MAGNUS EFFECT : ฟรีคิกมหัศจรรย์ของ ไรซ์ ที่วิทยาศาสตร์ยังต้องทึ่ง
#MainStandSTORY : MAGNUS EFFECT : ฟิสิกส์รอบตัว ที่ช่วยให้ 2 ฟรีคิก เดแคลน ไรซ์ พุ่งเข้าประตูดั่งเวทมนตร์
ในยุคที่ฟุตบอลระดับสูงเต็มไปด้วยระบบแท็กติกเข้มข้น ความแม่นยำทางร่างกาย และเทคโนโลยีการฝึกซ้อมขั้นสูง โมเมนต์พิเศษจากลูกฟรีคิกอาจดูเหมือนสิ่งเล็กน้อย... แต่ค่ำคืนหนึ่งที่เอมิเรตส์ สเตเดียม มันกลับยิ่งใหญ่จนกลายเป็นเรื่องเล่าตลอดกาล
Main Stand ขอพาทุกคนไปสัมผัสอีกมิติของฟุตบอล ผ่านสายตาและสมองของนักเตะที่เปลี่ยนสองลูกนิ่งธรรมดา ให้กลายเป็นบทเรียนฟิสิกส์ระดับสนามแข่ง พร้อมภาพจำที่จะอยู่ในหัวใจแฟนบอลไปอีกนาน ถ้าพร้อมแล้ว เตรียมพบกับเนื้อหาที่ กระชับ – ตรงประเด็น – สุดพิเศษ ได้ก่อนใครได้ที่ Main Stand
หลังจากเราได้เห็นภาพมหัศจรรย์ของฟรีคิกทั้งสองลูก คำถามที่ตามมาคือ
“บอลมันโค้งขนาดนั้นได้อย่างไร?” นี่คือจุดที่วิทยาศาสตร์การกีฬาเข้ามาเฉลย
ปรากฏการณ์ที่ลูกฟุตบอลโค้งกลางอากาศเกิดจากหลักการทางฟิสิกส์ที่เรียกว่า
“Magnus Effect” หรือแรงแม็กนัส ซึ่งหมายถึงแรงยกที่เกิดกับวัตถุที่กำลังหมุนขณะเคลื่อนที่ผ่านของไหล เช่น อากาศ ทำให้เส้นทางการเคลื่อนที่ของวัตถุนั้นเบี่ยงเบนไปจากทางตรงปกติ
พูดง่ายๆ คือเมื่อ ไรซ์ เตะบอลโดยให้บอลหมุนควบคู่ไปกับการพุ่งไปข้างหน้า ความหมุนจะทำให้อากาศที่ไหลผ่านรอบๆ ลูกเกิดความดันไม่เท่ากัน ด้านหนึ่งความดันสูง อีกด้านความดันต่ำ ลูกบอลจึงถูกผลักให้โค้งไปทางด้านที่ความดันต่ำกว่า ซึ่งเป็นด้านที่หมุนไปทางทิศนั้น ผลคือบอลไม่วิ่งเป็นเส้นตรง แต่ค่อยๆ เลี้ยวโค้ง คล้ายลูกโบว์ลิ่งหรือเบสบอลที่เปลี่ยนทิศทางกลางอากาศตามการหมุนที่ผู้เล่น impart ลงไปนั่นเอง
สำหรับลูกแรกของ ไรซ์ เขาใช้เท้าขวาด้านในปั่นไซด์ให้บอลหมุนทิศทางตามเข็มนาฬิกา (เมื่อมองจากมุมมองด้านบน) นั่นหมายถึงด้านหนึ่งของบอลหมุนพุ่งไปทางซ้ายของทิศทางการเตะ ผลลัพธ์คือบอลโค้งจากขวาไปซ้ายตามธรรมชาติของการปั่นไซด์เท้าขวาแบบปกติ
จึงอธิบายได้ว่าทำไมฟรีคิกลูกแรกของ ไรซ์ ถึงโค้งมุดจากนอกกรอบเข้าหาเสาใกล้ทางซ้ายมือของ ธิโบต์ กูร์ตัวส์
ในทางกลับกัน ลูกที่สอง ไรซ์ ก็ยังใช้เท้าขวาเช่นเดิม แต่คราวนี้ตำแหน่งเยื้องซ้ายทำให้การปั่นไซด์เท้าขวาส่งผลให้บอลหมุนทิศทวนเข็มนาฬิกา (จากมุมมองด้านบน) บอลจึงโค้งจากซ้ายไปขวา นั่นคือเหตุผลที่มันพุ่งข้ามกำแพงจากฝั่งซ้ายก่อนจะเลี้ยวโค้งกลับมาทางขวาเสียบสามเหลี่ยมเสาไกลเข้าไปอย่างสวยงาม
