมาทำไม

หวงเครื่องกลัวพวกเราใช้แล้วพังมั้ง ทั้งๆที่ไม่ใช่ของตัวเอง คิวคนไข้นัดที 3 เดือน สงสัยคงตายก่อน หรือแม้แต่หมอแก่ๆเห็นแก่ตัว ลงตรวจช้าบ้าง ไม่มาบ้างโทรฝากเคสเพราะตัวเองรับงาน 3 รพ.เอกชนบ้าง บลาๆ เยอะแยะ พวกเราก็ยิ่งชัดเจนในแนวทางมากขึ้นว่า นี่ไม่ใช่ที่ของเรา
สุดท้าย ครบปีนั้นรุ่นผมนี่ยกทีมไป 6 คน จบปีแรกลาออก 4 เหลือผมกับเพื่อน 2 คน ที่ไปต่อยังรพช. (ซึ่งสุดท้ายพวกเราก็ลาออกราชการหมด) 4 คนก็มีทั้งไปทำเสริมความงาม ไปเรียนต่อเฉพาะทางในกทม. ผมกับเพื่อนอีกคนที่ยังอยู่ ก็ไปต่อกันที่รพช. ก็สภาพไม่ต่างกัน แต่ยังดีที่เพื่อนร่วมงานยังโอเคหน่อย เลยอยู่อีกสองสามปี แต่ผมก็ลาออกก่อนนะ เพราะผอ.เหี้ย

เลยไปสมัครเรียนต่อเฉพาะทาง และก็ยาวต่อมาจนถึงปัจจุบัน
สุดท้าย(จริงๆ) ปัญหาเรื่องพวกนี้มันไม่ใช่เรื่องเงิน เรื่องภาระงานอย่างเดียว โครงสร้างองค์กรก็สำคัญ หรือแม้แต่สภาพพื้นที่ มันก็เป็นปัจจัยที่ทำให้คิดเรื่องการย้ายสายงานได้ รั้งตัวได้แต่รั้งใจไม่ได้หรอก น้องบางคนก็ไม่ได้ตั้งใจมาเพื่อทำพวกนี้อยู่แล้ว บางคนเรียนเพื่อเอาวุฒิไปขายครีม เรียนเพื่อตามใจพ่อแม่ เรียนเพื่อต่อยอดธุรกิจครอบครัว แต่สุดท้าย เผื่อหลายคนไม่รู็ อาชีพแพทย์ เป็นอาชีพครับ ไม่ใช่งานการกุศลและไม่มีจรรยาบรรณแพทย์ข้อไหน ระบุว่าห้ามลาออกราชการและห้ามลาออกไปทำเอกชน ซึ่งเป็นหลักสากลโลกกัน ดังนั้น เลิกอ้างเรื่องนี้มากดดันและเคารพในการตัดสินใจของแต่ละคนครับ แต่ถ้าวันไหน กระทรวงกล้าลงจรรยาบรรณแพทย์เรื่องนี้ด้วย ผมว่าจะได้เห็น movement ครั้งสำคัญแน่ๆครับ