ผมรู้แบบไม่เป็นทางการนะครับ พื้นฐาน วันที่ 5 เมษา ขั้นสูง 9 เมษา

การที่สหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทุกชนิดจะส่งผลกระทบต่อสินค้าไทยที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในหลายมิติ ซึ่งสามารถแบ่งผลกระทบออกเป็น ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ได้ดังนี้

1. ผลกระทบระยะสั้น (ภายใน 6 เดือน)
ต้นทุนการนำเข้าของสหรัฐฯ สูงขึ้น → สินค้าไทยที่เข้าสหรัฐฯ จะต้องแบกรับต้นทุนภาษีนำเข้า 36% ซึ่งทำให้ราคาสินค้าไทยแพงขึ้น

ยอดสั่งซื้อลดลง → ผู้ค้าปลีกและผู้นำเข้าสหรัฐฯ อาจลดปริมาณการสั่งซื้อหรือเปลี่ยนไปหาซัพพลายเออร์จากประเทศที่มีภาษีน้อยกว่า

เงินบาทอาจอ่อนค่าลง → ค่าเงินบาทอาจอ่อนค่าลงจากความกังวลของนักลงทุน ส่งผลให้สินค้าส่งออกไทยถูกลงในตลาดโลก แต่ต้นทุนวัตถุดิบที่นำเข้าก็อาจสูงขึ้น

2. ผลกระทบระยะกลาง (6 เดือน - 2 ปี)
ผู้ส่งออกไทยอาจปรับโครงสร้างราคา → บางบริษัทอาจเลือกแบกรับภาษีบางส่วน หรือย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่ได้รับการยกเว้นภาษี

การส่งออกไปยังตลาดอื่นอาจเพิ่มขึ้น → ไทยอาจต้องเร่งหาตลาดใหม่ เช่น จีน อินเดีย หรือประเทศในอาเซียน เพื่อชดเชยการส่งออกที่ลดลงในสหรัฐฯ

อุตสาหกรรมที่พึ่งพาสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบหนัก → เช่น อาหารทะเล, สิ่งทอ, อิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนยานยนต์ อาจต้องลดการผลิตหรือหันไปปรับตัวโดยส่งออกไปยังประเทศอื่น

การค้าเสรีอาจช่วยบรรเทาปัญหา → ไทยอาจเจรจาข้อตกลงการค้าทวิภาคีกับสหรัฐฯ หรือใช้สิทธิพิเศษทางการค้า (GSP) ในบางสินค้าที่ได้รับการยกเว้น

3. ผลกระทบระยะยาว (มากกว่า 2 ปี)
ผู้ผลิตไทยอาจต้องย้ายฐานการผลิต → บางบริษัทอาจย้ายโรงงานไปยังประเทศที่มีต้นทุนภาษีต่ำกว่า เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย หรือเม็กซิโก

โครงสร้างเศรษฐกิจไทยอาจเปลี่ยนแปลง → ธุรกิจอาจต้องเน้นการพึ่งพาตลาดอื่น เช่น อาเซียน จีน หรือยุโรป แทนที่จะพึ่งพาสหรัฐฯ เป็นหลัก

โอกาสพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศ → หากมีนโยบายสนับสนุนที่ดี ไทยอาจเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูงขึ้นเพื่อลดการพึ่งพาการส่งออกแบบเดิม

สงครามการค้าอาจสร้างความไม่แน่นอน → หากประเทศอื่นตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีเช่นกัน อาจส่งผลกระทบต่อการค้าระดับโลก

สรุป
ระยะสั้น: สินค้าไทยแพงขึ้น ยอดสั่งซื้อจากสหรัฐฯ ลดลง
ระยะกลาง: ผู้ส่งออกปรับตัว หาตลาดใหม่ ลดการพึ่งพาสหรัฐฯ
ระยะยาว: การค้าไทยเปลี่ยนแปลง โครงสร้างเศรษฐกิจอาจต้องปรับตัว

หากไทยสามารถกระจายตลาดส่งออกและพัฒนาสินค้าให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ก็อาจลดผลกระทบระยะยาวจากการขึ้นภาษีครั้งนี้ได้

ใช่ครับ หลายประเทศเลยร้อนกันหมด

ขอตอบ จขกท แบบคนที่จบเศรษฐศาสตร์มาแบบโง่ๆนะครับ เกรด 2 ต้นๆ 55

การขึ้นราคา เพื่อรักษาอัตรากำไรเท่าเดิม สามารถทำได้ครับ

แต่ผลคือ ยิ่งจะทำให้ขายสินค้าได้น้อยลงครับ ตามหลักอุปสงค์อุปทาน

เมื่อประกอบกับโดนตั้งกำแพงภาษี ก็จะยิ่งแพงขึ้นไปอีก

สมมติว่า เรานำเข้าเครื่องจักรจากญี่ปุ่น ในราคา 5 พันบาท แต่รัฐบาลเพิ่มภาษีสินค้าจากประเทศญี่ปุ่น ราคาเพิ่มเป็น 7 พันบาท

ผู้ประกอบการมองว่าโดนเก็บภาษีหายไป 2 พันบาท ก็เลยบวกราคาขายไปอีก 2 พันบาท

ราคาเครื่องจักรปลายทางถึงมือผู้บริโภค จะอยู่ที่ 9 พันบาท

พอจะนึกภาพตามได้ไหมครับ ราคาแพงขึ้นเยอะมากเลย คงจะไม่มีใครซื้อ

ที่เห็นหลายๆผู้ประกอบการทำ จะสวนทางกับ จขกท ครับ คือยอมลดอัตรากำไร เพื่อให้ยังคงแข่งขันได้

มันอยู่ที่ว่าใครจะตายก่อนด้วยครับ ถ้าประเทศที่เมกาขึ้นกำแพงภาษีเค้าเจอตลาดใหม่ ไม่สนใจอเมริกา ที่ทำไปก็เจ็บตัวมากกว่าครับ

แต่ Trump คงมั่นใจว่าทั่วโลกต้องการเงินจากอเมริกามากกว่า เลยยอมเจ็บนิดหน่อย ได้ต่อรองอะไรบางอย่างที่เค้าต้องการ

เค้าปริ้นเงินได้ไม่จำกัดนิ ไปห่วงมันทำไม ห่วงผู้ขายก่อนดีกว่า

ท่านก็กลับมาอยู่ไทย แค่นั้น

ส่วนคนเมกาเขาไม่กินกะเพรา