นอกจากการหมุนและทิศทางแล้ว ความแรงและมุมยิง ก็เป็นปัจจัยสำคัญในฟิสิกส์ของฟรีคิกเช่นกันโดย ไรซ์ ยิงทั้งสองลูกด้วยความแรงเฉลี่ยตามการคาดการณ์ซึ่งอยู่ระดับเกือบ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ( ประมาณ 27-28 เมตร/วินาที ) ซึ่งแรงพอที่จะทำให้บอลพุ่งผ่านกำแพงและถึงประตูในเวลาเพียงราวๆ 1 วินาทีเศษเท่านั้น เท่ากับว่า ผู้รักษาประตูของคู่เเข่งจะมีเวลาตอบสนองน้อยมาก เมื่อรวมกับการที่ลูกบอลเปลี่ยนทิศทางกลางอากาศ จึงยิ่งเพิ่มความยากในการป้องกันเข้าไปอีก มุมวิถีของลูกยิงก็ถูก ไรซ์ ยิงได้อย่างแยบยลอีกต่างหาก
ลูกแรกเขายิงด้วยมุมต่ำ เลี้ยวโค้งระดับเอวผู้รักษาประตู ส่วนลูกที่สองเขากะน้ำหนักให้บอลยกสูงขึ้นข้ามกำแพงแล้วค่อยฮุกลงใต้คานพอดี ซึ่งการจะทำแบบนี้ได้ผู้ยิงต้องคำนวณมุมและน้ำหนักในการเตะอย่างแม่นยำ ซึ่ง ไรซ์ ทำได้ยอดเยี่ยมทั้งสองครั้งในค่ำคืนที่ผ่านมา
แม้ว่าฟรีคิกทั้งสองลูกของ เดแคลน ไรซ์ จะดูเผิน ๆ คล้ายเป็นผลงานศิลป์แบบเดียวกัน จนมีสื่อบางเจ้าบอกว่าเป็น
“ฟรีคิกฝาแฝด” เลยทีเดียว แต่ถ้าหากพิจารณาอย่างละเอียดจะพบว่าทั้งสองลูกมีความแตกต่างกันอย่างน่าสนใจ
ประการแรก คือตำแหน่งและทิศทางการโค้งที่ต่างกัน ลูกแรกยิงจากมุมเยื้องขวา บอลโค้งจากขวาไปซ้ายเสียบเสาใกล้ ในขณะที่ลูกที่สองยิงจากมุมเยื้องซ้าย บอลโค้งจากซ้ายไปขวาเสียบเสาไกล
พูดอีกอย่างก็คือ แม้ ไรซ์ จะใช้เท้าขวาเหมือนกัน แต่เป้าหมายปลายทางของลูกยิงอยู่คนละมุมของประตู ลูกแรกพุ่งเข้าเสาด้านซ้ายมือของ กูร์ตัวส์
ส่วนลูกที่สองเสียบสามเหลี่ยมมุมขวาบนของประตูฝั่งตรงข้าม ความต่างนี้ทำให้ภาพที่แฟนบอลเห็นและจดจำไม่ซ้ำกัน
ลูกแรกเป็นภาพบอลโค้งเรียดเฉือนกำแพง ลูกที่สองเป็นภาพบอลลอยฮุกลงจากเบื้องบนสู่สามเหลี่ยมประตู
ประการที่สอง คือความเซอร์ไพรส์และการรับมือของผู้รักษาประตู ฟรีคิกแรกเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่สกอร์ยัง 0-0 ความกดดันอยู่กับอาร์เซน่อล
ไรซ์ จึงต้องการยิงให้เข้าในจังหวะแรกนั้นและเขาเลือกวิธีที่ผู้รักษาประตูคาดไม่ถึงคือปั่นเข้าเสาใกล้
ผลคือ กูร์กตัวส์ เสียจังหวะไปนิดหนึ่งและพุ่งไม่ทัน
ลูกนี้จึงสร้างความตกตะลึงและโมเมนต์ช็อกให้ทั้งทีมมาดริดและแฟนบอลที่ชมเกม กล้องโทรทัศน์จับภาพไปที่ โรแบร์โต คาร์ลอส ที่นั่งชมอยู่ เขาถึงกับอ้าปากค้างไปชั่วขณะ!
ส่วนฟรีคิกที่สอง หลังจากมาดริดเสียลูกแรกไปแล้ว คราวนี้ กูร์กตัวส์ น่าจะระวังมากขึ้นและน่าจะพอเดาทางได้ว่า ไรซ์ จะปั่นข้ามกำแพงมาเสาไกล แต่ถึงจะรู้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะป้องกันได้
เพราะ ไรซ์ ยิงได้สมบูรณ์แบบเกินไป บอลทั้งเร็วทั้งโค้งเข้าเสียบมุมอย่างมุดวางเท้า ไม่มีผู้รักษาประตูคนไหนจะไปถึงลูกยิงจุดนั้นได้ทันเวลา
ความต่างนี้เองทำให้ผลลัพธ์ของแต่ละลูกต่างกันออกไป ลูกแรกกูร์ตัวส์อาจเซอร์ไพรส์กับมุมยิง ส่วนลูกสองแม้จะเตรียมใจแล้วแต่ก็ยังจนปัญญาจะเซฟอยู่ดี
ประการสุดท้าย คือเอกลักษณ์และภาพจำที่ทั้งสองประตูฝากไว้ ฟรีคิกแรกของไรซ์จะถูกจดจำว่าเป็นลูกยิงที่
“โค้งอย่างบ้าคลั่ง” ลูกหนึ่ง เพราะเป็นช็อตที่บอลเลี้ยวโค้งผ่านกำแพงเข้าไปเสาใกล้แบบที่เห็นแล้วต้องร้องว้าว แถมเกิดขึ้นต่อหน้าตำนานฟรีคิกโลกอย่าง คาร์ลอส จึงยิ่งเพิ่มคุณค่าให้น่าจดจำ ส่วนฟรีคิกที่สองจะถูกจดจำในฐานะลูกปิดบัญชีสุดเด็ดขาด ลูกยิงสามเหลี่ยมสุดสวยที่ย้ำชัยชนะ เป็นการตอกย้ำให้เห็นว่าประตูแรกไม่ใช่ฟลุคแต่คือฝีเท้าล้วนๆ
ทั้งสองประตูต่างเป็นโมเมนต์ระดับ
“วันแมนโชว์” ที่หาได้ยากยิ่งในเกมระดับนี้ จนมีการบันทึกสถิติไว้ว่า ไรซ์ เป็นนักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ยิงฟรีคิกสองประตูในเกมรอบน็อกเอาต์ของแชมเปียนส์ลีกได้สำเร็จ ช่างเป็นสถิติที่คู่ควรกับความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในสนามจริงๆ
สุดท้ายสองฟรีคิกจากมิดฟิลด์ที่ไม่มีใครคาดหวังคือสิ่งที่เปลี่ยนค่ำคืนธรรมดาให้กลายเป็นเวทีแห่งประวัติศาสตร์ สำหรับ เดแคลน ไรซ์ เเละเป็นโมเมนต์ที่บอกเราว่า ฟุตบอลไม่เคยหยุดสร้างความมหัศจรรย์
Cr.
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1075356447957549&set=a.625575579602307